Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 65
ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึงสัปดาห์ก่อนถึงเกมแรกของครึ่งฤดูกาลหลัง ถึงเวลาที่ต้องสลัดจิตวิญญาณของวันหยุดทิ้งไป แล้วตั้งใจจดจ่อกับการกู้ฟอร์มแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่ทีมระดับกลางและระดับล่างต้องดิ้นรนคว้าแต้มเพิ่มอีกสักแต้ม เพื่อชดเชยผลการแข่งขันครึ่งแรกของปีที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ และยังเป็นช่วงเวลาที่การแข่งขันอันดับในตำแหน่งสูงจะดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ที่โซล แต่ตัวเขาก็คือมูคยอม เอสของทีมที่แข็งแกร่งระดับโลก ถึงเขาจะไม่ใส่ใจฝึกซ้อมที่เกาหลี อย่าว่าแต่ฝ่าฝืนวงจรที่กำหนดไว้ แม้แต่การฝึกซ้อมมูคยอมก็ไม่เคยฝึกเกินกว่าที่กำหนดไว้ วัฏจักรแห่งคุณธรรมได้เกิดขึ้นแล้วที่สนามซ้อมในกรุงโซล คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทีมรับผิดชอบการฝึกซ้อมอย่างจริงจัง ขณะที่บรรดานักเตะที่เหลือก็พยายามอย่างเต็มที่ราวกับถูกดึงดูดโดยธรรมชาติ ทว่าฮาจุนไม่ได้กดดันมูคยอม แค่เตือนว่าอย่าหักโหมและพักผ่อนให้เพียงพอก็พอ
“ทำได้ดีมากครับ!”
ยังคงเป็นฤดูร้อนที่แม้จะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย แต่เหงื่อก็ยังแตกพลั่ก เหล่านักเตะสะบัดยูนิฟอร์มที่ชื้นเหงื่อ ทุกคนเดินตรงไปที่ห้องล็อคเกอร์
มูคยอมก็เช่นกัน เมื่อยืนอยู่หน้าล็อคเกอร์ เขาก็ถอดชุดโยนทิ้งไว้แล้วเข้าไปในห้องอาบน้ำทันที มูคยอมปล่อยให้น้ำเย็นรินรดกาย เขาไม่ได้เตะฟุตบอลที่เกาหลีมานาน จนลืมฤดูร้อนที่ร้อนชื้นจนน่ากลัวนี้ไปเลย
“บอกแล้วว่าพอเดินไปถึงลาดจอดรถ ก็ต้องอาบน้ำใหม่”
“ปรับตัวไม่ได้จริงๆ”
มูคยอมเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมกับจองคยูที่บ่นกระปอดกระแปดว่าเหมือนกำลังวิ่งอยู่ในห้องซาวน่า แล้วเขาก็ขึ้นรถหลังจากบอกลานักเตะคนอื่นสั้นๆ มูคยอมสตาร์ทรถพร้อมกับเร่งเครื่องปรับอากาศแรงสุด เขาหมุนพวงมาลัยขับออกไปจากสนามซ้อมอย่างรวดเร็ว
…อากาศร้อนแบบนี้ ถ้าบอกว่าจะไปส่ง คงยอมไปด้วยกันแน่
ไปรับฮาจุนกลับด้วยกันจะดีกว่าไหม มูคยอมคิดอย่างนั้น แต่ขณะที่เขากำลังจะโทรศัพท์หาอีกคน ฮาจุนที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้าอย่างเร่งรีบก็ปรากฎในกรอบสายตาเขา สีหน้าของฮาจุนดูร้อนรนเหมือนจะไปไม่ทันเวลา
แม้จะเป็นเวลาเย็นแล้ว แต่ฤดูนี้พระอาทิตย์ไม่ได้ตกดินในทันที กว่าความร้อนบนพื้นดินจะเย็นลงก็ใช้เวลาอีกนาน จึงไม่แปลกใจเลยที่แก้มของอีกฝ่ายจะพองลมเล็กน้อยแล้วพ่นลมหายใจเพราะความร้อน ฮาจุนเสยผมหน้าม้าขึ้น
ระหว่างที่มูคยอมติดสัญญาณไฟบอกให้หยุด ฮาจุนก็เดินข้ามทางม้าลายตอนที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว แทนที่จะยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์เหมือนเคย ก่อนจะเดินขึ้นไปบนทางเท้าของอีกฝั่ง ฮาจุนยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์แล้วชะเง้อมองป้ายเหมือนกำลังคาดคะเนเวลาที่รถเมล์จะมาถึง เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าคงไม่ทัน ฮาจุนก็เริ่มยกมือขึ้นเรียกแท็กซี
ถ้าเป็นการประชุมคงไม่ได้ไปแค่ครั้งสองครั้ง ทำไมถึงกระแทกเท้าตึงตัง ทำท่าร้อนรนแบบนั้นล่ะ มูคยอมรู้สึกแปลกใจพิกลเพราะไม่เคยเห็นฮาจุนกระวนกระวายกับเวลานัดหมายมาก่อน แต่พอตัดสินใจแล้วว่าตอนนี้เขาต้องกลับรถไปรับอีกฝ่ายก็มีแท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าฮาจุนพอดี แท็กซี่คันนั้นจอดลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็แล่นออกไปอีกครั้ง และเขาก็ไม่เห็นฮาจุนที่เคยยืนอยู่ตรงนั้นอีก
“…”
มูคยอมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางเคาะปลายนิ้วชี้ลงบนพวงมาลัย ฮาจุนออกไปจากตรงนั้นแล้ว และไม่ได้ขึ้นมาบนรถของเขา เพราะฉะนั้นเขากลับบ้านเลยดีกว่า แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ท่าทางของฮาจุนที่รีบร้อนต่างจากทุกทีก็ยังคงติดอยู่ในหัวเขาเหมือนตะปูที่โผล่ออกมาผิดที่
ในฐานะนักกีฬา มูคยอมคิดว่าเขาควรพึ่งพาความรู้สึกมากกว่าหลักตรรกะ ถึงแม้พวกนักวิจารณ์กีฬาจะอธิบายว่าทุกๆ ผลงานของมูคยอมนั้นเป็นการเคลื่อนไหวของเกมเมอร์ที่มีการวางแผนเกมในทุกๆ นัด แต่ก็ไม่เสมอไป
บางครั้งก็เดินเกมโดยไม่คิดอะไรเลยเหมือนกัน ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขารู้ว่าต้องทำอะไรถึงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่าจิตสำนึกของเขา และเคลื่อนไหวก่อนที่จะรู้ด้วยซ้ำ ซีกหนึ่งของความคิดเขารู้ว่ามันผิดและไม่สมเหตุสมผล แต่อีกซีกหนึ่งเขารู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ ไม่ชอบมาพากล ถ้าเขาปล่อยผ่านไป มูคยอมรู้ว่าหลังจากนั้นเขาจะต้องอึดอัดต่อไปเรื่อยๆ
ถ้าฮาจุนรีบจนต้องนั่งแท็กซี่ แล้วทำไมถึงเอาแต่ปฏิเสธไม่ยอมให้เขาไปส่งท่าเดียว
มูคยอมก็กลับรถทันทีตามสัญชาตญาณของตนเอง แม้เสียงบีบแตรแป๊นๆ จะดังประท้วงตามหลังมาเพราะไม่ใช่ที่กลับรถ แต่มูคยอมก็ไม่สนใจ เขาเร่งความเร็ว
ถนนอีกฝั่งไม่ได้มีรถเยอะขนาดนั้น เขาจึงขับตามแท็กซี่ที่ฮาจุนนั่งไปได้อย่างรวดเร็ว มูคยอมทิ้งระยะห่างให้รถคันหนึ่งคั่นกลาง เหมือนกำลังสะกดรอยตาม ไม่สิ ว่ากันตามตรงเขาก็กำลังสะกดรอยตามฮาจุนนั่นละ
หลังจากขับไปได้สักพัก แท็กซี่ก็จอดลงที่ไหล่ทาง ก่อนที่ฮาจุนจะลงมาจากรถ ฮาจุนก้มศีรษะให้คนขับรถหนึ่งครั้งแล้วบอกลาอย่างสุภาพ เหมือนฮาจุนที่มูคยอมรู้จัก
สถานที่ๆ มาถึงคือละแวกที่เขาไม่คุ้นเคย สมัยที่มูคยอมอยู่ที่เกาหลี เขาก็ไม่เคยมาที่นี่เลย ย่านเริงรมย์ที่มีร้านเหล้าตั้งอยู่เกลื่อนกลาดเปิดไฟนีออนส่องสว่างบอกว่ากำลังเปิดร้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนถนนดูสนุกสนานรื่นเริง
มูคยอมขมวดคิ้วเพราะคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะกับฮาจุนเลยสักนิด แต่แล้วก็ลองคิดดูว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายคืออะไร ในเมื่อฮาจุนบอกว่าเป็นการประชุมพบปะโค้ชด้วยกันหลังจากนำเสนอเสร็จ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีการพบปะกันที่ร้านเหล้าที่เหมาะสม อย่างเช่น บาร์
ฮาจุนไม่ได้ตรงไปไหนในทันที ทั้งที่รีบร้อนขนาดนั้น ฮาจุนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือพลางทอดสายตาชะเง้อมองออกไปไกลราวกับกำลังรอคอยใครสักคน ท่าทางเหมือนเมียร์แคตที่กำลังจ้องสิ่งที่เข้ามาใกล้จากที่ไกลๆ
มูคยอมรักษาระยะห่างพอสมควร และจ้องมองไปที่ฮาจุน มูคยอมมองรอยยิ้มสดใสที่ปรากฎบนใบหน้าของฮาจุนที่โบกไม้โบกมือหลังจากนั้น และมองตามดูว่าคนที่อีกฝ่ายกำลังรอคอยคือใคร
ดวงตาของมูคยอมเบิกกว้าง มูคยอมคิดว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคงเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก แต่คนที่ฮาจุนกำลังคอยกลับเป็นคนที่เขาเองก็รู้จัก
ยุนแชฮุนก้าวยาวๆ เดินเข้ามาใกล้ฮาจุน
จากที่เอนกายพิงพวงมาลัย มูคยอมก็ยืดตัวตรง ยุนแชฮุนขยี้ผมของฮาจุนพลางพูดอะไรบางอย่าง ฮาจุนมองเขาคนนั้นด้วยสายตาที่เชื่อถืออย่างมากเหมือนที่สนามซ้อมไม่มีผิด ริมฝีปากอมยิ้มบางพลางตอบอะไรบางอย่างกลับไป
มูคยอมเกือบจะวิ่งลงจากรถไปถามพวกเขาแล้วว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่ก็หักห้ามใจไว้
บอกว่าประชุมโค้ช
แต่ไอ้คนนามสกุลยุนนี่จะมาด้วยก็ได้งั้นสิ
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทั้งคู่กำลังทำจะบาดตาเขามากก็จริง แต่การเข้าไปแทรกแล้วถามว่าพวกนายกำลังทำอะไรกัน ฮาจุนคงบอกแค่ว่าเป็นพี่น้องที่สนิทสนมในวงการเดียวกัน และทำตัวตามปกติก็เท่านั้น ดังนั้นมูคยอมจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และกำพวงมาลัยแน่นเพื่อข่มตัวเอง
ยุนแชฮุนยกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหูเหมือนมีใครโทรเข้ามา และระหว่างที่คุยโทรศัพท์ ฮาจุนก็เอาแต่เฝ้ามองยุนแชฮุน มูคยอมหัวเสียขึ้นมาอีกครั้งเพราะภาพนั้นช่างดูเหมือนลูกสุนัขที่กำลังรอให้เจ้าของทำงานเสร็จไม่มีผิด
หลังจากบทสนทนาสั้นๆ จบลง แชฮุนก็ทาบมือลงบนไหล่ของฮาจุน ทั้งสองเริ่มก้าวเดินคู่กันไป คนที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมาตั้งแต่แรกอย่างมูคยอมยังคงทิ้งระยะห่าง และขับรถตามทั้งคู่ไปอย่างช้าๆ
สองคนนั้นเดินต่อไป ก่อนเลี้ยวเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่อยู่ข้างฟุตบาธ มูคยอมมองไม่เห็นข้างในนั้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฮาจุนที่ถือถุงของร้านสะดวกซื้อซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งของก็เดินออกมาพร้อมกับยุนแชฮุนที่มือเปล่า ไอ้คนหน้าหนานั่นตัวใหญ่กว่าแท้ๆ ทำไมอีฮาจุนถึงถือข้าวของให้ทุกครั้งเลยก็ไม่รู้
ทั้งสองออกมาจากร้านสะดวกซื้อและออกเดินคู่กันไปอีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปในซอยแคบๆ มูคยอมขับรถตามพวกเขาไปไม่ได้อีก จึงจอดรถไว้ข้างถนนและรีบลงมาจากรถ มูคยอมไม่สนใจสายตาของผู้คนที่จำเขาได้ และแทบจะวิ่งตามเข้าไปในซอยที่สองคนนั้นเดินเข้าไป
สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากซอยแล้วเดินผ่านทางเข้าเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง มูคยอมจึงค่อยๆ เดินตามหลังไปและยืนอยู่หน้าทางเข้าอาคารที่พวกเขาหายเข้าไป มูคยอมมองป้ายโฆษณาที่ติดอยู่แถวนั้นด้วยความงงงวย เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตา
“…อ่านผิดหรือเปล่านะ”
ปกติแล้วเขามักไม่ยอมรับความจริงอยู่ในใจคนเดียว แต่ครั้งนี้เขากลับหลุดพูดคนเดียวออกมาจากปาก หลังจากกะพริบตาอยู่หลายครั้ง เขาอ่านตัวอักษรในป้ายนั้นอีกครั้ง แต่ข้อความก็ยังคงเดิม เช่นเดียวกับชื่อที่ติดอยู่บนตัวอาคาร
ป้ายที่แขวนอยู่บนผนังเขียนบอกราคาการเข้าพักในห้องพักขนาดใหญ่ และในป้ายโฆษณาที่ติดอยู่ที่ทางเข้าก็แสดงภาพถ่ายคร่าวๆ ของห้องเอาไว้ แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ก็คิดเป็นอื่นไม่ได้เลย ไม่ว่าจะดูอีกสักกี่ครั้ง สถานที่ที่พวกเขาสองคนเดินเข้าไปด้วยกันก็คือโมเต็ล
เหอะ มูคยอมระเบิดหัวเราะออกมาท่ามกลางสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถคาดเดาหรือตัดสินเป็นอื่นได้อีกต่อไป มุมปากกระตุกยกยิ้ม
มูคยอมนึกถึงฮาจุนคนที่เคยบอกว่าชอบเขา เมื่อเช้าอีกฝ่ายขอโทษเขาตั้งสองครั้งพลางแก้ตัวด้วยใบหน้าที่ขาวใส และซื่อตรง มุมปากของมูคยอมยกยิ้ม เขาขมวดคิ้วและจ้องมองที่ป้าย
ประชุมวิชาการ?
อย่างนั้นเหรอ จะว่าไปแล้วนายก็โกหกเก่งกว่าที่คิดอีกนะ เคยพร่ำบอกว่าจะไม่นอนกับผู้ชายที่แต่งงานแล้วด้วยหน้าตาที่ดูซื่อตรงมากกว่าใครในโลกนี้ ไม่นึกเลยว่าจะแทงข้างหลังเขาแบบนี้
รู้ว่าชอบทำให้คนอื่นประหลาดใจเป็นงานอดิเรกแต่นี่มันไม่ใช่แล้ว บ้าไปแล้วเหรอ อีฮาจุน? ถูกฉันทิ้งแล้วก็จะไปเหรอไง? วันนั้นเพิ่งร้องไห้บอกว่าชอบกัน แต่ผ่านไปไม่กี่วันกลับทำตัวแบบนี้!
“…ไอ้เวรนี่”
สรุปแล้วแรงกระตุ้นก็ครอบงำร่างกายได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ในความคิดเขาร้อนระอุเหมือนเบ้าหลอมในชั่วพริบตา มันร้อนผ่าวเสียยิ่งกว่าตอนที่แสงอาทิตย์ส่องลงมาเหนือกระหม่อม
เหมือนกับตอนที่วิ่งไล่ตามลูกบอลในสนาม แต่หัวใจเขาเต้นแรงกว่านั้นและสมาธิที่ไขว้เขวก็ทำให้ทัศนวิสัยของมูคยอมแคบลง รอบกายมืดสนิท มองเห็นเพียงประตูบานเดียวที่ตนเองต้องมุ่งหน้าไป ไม่ต่างจากม้าแข่งหรือสุนัขล่าเหยื่อที่รอบกายถูกปิดกั้นเพื่อให้วิ่งตรงไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แกะที่อยากซ่อนความลับชวนหัวเสียเอาไว้ ประตูกระจกที่ติดฟิล์มสีดำ เขาจะเปิดประตูบานนั้นแล้วตามขึ้นไปลากหมอนั่นออกมา และจะไม่ปล่อยให้ทำแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ดวงตาใสซื่อที่แหงนมองคนที่เขาเชื่อใจเมื่อครู่นี้กำลังวนเวียนอยู่ภายในใจเขาอย่างเลือนราง มูคยอมขมวดคิ้วอย่างหนัก
ไอ้คนชั่วน่าขยะแขยง แต่งงานแล้วแท้ๆ กล้าดียังไงถึงมาล้อเล่นกับคนอื่น
คนอย่างนายกล้าดียังไง! กล้าดียังไงมาแตะต้องของๆ คนอื่น!
มูคยอมกัดฟันกรอด ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงหน้าประตูกระจก มูคยอมเอื้อมมือออกไปคว้าที่จับโลหะที่เย็นเยือกท่ามกลางอากาศร้อน แล้วมองไปข้างหน้า
“…”
แต่แล้วมูคยอมที่คว้าลูกบิดไว้แน่นก็ต้องหยุดชะงัก หยุดนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับถูกแช่แข็ง เขาถอนหายใจแรงพลางยืนทอดสายตาจับจ้องอยู่ที่ประตู พูดให้ถูกก็คือเงาสะท้อนของตัวเขาบนประตูกระจกสีทึบนั้นเอง มูคยอมสบตากับตัวเอง
ใบหน้าบูดเบี้ยว นัยน์ตาวาวโรจน์ราวกับจะฆ่าใครสักคนเสียตอนนี้ ฟัน และกรามที่ขบแน่นเหมือนกำลังอดทนกับอะไรบางอย่าง
มูคยอมจดจำใบหน้านั้นได้ ใบหน้าของคนที่เขาไม่ได้พบมานานมากแล้ว
ภาพของปีศาจที่หลงเหลือในความทรงจำอยู่ภายในประตูสีดำที่กลายเป็นดั่งห้วงลึก
แม้จะค่ำแล้วแต่ฤดูร้อนก็ยังคงอบอ้าว ทว่ามูคยอมกลับรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง บนฝ่ามือที่กำลังจับลูกบิดประตูมีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมาเหมือนเชื้อรา มูคยอมปล่อยมือแล้วก้าวถอยหลังในทันที ร่างกายกำยำที่ไม่เคยสะทกสะท้านแม้ต้องต่อสู้กับใครกลับโซซัดโซเซเหมือนเสียการทรงตัว
“…บ้าเอ๊ย…”
มูคยอมสบถออกมาเบาๆ ไม่รู้จะโทษว่าเป็นความผิดของใครดี มูคยอมถอยหลังออกห่างจากประตู เขาเอาแต่จ้องมองอาคารราวกับปีศาจที่เข้าไปข้างในไม่ได้เพราะมีสายทองขึงเอาไว้ ก่อนหันหลังกลับแล้วเดินออกมาจากทางออก
มูคยอมก้าวฉับๆ อย่างว่องไวโดยไม่หันกลับไปมอง จนกระทั่งมาถึงข้างถนนบริเวณที่เขาจอดรถเอาไว้ มูคยอมก็ขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่ทันที
จะทำอะไรน่ะ
นายกำลังจะทำอะไร คิมมูคยอม ไอ้บ้า บ้าไปแล้วเหรอ
อีฮาจุนเป็นใครกัน เขาคนนั้นเป็นอะไรกับนายเหรอ
หมอนั่นเป็นใคร นายจะสติแตกแล้วทำตัวเป็นหมาบ้างั้นเหรอ
อีฮาจุนก็เป็นแค่คู่นอน คนที่ชอบเขา และรับได้ทุกอย่าง มันน่าสนุกเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ชายและโค้ชในทีมเดียวกันด้วย!
“แม่งเอ๊ย!”
มูคยอมทุบพวงมาลัยดังตุ้บ แล้วสตาร์ทรถ ก่อนที่รถยนต์จะแล่นออกสู่ถนน วิ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูง
เขาเป็นบ้าไปชั่วขณะ สะกดรอยตามมาถึงที่นี่ทำไมกัน บางทีความรู้สึกไม่สบายใจที่จู่โจมมูคยอมเมื่อครู่อาจกำลังเตือนสติเขาเรื่องนี้ก็ได้
อย่างนั้นเหรอ ตัวเขาคงเห็นว่าอีฮาจุนพิเศษกว่าใครๆ พอคิดดูแล้ว มีสถานการณ์ที่พิเศษเกิดขึ้นระหว่างเขา และฮาจุนมากมาย เริ่มต้นด้วยการที่เขาให้ฮาจุนนอนค้างที่บ้าน ทั้งที่เขาไม่เคยอนุญาตให้คู่นอนนอนค้างที่บ้านมาก่อน เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเตรียมห้องแยกไว้สำหรับฮาจุนอีกต่างหาก และตั้งแต่นั้นมาเขายังพาอีกฝ่ายมาที่บ้านด้วย
เขาเคยชินกับการมีฮาจุนอยู่ข้างๆ มากเกินไป เมื่อมีเวลาว่างเขาจึงตามหาฮาจุนเป็นคนแรกไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ถึงแม้ฮาจุนจะบอกว่าชอบเขาแต่เขาก็ไม่หยุด ไม่ใช่แค่นั้น มูคยอมยังคิดอีกว่าต่อไปเขาควรจะทำดีกับฮาจุนให้มากกว่านี้
มูคยอมพร้อมที่จะให้ทุกอย่างที่ฮาจุนต้องการ เว้นก็แต่บางสิ่งที่เขาไม่มีทางทำได้ เขาตั้งคำถามอยู่บ่อยๆ เมื่อวานเขาก็คิดกระทั่งจะพาฮาจุนไปลอนดอนด้วย!
เขากลายเป็นคนที่ยึดติดกับความสัมพันธ์ทางกายกับใครคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เซ็กส์เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เพลิดเพลินกับความเครียด และผ่อนคลายความต้องการทางกาย เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเล่นกีฬาที่เป็นอาชีพหลักของเขาก็เท่านั้น มันไม่เคยเป็นเป้าหมายสำหรับเขาเลย