Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 67
“ถึงเป็นเรื่องที่ฉันช่วยไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเล่าให้ฟังแล้วพอรู้สึกโล่งขึ้นได้บ้าง ฉันก็จะช่วยฟังเอง”
“ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”
มูคยอมพูดแบบนั้นพลางลุกขึ้น
“มัวแต่มาทำอะไรตรงนี้ระหว่างฝึกล่ะ กลับไปทำงานต่อเถอะ”
พอมองดูใบหน้าที่ไม่มีชีวิตชีวาอีกทั้งยังดูโทรมของมูคอยมแล้ว ฮาจุนก็เป็นห่วงอย่างหนักจากใจจริง เขาเฝ้ามองมูคยอมในฐานะนักกีฬาอยู่ไกลๆ มาเป็นระยะเวลาสิบปีแล้วถึงได้มามองอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนฝึกซ้อมหรือตอนแข่งขัน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นภาพลักษณ์ที่เหมือนสูญสิ้นแรงบันดาลใจไปจนหมดถึงขนาดนี้
‘หรือมันเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเองหรือเปล่านะ’ จู่ๆ ฮาจุนก็นึกถึงจุดนั้นขึ้นมาแล้วจึงถามออกมาก่อนที่มูคยอมจะก้าวเดินไป
“คิมมูคยอม เมื่อวานเหมือนนายมีเรื่องอะไรจะพูดนี่”
“…”
“เรื่องอะไรล่ะ วันนี้ฉันว่าง กลับบ้านไปคุยกันไหม”
“ไม่ล่ะ เรื่องมันจบไปแล้ว ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
ทันทีที่ฮาจุนพูดจบ มูคยอมก็ตอบเหมือนพูดตัดบท แต่มูคยอมที่บอกว่าไม่มีเรื่องจะพูดแล้วก็ไม่ได้เดินออกไป กลับมองฮาจุนพร้อมพูดขึ้นอีกครั้ง
“นาย…”
เขาเรียกขึ้นมาสั้นๆ แล้วทอดสายตามองอีกฝ่าย ฮาจุนสบตาและรอคอยให้เขาพูดต่อ
แต่มูคยอมก็หลบตาก่อนแล้วกลับไปปิดปากเงียบเช่นเคยราวกับคนทำความผิด จากนั้นก็หมุนตัวไป ฮาจุนมองภาพด้านหลังของมูคยอมซึ่งมุ่งหน้าไปยังห้องล็อกเกอร์โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา นึกสงสัยก็จริงว่ามีเรื่องอะไรถึงได้ชวนไปด้วยกันเมื่อวาน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่จังหวะที่ดีในการจะเซ้าซี้ และถามซักไซ้อีกฝ่าย
เมื่อมูคยอมหายลับไป ฮาจุนจึงออกมากจากตึกแล้วเข้าไปรวมตัวในกลุ่มโค้ชอีกครั้ง เขาทำการฝึกซ้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก็จริง แต่ความสนใจกลับหลั่งไหลไปหามูคยอมเพียงคนเดียวอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่ตารางฝึกที่กำหนดไว้เสร็จสิ้นลง ฮาจุนก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโทรหามูคยอม แต่ก็มีเพียงเสียงสัญญาณดังขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มปลายสายไม่ตอบรับอะไรกลับมาเลย
***
“พี่มูคยอมน่ะครับ”
ใครบางคนเปิดเรื่องขึ้นมา สายตาของพวกนักกีฬาเบนไปทางเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากวันนั้นที่มูคยอมมาสนามฝึกด้วยใบหน้าเหมือนคนใกล้ตาย นี่ก็เป็นวันที่สี่แล้วที่เขาเริ่มไม่มากินมื้อเที่ยงในศูนย์อาหารภายในสนามฝึก
เป็นท่าทีที่ทำให้รู้สึกถึงความแตกแยกไม่น้อย แต่ถ้าจะให้ตำหนิเข้าจริงๆ ก็เป็นการกระทำที่ไม่สมควรจะถูกต่อว่าด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักกีฬาก็เป็นคนประกอบอาชีพหนึ่ง ไม่ได้มีกฎข้อไหนระบุไว้ว่าหากออกไปกินมื้อเที่ยงยังสถานที่ที่ตัวเองต้องการข้างนอกสโมสรแล้วห้ามกลับเข้ามา เพียงแค่กลับมาให้ตรงเวลาฝึกซ้อมก็พอแล้ว
ไม่กี่วันมานี้ เมื่อมูคยอมฝึกช่วงเช้าเสร็จก็จะออกไปอยู่นอกสนามฝึก แล้วเมื่อถึงเวลาฝึกซ้อมบ่าย เขาก็จะกลับมา ฮาจุนไม่แน่ใจว่าเขาได้กินอาหารอย่างเหมาะสมแล้วถึงกลับมาหรือเปล่า เพราะอย่างนั้นเลยรู้สึกอึดอัดใจอยู่เหมือนกัน แต่ฮาจุนก็ไม่คิดว่ามูคยอมจะปล่อยปละละเลยตัวเองถึงขนาดนั้น
ในกลุ่มนักกีฬา บางคนก็มีนัดจึงออกไปกินอาหารข้างนอกแล้วค่อยกลับเข้ามาบ้างเป็นครั้งคราวด้วยเหมือนกัน แต่ช่วงออกไปกินอาหารข้างนอกปกติกับท่าทีของมูคยอมในช่วงนี้ต่างกันอย่างชัดเจนมากเสียจนเด็กน้อยยังแยกออก และท่าทีที่ชอบหนีหายไปก็ทำให้เกิดคำพูดนินทาลับหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ว่าผู้จัดการทีมหรือโค้ชต่างก็ไม่สามารถควบคุมไม่ให้มันเกิดขึ้นได้
ปัญหาไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างพวกกินข้าวที่ไหนอย่างไรแต่เป็นบรรยากาศของทีมต่างหาก การแข่งครั้งแรกในครึ่งหลังของฤดูกาลใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว แต่ตัวทำคะแนนของทีมกลับอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้แล้วแยกตัวออกไปตามลำพังด้วยตัวเองโดยไม่บอกเหตุผลแบบนั้น ต่อให้บอกว่าเป็นทีมที่ดีเลิศมากแค่ไหนก็ยากที่จะลงแข่งขันด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมได้
ไม่ว่าคิมมูคยอมจะเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจมากแค่ไหน แต่ทีมไม่สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อคิมมูคยอมเพียงคนเดียวได้ ฮาจุนไม่เคยคิดว่ามูคยอมเป็นนักกีฬาอ่อนหัดที่จะไม่รู้เรื่องแค่นั้น หลังจากวันนั้น มูคยอมก็ปิดปากเงียบสนิทราวกับปฏิเสธที่จะทำการพูดคุย ฮาจุนไม่เข้าใจสถานการณ์เลยว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถดึงมูคยอมให้ขึ้นมาจากช่วงฟอร์มตกอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุนี้ได้
ผู้จัดการทีมและกลุ่มโค้ชไม่สามารถคิดหาวิธีจัดการอย่างเด็ดขาดตอนนี้ได้ พวกเขาจึงจงใจทำเป็นไม่เห็นท่าทีแบบนั้นของมูคยอมแล้วเลือกที่จะเป็นฝ่ายมองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมาย แต่แน่นอนว่าพวกนักกีฬาต่างก็พากันพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกแบ่งแยกในกลุ่มของพวกเขา
“เห็นอยู่เงียบๆ พักหนึ่งแต่ดูเหมือนจะสร้างเรื่องอีกแล้วนะครับ”
“เรื่องเหรอ เรื่องอะไร”
คำพูดถัดมาทำให้จองคยูถามขึ้น นักกีฬาที่เป็นคนเริ่มพูดจึงกดเสียงต่ำลง
“เมื่อวานคนรู้จักผมได้รับเชิญเป็นแขกวีไอพีไปปาร์ตี้เปิดผับที่อีแทวอนแล้วบอกว่าเจอพี่มูคยอมน่ะครับ บอกว่าอยู่กับผู้หญิงที่สวยสุดๆ เลยด้วย”
“อะไรนะ เรื่องจริงเหรอ”
“บอกว่าเมื่อวานก็ดูอารมณ์ไม่ค่อยจะดีด้วย… สาวสวยอยู่ข้างๆ แล้วอารมณ์ไม่ดีได้ยังไงกัน”
จองคยูเป็นคนย้อนถาม แต่คนที่เบิกตากว้างแล้วหยุดขยับช้อนกับตะเกียบกินข้าวกลับกลายเป็นฮาจุนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง
โชคดีที่คนอื่นไม่ได้ใส่ใจท่าทีแข็งทื่อของเขาขนาดนั้น ฮาจุนรีบปรับสีหน้าของตัวเองอีกครั้งแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเป็นอย่างแรก ในระหว่างนั้น จองคยูกับนักกีฬาคนอื่นๆ ก็พูดคุยกันต่อ
“แปลกแฮะ ช่วงนี้เงียบมากแท้ๆ ไม่ใช่แค่ไม่มีเรื่องอื้อฉาวแต่ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นแบบนั้นเลยต่างหาก เมื่อก่อนยังไงไม่รู้ แต่ก็เคยพูดเรื่องลงหลักปักฐานแล้วก็พูดเหมือนจะมีแฟนอยู่นี่ แต่หลังจากนั้นก็เงียบมากจริงๆ ถึงไม่ได้เล่าแต่คงจะมีแฟนจริงๆ สินะ”
“ถ้างั้นก็ทะเลาะกับแฟนหรือเปล่า ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรสักอย่างนะครับ”
“ไม่รู้สิ เขาไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังสักนิด ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฉันฟังค่อนข้างเยอะนะ แต่ช่วงนี้ก็… มูคยอมเป็นคนพูดมากกว่าที่เห็นแต่นี่เงียบฉี่เลย”
จองคยูหันมาหาฮาจุน
“ฮาจุน นายล่ะ ได้ยินเรื่องอะไรมาบ้างหรือเปล่า”
“ไม่เลย”
ฮาจุนตักข้าวเข้าปากหนึ่งคำพร้อมกับปลอบโยนภายในหัวที่กำลังตีกันยุ่งเหยิงให้เย็นลงด้วย แต่ปากกลับรู้สึกอย่างกับเคี้ยวอะไรกรอบแกรบเหมือนเคี้ยวทราย ในถาดยังเหลืออาหารอยู่ครึ่งหนึ่งแต่รู้สึกเหมือนไม่สามารถกินมากไปกว่านี้ได้แล้ว ฮาจุนรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนและจู่ๆ ก็เหมือนจุกที่กระเพาะอาหาร
“ฉันไปก่อนนะ”
“ทำไมล่ะ ไม่กินต่อแล้วเหรอ”
“วันนี้รู้สึกอาหารไม่ค่อยย่อยน่ะ”
ฮาจุนยกถาดไปคืนแล้วเดินออกจากศูนย์อาหารมาตรงทางเดิน นักกีฬาที่เดินสวนกันก้มหัวทักทายเขา
“ทานข้าวแล้วเหรอครับ โค้ช”
“อืม กินกันอิ่มไหม”
ฮาจุนเดินไปพร้อมฉีกยิ้มราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ภายในหัวกลับมีเสียงบทสนทนาเมื่อครู่นี้ดังขึ้นซ้ำๆ อย่างไม่เป็นลำดับ
ฮาจุนคิดทบทวนบทสนทนาในศูนย์อาหารทีละคำ ทีละคำ แล้วเขาก็แค่นหัวเราะออกมาเสียเฉยๆ ถ้ายกสิ่งที่มูคยอมเคยพูดตอนเริ่มความสัมพันธ์ช่วงแรกมา บุคคลสำคัญของเรื่อง ‘ลงหลักปักฐาน’ ที่จองคยูพูดถึงก็คือเขาอย่างแน่นอน แต่ ‘แฟน’ ที่บอกว่าทะเลาะกันกลับไม่ใช่เขา
เขาเดินเอื่อยๆ ไปทั่วราวกับคนไม่มีที่ไปแล้วจึงเปิดประตูห้องรับรองห้องหนึ่งซึ่งว่างอยู่ ฮาจุนยืนพิงประตูที่ปิดลงอยู่นิ่งๆ แล้วลากเก้าอี้เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดมาทิ้งตัวลงบนนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาฟังเรื่องน่าตกใจอย่างสุดขีดอะไรขนาดนั้นกัน ถึงได้รู้สึกเวียนหัวเหมือนมีดาวดวงเล็กๆ ลอยแวบไปมาอยู่ตรงหน้า
สุดท้ายก็ต้องถามคำถามที่จงใจหลีกเลี่ยงกับตัวเองจนได้
‘เรื่องชั่วคราว’ มันจบลงแล้วสินะ
การพูดคุยอย่างจริงๆ จังๆ กับมูคยอมครั้งสุดท้ายคือวันที่เขาปฏิเสธเพราะมีนัดกินมื้อเย็นที่เคยชวนไป วันก่อนหน้านั้น พวกเขายังมีเซ็กส์กันเหมือนปกติ และวันต่อจากนั้น มูคยอมก็ยังบอกให้มาเจอกันตามลำพังตอนเย็น แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับธุระอันเป็นความลับของพวกเขาทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย
หากเย็นชาแค่กับตนแล้วไม่มีปัญหาในส่วนอื่นก็อาจจะไม่เป็นไร แต่แม้กระทั่งในสนามฝึก มูคยอมก็แสดงท่าทีหดหู่ออกมาให้คนอื่นได้เห็นกันทั่ว เพราะอย่างนั้นจึงเป็นเรื่องยากในการจะทำความเข้าใจว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน มูคยอมถึงได้เป็นแบบนั้น หากคิดว่าเป็นแค่เพราะตัวเขาเองก็ยากเหมือนกัน ฮาจุนจึงทั้งลองหาข่าวและลองถามคนที่น่าจะรู้ว่าระหว่างที่เขาไม่รู้เรื่องมันมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ แต่ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่พอจะเผยออกมาให้โลกได้รับรู้เลย
เพราะท่าทางของเขาต่างออกไปจากปกติ ฮาจุนจึงทั้งลองโทรและลองส่งข้อความไปหา แต่ไม่ใช่แค่เพียงไม่รับโทรศัพท์เท่านั้น แม้กระทั่งข้อความก็ยังไม่เคยตอบกลับมาสักครั้งเดียว ถึงแม้ฮาจุนจะลองชวนคุยที่สนามฝึก มูคยอมก็จะตอบเหมือนไม่อยากตอบหรือไม่ก็เลี่ยงออกไปก่อนที่จะได้พูดอะไรด้วยซ้ำ
แล้วเขาจะว่าอะไรได้ หากคิดว่ามูคยอมฟอร์มตกเนื่องมาจากความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองก็ดูจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้นที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะฉะนั้นฮาจุนจึงตั้งใจว่าจะไม่เดามั่วซั่ว
แต่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ธรรมดามาตั้งแต่แรกแล้ว จนถึงตอนนี้ มูคยอมต้องการใช้เวลาหลังเลิกงานกับฮาจุนบ่อยเสียจนฮาจุนต้องปฏิเสธออกไปบ้าง ไม่สิ พูดให้ถูกก็คืออยากอยู่ตลอดเลยต่างหาก หลังมีความสัมพันธ์แบบนี้กับเขา มูคยอมก็มักจะชวนให้มาอยู่ด้วยกันตอนกลางคืนทีละสองสามวัน หากไม่ได้มีธุระอื่น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้เอ่ยปากชวน มิหนำซ้ำยังไม่แม้แต่จะเอ่ยปากชวนคุยเล่นอีกด้วย
มูคยอมเป็นผู้ชายที่เคยคุยๆ กับเขาอยู่ แต่แล้วก็ออกไปข้างนอกทันที ซึ่งดูออกว่าจะไปหาผู้หญิง เพราะฉะนั้นต่อให้บอกว่าอยู่ๆ มูคยอมก็ไปสานสัมพันธ์กับหญิงสาวในสถานที่ที่เสียงดังครึกโครมแบบนั้นทั้งที่ไม่มีวี่แววมาก่อน มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร ถ้าเขาใช้เวลากับมูคยอมเหมือนปกติก็คงไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับคำพูดที่บอกว่าเห็นมูคยอมอยู่กับผู้หญิง แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว
ถ้าหากไม่ได้เพลิดเพลินไปกับช่วงกลางคืนเลยก็ไม่แน่ แต่การหลบหน้ากันตลอดเวลาแล้วไปอยู่กับคนอื่นก็เป็นเรื่องที่ความหมายชัดเจน มูคยอมเป็นคนพูดเองว่าห้ามมีความสัมพันธ์กับคนอื่นในช่วงที่มีความสัมพันธ์ร่วมกัน ฮาจุนต้องการให้เขาสบายใจขึ้นจึงรับปากสัญญา แต่อย่างไรเสีย สำหรับฮาจุน มันก็เป็นคำสัญญาที่ไม่มีแม้แต่ตัวเลือกว่าจะรักษาไว้หรือไม่อยู่แล้ว
ฮาจุนไม่อยากดันทุรังบีบบังคับมูคยอมด้วยเงื่อนไขเดียวกัน เขาไม่เคยโลภมากว่าอยากเป็นคนเดียวของมูคยอม และไม่เคยรู้สึกว่าการเป็นคนเดียวของมูคยอมแค่ชั่วคราวจะมีความหมายยิ่งใหญ่อะไรด้วย เพียงแต่เขาคิดว่าจะสามารถรักษาตำแหน่งคนข้างกายของมูคยอมเอาไว้ได้ จนกว่าจะถึงฤดูกาลสุดท้ายแล้วมูคยอมจะกลับไป เพราะมูคยอมพูดแบบนั้น พูดว่าจนกว่าจะถึงตอนนั้น ความสัมพันธ์นี้ก็จะดำเนินต่อไป
แต่หากลองคิดดูแล้ว คำพูดนั้นน่าจะเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของมูคยอมในตอนนั้นเท่านั้นเอง ไม่ใช้ทั้งข้อตกลง ไม่ใช่ทั้งสัญญา ไม่ใช่อะไรเลยสักอย่างเดียว
จนถึงตอนนี้ มูคยอมกับเขาเรียกช่วงเวลานัดหมายอันเป็นความลับของเราทั้งสองด้วยคำอันแสนกำกวมว่า ‘เรื่องชั่วคราว’ และเรื่องที่ว่าตนไม่ใช่คนที่จะกำหนดจุดจบของเรื่องนี้ แน่นอนว่าฮาจุนเองก็รู้ดีมาตั้งแต่แรกแล้ว
“อย่างนั้นเองสินะ”
ฮาจุนจมอยู่ในห้วงความคิดอย่างเงียบงันพักหนึ่ง คำพึมพำคนเดียวลอดออกมาจากปากของเขาโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงของเขาไม่ได้สับสนวุ่นวายมากมายอีกทั้งยังสงบ
สัญญาณทุกอย่างกำลังชี้ไปที่คำตอบเพียงหนึ่งเดียว จริงๆแล้ว ถึงแม้ว่าจะรู้ล่วงหน้า แต่สองสามวันมานี้ ดูเหมือนว่าเขาคงปฏิเสธมันเพราะไม่อยากยอมรับคำตอบที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยึดติดกับสิ่งที่มองไม่เห็นและเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นไปมากกว่านี้ มูคยอมอาจไม่เรียกหาเขาชั่วขณะหนึ่งเพราะมีเหตุผลบางอย่างก็ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะไม่คิดว่าความสัมพันธ์นี้สิ้นสุดลง เขากำชับกับตัวเองแล้วว่าจนกว่ามูคยอมจะเป็นคนบอกจากปากว่าความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่จบลงแล้ว เขาจะไม่เดาสุ่มไปคนเดียว และถ้าหากว่ามูคยอมบอกให้รู้ว่ามันจบแล้วจริงๆ เขาก็จะยินยอมโดยไม่ปริปากบ่น
…แต่ถ้าลองคิดดูแล้ว ก็ไม่มีวิธีที่จะบอกให้รู้ว่ามันจบลงเช่นกัน
ความโชคดีซึ่งถูกมอบให้ราวกับของขวัญ จู่ๆ วันหนึ่งกลับถูกเก็บไปเงียบๆ โดยไม่มีใครรู้ เรื่องน่าดีใจมากมายหลายอย่างซึ่งเคยได้สัมผัสในขณะใช้ชีวิตมาจบสิ้นลงไปแบบนั้น เหมือนกับทำให้คนเราลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วปล่อยให้ร่วงลงมาบนพื้นอย่างไร้ซึ่งสัญญาณเตือนใดๆ
ป่านนี้แล้วยังจะคิดว่าไม่ใช่… เขาไม่ได้ยอมรับความเป็นจริงอย่างซื่อตรงเลย คงเป็นเพียงการหาเหตุผลของตัวเองมาอ้าง โดยเชื่อแค่เรื่องที่อยากเชื่อ หรือไม่ก็ปิดหูปิดตาต่อความจริงเท่านั้นเอง
อย่างน้อยก็ด้วยวิธีที่พอใช้ได้สักอย่าง อย่างน้อยก็แค่ในเวลาที่กำหนดไว้ เขาอยากเป็นคนอยู่ใกล้ชิดข้างกายของมูคยอมมากที่สุด แต่ดูเหมือนว่าแค่จะทำแบบนั้น เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำจนถึงที่สุดเลย เสียดายก็จริงแต่ก็ไม่ใช่ว่ายอมรับไม่ได้ อย่างไรเสีย เขาก็อยู่ในสถานะที่เตรียมใจว่าจะถูกยุติความสัมพันธ์ในตอนที่สารภาพรักแล้ว
‘ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทำไมถึงกะทันหันแบบนี้นะ’
“แค่บอกว่าให้จบกันเฉยๆ ก็พอนี่…”
ไม่ว่าอย่างไร เสียงพูดคนเดียวที่เจือไปด้วยความขุ่นเคืองใจก็ดังขึ้น มันเกี่ยวอะไรกับสาเหตุที่ทำให้มูคยอมสีหน้ามืดมนขนาดนั้นในช่วงนี้ไหมนะ แม้ว่าเขาจะนึกอยากฟังเหตุผลสักหน่อย แต่ก็คิดขึ้นมาว่ารู้แล้วจะได้อะไรด้วยเช่นกัน
ฮาจุนไม่ได้คาดหวัง แต่ถ้าหากมูคยอมตอบรับคำสารภาพในวันนั้นแล้วกลายมามีความสัมพันธ์แบบคนรักกัน ก็น่าจะถามเหตุผลหรือแสดงออกว่าโกรธในสถานการณ์แบบนี้ได้ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่มันคลุมเครือทั้งตอนเริ่ม และตอนจบ เป็นความชั่วคราวเหมือนกับปราสาททรายเล็กๆ ที่หากคลื่นซัดผ่านไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
จิตใจของฮาจุนว่างเปล่าเหมือนตอนรูปปั้นทรายซึ่งตนตั้งอกตั้งใจก่อมันขึ้นมาเป็นอย่างมากถูกความเร็วของกระแสน้ำซัดจนถล่มไปในครั้งเดียว ถึงอย่างนั้น สาเหตุที่สามารถจัดการความรู้สึกได้ทั้งที่จิตใจว่างเปล่าถึงขนาดนั้นเป็นเพราะส่งผ่านความรู้สึกให้เขาแล้วอย่างแน่นอน ถ้าจุดจบอันกะทันหันมาเยือนตอนเอาแต่คิดหลายๆ เรื่องอยู่คนเดียวจนทำอะไรไม่ถูก เขาคงจัดการกับความคิดต่างๆ อย่างสุขุมเหมือนตอนนี้ได้ยากแน่ๆ
‘ตอนที่นอนกับนายครั้งแรก นายมีเหตุผลอื่นอีกไหม’
คำพูดของมูคยอมซึ่งเคยได้ยินเมื่อไรสักตอนแวบผ่านหูไป ตอนเริ่มไม่ได้มีเหตุผลอะไร เพราะฉะนั้นตอนจบก็ไม่จำเป็นจะต้องมีเหตุผลด้วยเหมือนกันหรือเปล่านะ บางทีอีฮาจุนที่เคยรู้สึกดีด้วยจนถึงเมื่อวาน จู่ๆ วันนี้อาจไม่อยากเห็นหน้าขึ้นมาก็ได้ ถึงขนาดรู้สึกรำคาญกับแค่การจะดันทุรังไปบอกว่าให้จบกัน
ฮาจุนหลับตาสนิทโดยที่เอนศีรษะเงยหน้าหาเพดาน เขาสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนมันออกมา ฮาจุนดันตัวลุกขึ้น จากนั้นก็ยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นมาตบลงบนสองแก้มของตัวเองหนึ่งครั้งจนมีเสียงดังแปะ
“ตั้งสติกันดีกว่า”
อีกไม่นานก็จะถึงการแข่งครั้งแรกของฤดูกาลครึ่งหลังแล้ว เรื่องที่ต้องกังวลตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำไมมูคยอมถึงจะจบความสัมพันธ์แบบคู่นอนกับเขา แต่เป็นเรื่องของดาวเด่นตำแหน่งกองหน้าผู้อารมณ์แปรปรวนและชอบแยกตัวออกไปราวกับเป็นโรคซึมเศร้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน ว่าจะทำให้เขาสามัคคีกับทีมอีกครั้งเพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้อย่างไรต่างหาก
ถ้าจะลองถามเรื่องที่สงสัยก็เอาไว้ทีหลัง ต้องมีสมาธิกับงานที่ควรต้องจัดการก่อนเป็นอย่างแรก หากเรื่องฟอร์มตกของมูคยอมในช่วงนี้ได้รับผลกระทบมาจากเขาจริงๆ เขาก็จำเป็นจะต้องรับรู้สาเหตุและแก้ไข ไม่ใช่เพื่อคืนความสัมพันธ์ในฐานะคู่นอน แต่เพื่อดึงฟอร์มของคิมมูคยอมซึ่งเป็นตัวทำคะแนนของทีมให้กลับคืนมาดั่งเดิม
แม้ว่าจะไม่ใช่ตอนนี้แต่ลองเล็งหาจังหวะหน่อยดีกว่า บรรยากาศตอนนี้คือมูคยอมเลี่ยงที่จะสนทนากับเขาก็จริง แต่โอกาสในการจะได้คุยกันจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน
ฮาจุนตั้งสติแล้วออกมาจากห้องรับรอง