Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 66
พวกคู่นอนน่ะ เขาหาได้อยู่แล้ว ไม่ว่าที่ไหนหรือไม่ว่ากี่คนก็ตาม ความสัมพันธ์ของเขากับฮาจุนเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันเท่านั้น เพราะไม่อยากถูกก่อกวนด้วยข่าวลือหรือเรื่องอื้อฉาวในระหว่างอาศัยอยู่เกาหลี ลอนดอนอย่างนั้นเหรอ ดีแล้วที่ไม่พูดออกไป มันเป็นแค่ความคิดไร้สาระที่นึกขึ้นมาด้วยความบ้าไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง
‘มีข้อยกเว้นมากมายเกิดขึ้นถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยสักครั้ง มันเป็นเพราะอะไรกันแน่
เพราะอะไร
ทำไมกัน…’
ความคิดนั้นเงียบงันยาวนาน สีหน้าของมูคยอมเปลี่ยนจากเคร่งขรึมเป็นเหม่อลอย มูคยอมถามเหตุผลกับตัวเองในใจในขณะที่ปิดปากเงียบ และเอาแต่เขม้นมองไปยังด้านหน้า ความรู้สึกเสียวสันหลังแพร่กระจายไปทั่วทั้งตัวของมูคยอม และมันเป็นความรู้สึกที่ต่างกันกับตอนอยู่หน้าโมเต็ลเมื่อสักครู่นี้ เค้าโครงกระดูกและเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหลังมือของเขาซึ่งกำมือจับประตูไว้ ดวงตาของเขาสั่นระริกด้วยความวุ่นวายใจ แล้วในลำคอก็ตีบตัน เมื่อเขาตั้งสติขึ้นมาได้จึงส่ายหน้า
ดวงตาของเขาสั่นระริกด้วยความวุ่นวายใจแล้วในลำคอก็ตีบตัน เมื่อเขาตั้งสติขึ้นมาได้จึงส่ายหน้า
‘…ไม่ใช่เวลาจะมาคิดถึงเรื่องการต่อเวลา เขาต้องจัดการ ‘เรื่องชั่วคราว’ ให้จบก่อนจะสายไปกว่านี้’
มูคยอมจอดรถแล้วรีบขึ้นไปบนบ้าน เขามองเข้าไปในกระจกที่ตกแต่งไว้ตรงบริเวณประตูบ้าน มันสะท้อนให้เห็นภาพของตัวเขาเช่นเดียวกันกับประตูสีดำของโมเต็ลเมื่อก่อนหน้านี้ โชคดีที่กระจกบานนั้นสะท้อนเพียงภาพของคิมมูคยอมผู้ซึ่งเคยมองดูมันเหมือนทุกๆ วัน ส่วนภาพของปีศาจที่เคยเห็นผ่านๆ อยู่ครู่หนึ่งได้หายไปแล้ว
มูคยอมถอดรองเท้าแล้วจึงเข้ามาด้านในบ้าน ใบหน้าของเขาดูน่ากลัวราวกับว่าถ้ามีใครขัดหูขัดตาเขาแค่นิดเดียวก็จะฆ่าทิ้ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน และหางคิ้วที่มักจะชี้ขึ้นแบบคนมั่นใจในตัวเองสูงกลับตกลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนมาบูดเบี้ยวราวกับว่าตอนนี้กำลังไม่พอใจอยู่มากทีเดียว
มูคยอมไม่แม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา เขาเงยหน้ามองเพดานสูงในบ้านที่เงียบเหงามากจนเกินไปพร้อมกับปรับลมหายใจที่ฮึดฮัดไม่หยุดให้สงบลงเพื่อกล่อมตัวเองให้หลับ
‘ใช่แล้ว อีฮาจุนไม่ใช่ของของเขา
เพราะคนที่ปฏิเสธคำสารภาพรักของอีฮาจุนแล้วเน้นย้ำว่าไม่ได้มีความรู้สึกในฐานะคนรักก็คือตัวเขาเอง ตัวคิมมูคยอมไม่ใช่ใครอื่น และต่อจากนี้ไป การตัดสินใจนั้นก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันขาด!’
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอีฮาจุนจะนอนกับใครก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา อีฮาจุนจะทำเรื่องผิดศีลธรรมกับยุนแชฮุนหรือไม่ รวมถึงเรื่องใหญ่โตที่จะตามมาหลังจากนั้น ก็เป็นเรื่องที่สองคนนั้นจะต้องจัดการเอง
มูคยอมพยายามปรับสีหน้าให้เยือกเย็นเพื่อที่จะคิดอย่างมีวิจารณญาณพร้อมกับท่องเรื่องที่เขาตัดสินใจซ้ำแบบเดิมอยู่สองสามครั้งในใจ แต่แล้วหัวคิ้วของเขาก็ย่นเข้าหากันอีกครั้ง เขาพลิกตัวหันขวับไปด้านข้างแล้วฝังใบหน้าลงกับซอกระหว่างหมอนอิงและโซฟา
‘ถึงอย่างนั้นก็เถอะ โธ่เว้ย ตั้งตอนไหนมาแล้วล่ะที่บอกว่าชอบกัน…
หมอนั่นไม่ใช่คนที่จะไปทำเรื่องผิดศีลธรรมได้อย่างมั่นอกมั่นใจเลยสักนิด แต่ต่อให้เป็นแบบนั้นก็เถอะ ทำไมถึงต้องพาไปที่โมเต็ลเส็งเคร็งแบบนั้น…’
มันไม่ใช่เรื่องที่มูคยอมจะเข้าไปยุ่ง แต่เขาก็หยุดก่นด่ายุนแชฮุนไม่ได้
‘ไอ้บ้านั่นมันสุดยอด สุดยอดของสุดยอดไอ้คนเวรตะไลเลย’
——————————————————
ตอนเด็กๆ ก็ไม่แน่ แต่หลังจากได้เป็นนักกีฬามืออาชีพ มูคยอมก็ไม่เคยมาสายเลยหากไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ถึงแม้จะมีบ้างเป็นครั้งคราวที่มาเข้าร่วมสายในชั่วโมงยืดกล้ามเนื้ออิสระซึ่งเป็นเวลาที่ทุกคนต่างพากันหยอกล้อและพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย แต่การที่เขายังไม่มาแม้เป็นเวลาที่นักกีฬาทุกคนยืนเรียงแถวกันอยู่หน้าโค้ชแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง
ฮาจุนมองนาฬิกาข้อมือพลางเหลือบมองไปยังทางเข้าสนามฝึก จากนั้นก็ถามจองคยูเสียงเบา
“คิมมูคยอมได้ติดต่อมาหรือเปล่า”
“เปล่านี่”
จองคยูเองก็ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเหมือนบอกว่ามันแปลก ฮาจุนโทรไปหามูคยอมตั้งหลายครั้งแต่เขาไม่รับสาย ฮาจุนถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินไปยืนตรงตำแหน่งที่กำหนดไว้ให้อย่างช่วยไม่ได้ โค้ชเองก็ทำสีหน้าแปลกใจไม่น้อยราวกับไม่ได้รับการติดต่อมาล่วงหน้าเช่นกัน แต่ไม่นานก็เริ่มการฝึกเหมือนปกติ พวกเขาไม่สามารถทำให้การฝึกล่าช้าออกไปเพราะต้องรอคนคนเดียวได้
แม้กำลังออกคำสั่งให้กับพวกนักกีฬาแต่ดวงตาของฮาจุนกลับเอาแต่จับจ้องไปยังทางเข้าสนามฝึกบ่อยครั้ง ‘เมื่อวานมูคยอมดูเหมือนมีเรื่องจะคุยด่วน เขาเลยตั้งใจว่าถ้ามูคยอมมาก็จะบอกทันทีว่าวันนี้ว่างแท้ๆ’
“โอ๊ย ปวดหัวชะมัด”
ฮาจุนมองท่าทางของจองคยูซึ่งกดขมับแน่นในระหว่างฝึก แล้วเขาก็เบนสายตาที่เอาแต่มองไปยังทางเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“ไหวไหม วันนี้มีฝึกแท้ๆ แต่เมื่อวานนายดื่มซะเยอะเชียว”
“พวกคนที่ยังมีชีวิตอยู่กันถึงตอนนี้ถูกผีที่ตายเพราะไม่ได้ดื่มเหล้าเข้าสิงหรือไงนะ นึกว่าจะถึงวันตายของฉันซะแล้ว”
ฮาจุนกดนวดตรงคอของจองคยูพร้อมกับหัวเราะ
“เพราะรวมตัวกันได้แค่นานๆ ครั้งนั่นแหละ พวกเขาถึงกับจองห้องไว้เพื่อดื่มเลยนี่ จะกลัวอะไรล่ะ”
“เฮ้อ พี่แชฮุนบอกว่าจะมา ฉันก็เลยแวะไป กะว่าจะได้ขอบคุณที่มาครั้งก่อนด้วย แล้วก็จะได้ทักทายด้วยสักหน่อย ฉันจะไม่ไปร่วมวงอีกแล้ว”
“วันนี้ค่อยๆ ฝึกสลับกับพักบ้างแล้วกัน ตอนเมาค้าง ถ้าหักโหมเกินไปก็ไม่ดี”
เมื่อวานจองคยูโผล่ไปในงานพบปะสังสรรค์ของพวกโค้ชอยู่ครู่หนึ่ง กะว่าจะแวะไปทักทาย แต่กลายเป็นว่าได้ดื่มเหล้าหนักแบบไม่ได้วางแผนไว้เสียอย่างนั้น ตัวฮาจุนเองเข้าใจความรู้สึกของจองคยูซึ่งส่ายหน้าหวิวๆ ปฏิเสธอย่างสุดชีวิตเป็นอย่างดี
เมื่อวานเป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่แบบที่ไม่มีมานาน ซึ่งมีพวกคนจากท้องที่อื่นๆ เข้าร่วมด้วย สมาชิกที่มาจากต่างเมืองวางแผนว่าจะค้างหนึ่งคืนแล้วค่อยกลับ เพราะอย่างนั้นจึงจองห้องของโมเต็ลใกล้ๆ แล้วไปตั้งวงเหล้ากันที่ร้านเหล้าแถวนั้นตั้งแต่ตอนยังไม่มืดค่ำดี
ถ้าด้วยเหตุผลอื่นก็อาจนอนค้างนอกบ้านได้ แต่ฮาจุนไม่ต้องการทำแบบนั้นเพราะมาร่วมวงเหล้า คนที่มารวมตัวกัน ส่วนใหญ่ค่อนข้างเข้าใจสถานภาพของเขา แต่เพราะมีคนที่มาจากไกลๆ ด้วยเหมือนกัน จึงมีพวกคนที่บ่นกระปอดกระแปดว่า ‘น้องเล็กไม่เคยอยู่ร่วมวงจนจบแล้วหนีกลับไปก่อนทุกครั้ง’ อยู่ด้วย เพราะอย่างนั้น ก่อนไปร้านเหล้า ฮาจุนจึงไปถึงเร็วกว่าเวลานัดนิดหน่อยแล้วซื้อพวกของกินเล่น เหล้า และเครื่องดื่มแก้เมาค้างไว้ล่วงหน้า จากนั้นก็ถือไปที่พักพวกโค้ชต่างเมืองเพื่อทำการทักทายพวกเขาก่อน นี่เป็นความคิดของแชฮุนแล้วดูเหมือนว่าจะใช้ได้เสียด้วย เขาเชี่ยวชาญในการวางตัวกับคนอื่นจริงๆ
พอเข้ามาในโมเต็ลซึ่งจองไว้เป็นที่พัก ใบหน้าของฮาจุนก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาโดยไม่จำเป็น เขาเคยค้างนอกบ้านอยู่สองสามคืนเนื่องมาจากการแข่งขันหรือไม่ก็การฝึก แต่โดยทั่วไปฮาจุนก็นอนในที่พักที่ถูกเตรียมไว้ให้อย่างเหมาะสมต่อการใช้สอย และไม่เคยนอนที่โมเต็ลเลยสักครั้งเดียวเพราะโดยส่วนตัวแล้วแทบจะไม่นอนค้างนอกบ้านเลย ถ้าลองคิดๆ ดู มันก็เป็นเพียงแค่สถานที่ประกอบธุรกิจพักแรมซึ่งไม่ว่าใครต่างก็มาใช้บริการได้ทั้งนั้น แต่พอเจอกับตู้จำหน่ายสินค้าผู้ใหญ่อัตโนมัติตรงทางเดิน เขาก็รู้สึกอายขึ้นมาจนอยากรีบออกไปทันทีที่ทักทายเสร็จ
จองคยูผู้ซึ่งส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความทรมาน จู่ๆ ก็ส่งเสียงดัง ‘อ๊ะ’ พร้อมกับเบิกตากว้าง ฮาจุนเองก็รีบหันหน้าไป
คนมาสายกำลังเดินก้าวฉับๆ ย่ำสนามหญ้าเข้ามา
“คิมมูคยอม! ทำไมถึงมาสายขนาด…นี้”
ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาโดยไม่แม้แต่จะตอบกลับคำทักทายของจองคยูคือคิมมูคยอมไม่ผิดแน่
แต่การที่จองคยูปล่อยให้ท้ายประโยคพูดทักทายอย่างมีชีวิตชีวาเงียบหายไปก็มีเหตุผลอยู่ ฮาจุนก็เบิกตากว้างมองดูชายหนุ่มผู้กำลังเดินเข้ามาใกล้ มูคยอมต้องเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าโดยห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าวก่อน ฮาจุนจึงปริปากพูดขึ้นอย่างทำอะไรไม่ถูกได้
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
คำแสดงความเป็นห่วงถูกเปล่งออกมาเป็นอย่างแรกจากปากของฮาจุนซึ่งขมวดคิ้วเข้าหากันโดยอัตโนมัติ แต่มูคยอมก็ทำเพียงแค่ปรายตามองฮาจุนแวบเดียวเท่านั้น เขาไม่ได้ตอบอะไรแล้วเดินผ่านไปทันที มูคยอมไปยืนอยู่ตรงจุดหนึ่งแล้วเริ่มยืดเหยียดร่างกายขั้นพื้นฐานเพราะพลาดเวลาที่จะทำร่วมกับคนอื่นๆ เนื่องจากมาสาย
ฮาจุนลืมคำที่ตัวเองจะพูดแล้วจับจ้องไปทางมูคยอมอย่างเหม่อลอย สีหน้าของมูคยอมแย่มากเสียจนเทียบกับจองคยูซึ่งทรมานจากการเมาค้างไม่ติด มูคยอมมักเริ่มต้นวันใหม่อย่างไร้ข้อบกพร่องโดยเตรียมสภาพร่างกายให้ดีที่สุดตั้งแต่เช้าตรู่อยู่เสมอ การทำสีหน้าอึมครึมไร้ชีวิตชีวาและขยับร่างกายแบบไร้วิญญาณโดยที่สายตาเหม่อมองไปไกลด้วยดวงตาเหมือนปลาแช่แข็งนั้น ดูราวกับหุ่นยนต์พังๆ แบบไม่สมกับเป็นเขาเลย เพิ่งจะเคยเห็นสภาพแบบนี้ของเขาเป็นครั้งแรก
ฮาจุนเดินเข้าไปใกล้อย่างร้อนรน
“คิมมูคยอม ถ้าร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็พักเถอะ ถึงโดดฝึกพื้นฐานไปสักวัน สภาพร่างกายของนายก็ไม่พังหรอก”
“…ฉันจัดการเองได้”
เสียงของเขาก็ทุ้มต่ำและแหบแห้งเหมือนคนเป็นหวัด ฮาจุนวางมือลงบนไหล่ของมูคยอมราวกับรู้สึกอึดอัดใจ
“การคอยดูแลสภาพร่างกายนักกีฬาคืองานของฉันนะ ทำไมนายถึงทำอะไรตามใจชอบ…”
‘เพียะ’ ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างทันทีที่เสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นเบาๆ เขาลดมือของตัวเองลงเพราะรู้สึกว่าอาจคิดไปเองหรือเปล่า
ไม่ได้คิดไปเอง มือที่ยกขึ้นไปวางบนไหล่ของมูคยอมถูกมือของเจ้าตัวปัดออกจนปลายนิ้วรู้สึกเจ็บแสบ แม้ไม่ได้ปัดออกแรงขนาดนั้นแต่สาเหตุที่ทำให้รู้สึกแปลบๆ คงเป็นเพราะมีความรู้สึกอื่นปะปนกับความรู้สึกที่สัมผัสได้ทางร่างกายจริงๆ ไม่ใช่แค่ตรงปลายนิ้วเท่านั้น แต่ประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างก็กำลังชา ราวกับไข้ขึ้น ราวกับคนที่ขึ้นไปบนภูเขาสูง
แต่ฮาจุนก็รีบสลัดความสับสนที่รู้สึกขึ้นมาชั่วขณะออกไปอย่างรวดเร็วแล้วตั้งสมาธิอยู่กับการสังเกตมูคยอม ไม่ใช่แค่สภาพร่างกายอย่างเดียวเท่านั้นแต่สภาพจิตใจของเขาก็ดูย่ำแย่พอสมควรด้วยเหมือนกัน
“บอกแล้วใช่ไหม ถ้าไม่ใช่เวลาที่ต้องการให้โค้ช อย่าเอามือมาจับ”
“…อืม ขอโทษนะ”
ฮาจุนกล่าวขอโทษอย่างพอเหมาะพร้อมกับลองตั้งใจคิดดูว่าทำไมมูคยอมถึงเป็นแบบนี้ แต่ไม่มีเหตุผลที่พอจะนึกออกเลย
‘ตอนกลางคืนมีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ’ ฮาจุนสงสัยแต่ก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยไปก่อน มูคยอมเป็นคนที่ทำตัวตามอารมณ์ อีกทั้งยังมีนิสัยเรื่องมากและมีด้านอ่อนไหวมากกว่าที่เห็น เวลาแบบนี้ ปล่อยให้เขาพักฟื้นสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเอง แทนที่จะเข้าไปยุ่งน่าจะดีกว่า
ไม่ว่าใครมองมาก็ดูออกว่าเขาอ่อนล้า แต่ไม่มีใครเลยที่จะเข้ามาทักตัวทำคะแนนของทีมซึ่งปกติก็พูดยากอยู่แล้วว่านิสัยดี แม้แต่จองคยูก็ยังปฏิบัติตัวต่อหน้ามูคยอมอย่างระมัดระวังในวันนี้
มูคยอมไม่ใช่นักกีฬาระดับที่จะลงเล่นใน K ลีกมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ไม่มีใครขอร้องให้เขามาเช่นกัน ถึงอย่างนั้น คิมมูคยอมก็เป็นดั่งราชาในสถานที่แห่งนี้ซึ่งไม่มีกระทั่งโค้ชพัคจุนซอง
แม้แต่กลุ่มนักกีฬาวัยรุ่นซึ่งปกติจะมัวแต่หยอกล้อกันเสียงเอะอะอย่างเดียว ในวันนี้ยังลดเสียงลงระหว่างที่ราชากำลังฝึกซ้อมด้วยใบหน้าบึ้งตึง บรรยากาศชวนขนหัวลุกยิ่งกว่าวันแรกกับวันที่สองของการฝึกนอกสถานที่แบบนี้ปกคลุมไปทั่วสนามฝึก
“ทำไมเหม่อกันแบบนั้นล่ะ เก็บสีหน้า ตั้งใจหน่อย!”
ฮาจุนปรบมือเสียงดังพร้อมตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวา ทว่าบรรยากาศก็ไม่ได้เปลี่ยนง่าย ๆ ฮาจุนเลือกเมินเฉยแต่ฝึกซ้อมต่อได้เพียงสิบนาทีก็ถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปหามูคยอม
“คิมมูคยอม”
มูคยอมเพียงแค่ปรายตามองแวบหนึ่งแทนคำตอบ ฮาจุนกดเสียงต่ำแบบที่ไม่เคยใช้เสียงแบบนี้ให้นักกีฬาคนอื่นได้ยินมาก่อน
“ไม่รู้เหรอว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่ทำร่วมกันเป็นทีมตั้งแต่ตอนฝึกซ้อมแล้ว ถ้ามีหนึ่งคนสภาพร่างกายย่ำแย่อย่างหนักก็จะส่งผลกระทบต่อทุกคนในทีม ไม่ใช่ว่าต้องหยุดพักแค่ตอนได้รับบาดเจ็บเท่านั้นนะ พักในเวลาที่ต้องพักก็เป็นเรื่องที่นักกีฬามืออาชีพควรจะทำเหมือนกันไม่ใช่หรือไง วันนี้พักผ่อนซะ ฉันสั่งในฐานะโค้ช”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา
ฮาจุนเดาไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมมูคยอมถึงได้เป็นแบบนี้กันแน่ เมื่อวานยังวิ่งฉิวไปมาในสนามฝึกแล้วยังชวนกินข้าวด้วยกันอย่างอารมณ์ดีอยู่เลย
ห่างกันแค่คืนเดียวแต่มาในสภาพใบหน้าเหมือนครึ่งศพครึ่งคนแบบนี้มันเพราะเรื่องอะไรกันแน่ ในขณะที่ในหัวของฮาจุนมีหลายๆ ความคิดตีกันอย่างวุ่นวาย มูคยอมก็เตะหญ้าแรงๆ หนึ่งครั้งแล้วถอนหายใจพลางพึมพำ
“คุณโค้ชของพวกเราเนี่ย พูดแต่เรื่องถูกต้องและมีเหตุมีผลอยู่เสมอเลยนะ”
“…”
“อย่างกับเป็นหนังสือสอนจริยธรรมแน่ะ”
ไม่รู้ว่าพูดออกมาจากใจจริงหรือว่าประชดกันแน่ ฮาจุนหรี่ตาลงมองเล็กน้อยเพราะคิดว่าเขาจะพูดอะไรต่ออีก แต่มูคยอมกลับหมุนตัวไปโดยไม่บ่นสักแอะ ไม่ได้มีเพียงฮาจุนที่จ้องมองภาพด้านหลังของเขาซึ่งมุ่งหน้าไปทางตึกสำนักงาน แต่นักกีฬาส่วนใหญ่ต่างก็ส่งสายตามองสลับกันไปทีละคน
“เอาล่ะๆ ตั้งใจฝึกกันหน่อย!”
ไม่ได้พูดเรื่องเคร่งเครียดอะไรเลยแต่ภายในใจกลับกังวลขึ้นมาจนเผลอถอนหายใจยาวเหยียดโดยไม่รู้ตัว ฮาจุนตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็เป่านกหวีดดังปี๊ดหนึ่งครั้งแล้วเลิกล้มความสนใจที่มีต่อมูคยอมซึ่งกำลังเดินจากไป
การขยับร่างกายทำให้ความคิดสัพเพเหระหายไป ไม่นานทุกคนก็ลืมเรื่องที่มูคยอมไม่อยู่ และเริ่มมุ่งมั่นไปกับการออกกำลังกาย ยกเว้นคนเพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อการฝึกเข้าที่เข้าทางในระดับหนึ่ง ฮาจุนก็สังเกตท่าทีของคนอื่นแล้วจึงก้าวเดินไปเงียบๆ
‘กลับบ้านแล้วหรือเปล่านะ หรือจะไปอยู่ห้องพยาบาล’
ถ้าหากว่ายังอยู่ก็รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องคุยกัน ฮาจุนจึงมุ่งหน้าไปยังตึกที่มีห้องล็อกเกอร์ เจอกันที่บ้านตามลำพังทีหลังได้ก็จริง แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็กังวลจนไม่อยากยืดเวลาออกไป ในตอนที่เข้ามาในตัวตึกและเปิดประตูออกนั้น
“โอ๊ย ตกใจหมด”
ฮาจุนทำตาโตแล้วโพล่งขึ้นกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ฮาจุนเคยคิดว่ามูคยอมน่าจะอยู่ห้องล็อกเกอร์หรือไม่ก็อยู่ห้องพยาบาล หรือถ้าไม่งั้นก็อาจจะกลับไปแล้ว แต่มูคยอมคนนั้นกลับกำลังนั่งใจลอยเหมือนกำลังทอดสายตามองด้านนอก เขานั่งอยู่แถวๆ บันไดซึ่งมองเห็นสนามฝึกจากด้านใน โดยวางข้อศอกลงบนเข่าแล้วเท้าคางข้างหนึ่ง ถึงแม้จะนั่งอยู่แต่เงาใหญ่ๆ ที่โอ้อวดการมีอยู่ของเขาก็ทำให้ฮาจุนลูบอกของตัวเองพร้อมกับกล่าวตำหนิ
“บอกให้พักแต่ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”
มูคยอมเพียงแค่เหลือบขึ้นมามองฮาจุนซึ่งเดินเข้ามาใกล้อย่างเหม่อลอยในท่าเท้าคางเช่นเดิมและไม่ได้พูดอะไรออกมา ฮาจุนหันหน้าไปทางด้านนอกประตูกระจกที่ซึ่งสายตาของมูคยอมเคยจับจ้องอยู่
‘กำลังมองอะไรอยู่นะ’ สิ่งที่เข้ามาสู่การมองเห็นมีเพียงภาพการฝึกตามปกติเท่านั้น ไม่นานฮาจุนก็เบนสายตามาทางมูคยอมอีกครั้งพร้อมกับเข้าไปยืนตรงหน้าเขาแล้วถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“เป็นหวัดหรือเปล่า ไปห้องพยาบาลกันสักหน่อยเถอะ”
“…ช่างมัน”
“ไม่ใช่ว่าช่างมันสิ อย่านั่งอยู่แบบนี้ที่นี่แล้วไปนอนพัก หรือไม่ก็กลับบ้านไปพักซะ นายดูเหนื่อยนะ ทำไมเป็นแบบนี้ ไม่สมกับเป็นนายเลย”
ถึงจะพูดมากอย่างนั้นอย่างนี้แต่มูคยอมก็ดูแลตัวเองอย่างพิถีพิถันเป็นอันดับหนึ่ง ช่วงนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วก็จริง แต่มีช่วงหนึ่งที่เขามีข่าวลือด้านชู้สาวแพร่กระจายออกไปกับหลายๆ คน และมีบ้างที่ดื่มเหล้าเข้าสังคมกับผู้คนเป็นครั้งคราว เรื่องพวกนั้นเป็นเพียงการออกนอกลู่นอกทางอันน้อยนิดของเขา บุหรี่ก็ไม่สูบ ส่วนเรื่องอาหารการกิน ถ้าไม่ใช่วันพิเศษก็จะเลือกกินเพียงรายการอาหารสำหรับนักกีฬาเท่านั้น
มูคยอมมีความต้องการฝึกในปริมาณมากกว่าคนอื่นๆ เขาจึงต้องจัดเวลาในการพักผ่อนให้เหมาะสมอย่างจริงจัง ฮาจุนไม่รู้เลยว่าคนที่รู้เรื่องนั้นยิ่งกว่าใคร ทำไมวันนี้ถึงเป็นแบบนี้ได้
ความเป็นห่วงล้ำหน้าออกมา ‘มีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้หรือเปล่านะ ถึงจะแข่งแพ้หรืออารมณ์ไม่ดี เขาก็บ่นหรือไม่ก็ระบายความโกรธออกมานี่ ไม่ได้เป็นแบบนี้สักหน่อย’ สีหน้าอึมครึมไร้เรี่ยวแรงและใบหน้าบึ้งตึงแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนถึงตอนนี้ทำให้คำพูดที่ไม่คำนึงถึงความเป็นจริงถูกโพล่งออกมาเป็นอย่างแรกโดยไม่รู้ตัว
“คิมมูคยอม ถ้านายมีเรื่องอะไร… ถ้ามีเรื่องที่ฉันช่วยได้ก็บอกนะ”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ฮาจุนก็ทำได้แค่หัวเราะเยาะตัวเองในใจ ‘ต่อให้มีเรื่องอะไรจริงๆ แต่ตัวเขาเอาอะไรไปช่วยในเรื่องที่ทำให้คิมมูคยอมผู้เพียบพร้อมลำบากได้ล่ะ’