Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 68
การแข่งขันภาคฤดูร้อนถูกจัดขึ้นในช่วงเย็นซึ่งพระอาทิตย์อันร้อนระอุได้คลายความร้อนลงบ้างแล้ว
หลังการหยุดพักชั่วคราวในหน้าร้อนซึ่งจะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว สนามกีฬาที่ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งก็เต็มไปด้วยความเร่าร้อนจากการเชียร์ในระดับที่แสงแดดตอนกลางวันช่วงกลางฤดูร้อนยังอาย เสียงกู่ร้องและเสียงเพลงเชียร์ดังสนั่นหวั่นไหวออกมาอย่างต่อเนื่องจากด้านในสนามกีฬากว้างขวาง และเสียงร้องตะโกนกับเสียงอุทานด้วยความประทับใจก็ไม่ได้ดังออกมาจากฝั่งของผู้ชมเท่านั้น
“ไม่ใช่มนุษย์แล้ว”
“บ้าจริงๆ บ้ามากๆ”
พวกนักกีฬาตัวสำรองซึ่งนั่งอยู่ตรงม้านั่งอุทานออกมา อีกทั้งยังพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ฮาจุนเห็นด้วยกับคำพูดนั้นในใจแล้วจ้องมองไปยังสนามเบื้องหน้าโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา
จนถึงตอนก่อนแข่งวันนี้ สตาฟของทีมซิตี้โซลก็ดูเหมือนยังหยุดความกังวลไม่ได้ สาเหตุเกิดจากตัวทำคะแนนตำแหน่งกองหน้าซึ่งสองสามวันมานี้ เขาเลิกงานไปด้วยใบหน้าแข็งตึงโดยไม่มีการพูดคุยแบบที่ควรจะเป็นเลยสักคำเดียว เขาไม่ได้ทำท่าขี้เกียจฝึกซ้อมหรืออู้งานก็จริง แต่ท่าทางที่ใครมองมาก็รู้ว่าฟอร์มตกทำให้กลุ่มโค้ชทุกคนต่างพากันกังวลเรื่องความเล่นเข้าขากับทีม และความสามารถในการแข่งขันของเขา
แน่นอนว่าฮาจุนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาครุ่นคิดอยู่คนเดียวเมื่อครั้งก่อน หลังจากนั้นจึงปรึกษากับคนอื่นๆ แล้วถอนตัวออกจากการฝึกของมูคยอม แน่นอนว่าเขาไม่ได้อธิบายเรื่องหยุมหยิมกับคนอื่นว่า ความสัมพันธ์แบบคู่นอนของเขากับมูคยอมจบลงแล้ว มูคยอมจึงดูเหมือนไม่อยากเห็นหน้าเขา เพราะอย่างนั้นให้เขาออกจากโปรแกรมฝึกซ้อมของมูคยอมจะดีไหม
เขาเพียงแค่เสนอแนะว่าเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการฝึกซ้อมของมูคยอมสักเล็กน้อยน่าจะดีกว่าหรือเปล่า จากนั้นก็ให้โค้ชคนละกลุ่มกับตอนปกติคอยเฝ้าสังเกตเขามากขึ้นอีกหน่อย ฮาจุนทั้งลองปรึกษากับคนอื่นๆ แล้วเปลี่ยนโปรแกรมฝึกซ้อม ทั้งไปขอร้องพ่อครัวแม่ครัวร้านอาหารให้ทำอาหารที่มูคยอมชอบ
ทว่าเปล่าประโยชน์ ถึงแม้จะพยายามหลายๆ อย่างแต่ท่าทางของมูคยอมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก พอคนอื่นพากันถอนหายใจออกมา ฮาจุนก็จะนึกถึงมูคยอมในสมัยเด็กตอนอยู่คนเดียวขึ้นมาด้วย คิมมูคยอมในวัยสิบหกปี หากคนอื่นทำให้อารมณ์ไม่ดีแค่เพียงนิดเดียว เขาก็จะแยกตัวออกไปจากสนามฝึก และถึงแม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าผู้จัดการทีมหรือพวกรุ่นพี่ เขาก็ยังคงนอนหลับหรือไม่ก็ใส่หูฟังฟังเพลงด้วยใบหน้าขมึงตึงอยู่ทุกวันอย่างหน้าตาเฉย
‘ผ่านไปสิบปีแล้ว นายยังเป็นแบบเดิมอยู่ได้ยังไงนะ’
ฮาจุนคิดแบบนั้นแล้วหัวเราะคิกคัก แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อคิดมาถึงเรื่องที่ว่ากระทั่งตอนนั้นก็ยังเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเขา แต่ช่วงนี้กลับไม่เห็นเลย ความรู้สึกของฮาจุนก็พลันหนักอึ้งขึ้นมายิ่งกว่าเดิม
‘อย่างน้อยถ้าหากผู้จัดการทีมพัคเป็นคนคุมทีมอยู่ตอนนี้ล่ะก็…’ มีคนเสนอความคิดเห็นว่าให้ลองปรึกษากับผู้จัดการทีมพัคดูเหมือนกัน แต่ฮาจุนก็ไม่ได้ทำตามนั้นเพราะมีเสียงคัดค้านว่าอาจจะไปสร้างความกังวลใจให้คนที่ยังคงพักฟื้นร่างกายเปล่าๆ
“เฮ้ยๆๆ อย่างงั้น! ยิงเลย ยิงเข้าไปเลย!”
ฮาจุนจดจ่ออยู่กับการแข่งขันตรงหน้า โดยมีเพลงประกอบฉากเป็นเสียงกระตุ้นปนเสียงเชียร์จากโค้ชคนหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องราวในระหว่างนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่เรื่องน่าตกใจมันเริ่มต้นต่อจากเสียงนกหวีดซึ่งบอกให้รู้ว่าการแข่งขันเริ่มขึ้นแล้วต่างหาก
มูคยอมซึ่งลงสนามในวันนี้มีสภาพร่างกายและจิตใจสมบูรณ์แบบ ต่างจากความเครียดและความกังวลของคนอื่น ไม่สิ การเคลื่อนไหวร่างกายของเขากลับเฉียบคมและแม่นยำกว่าตอนปกติเสียด้วยซ้ำ บอกว่าท่าทางของเขาดูโหดเหี้ยมก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลย
บอลจากฝ่ายคู่แข่งพุ่งขึ้นสูงกลางอากาศแล้วร่วงลงพื้นโดยไม่มีใครแย่งชิงที่จะโหม่งมัน ลูกบอลถูกเตะสลับไปมาไม่มีหยุดระหว่างเท้านักกีฬาหลายๆ คน แต่แล้วก็ถูกเท้าของฝ่ายตั้งรับเตะอย่างแรงจนลอยไปทางเส้นประตู ลูกบอลลอยข้ามเส้นไปทำให้ทีมซิตี้โซลได้สิทธิ์ในการเตะมุม
ผู้เตะมุมตั้งอกตั้งใจเตะลูกให้ลอยขึ้นไปเพื่อไม่ให้บอลพุ่งไปยังจุดที่คาดไม่ถึง บอลกลับเข้ามาในสนามกีฬาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว มันตกลงตรงหน้านักกีฬาทีมซิตี้โซล และหลังจากส่งบอลกันหลายต่อหลายครั้ง จุดที่บอลไปถึงเป็นตำแหน่งสุดท้ายก็คือตรงหน้าเท้าของมูคยอมนั่นเอง
ดังคำพูดที่ว่า ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม ลูกบอลจากทุกคนในโซลซิตี้ก็มุ่งไปหามูคยอมเช่นเดียวกัน เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีท่าทีเหมือนเอาใจออกหากจากทีมจนหมดสิ้นเหมือนที่ได้เห็นกันในช่วงนี้ แต่เขาก็ยังคงเป็นความหวังของทีม อีกทั้งวันนี้เขาได้แสดงให้เห็นฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุด สมาชิกในทีมจึงเชื่อมั่นความเป็นจริงในจุดนั้น
ชีวิตส่วนตัวก็คือชีวิตส่วนตัว งานก็คืองาน เช่นเดียวกับคำที่มูคยอมชอบบ่นเป็นครั้งคราว ไม่ว่าท่าทีระหว่างฝึกจะเป็นยังไง แต่หากแสดงภาพลักษณ์ที่มีอานุภาพให้เห็นในการแข่งขัน ก็แค่ให้ความสนใจกับพลังในตอนนั้นก็พอแล้ว
มูคยอมวิ่งฉิวด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ฝ่ายตั้งรับซึ่งวิ่งนำหน้ามูคยอมอยู่เข้าไปสกัดเขาไว้อย่างยากลำยาก เขาทำท่าเหมือนจะเบี่ยงหลบฝ่ายตั้งรับไปทางด้านซ้ายแต่แล้วกลับวิ่งเลี้ยงบอลไปทางด้านขวาอย่างฉับพลัน การเปลี่ยนทิศทางอันว่องไวทำให้ฝ่ายตั้งรับก้าวพลาด มูคยอมจึงวิ่งตรงไปข้างหน้าในระหว่างนั้นได้ นักเตะจำนวนหนึ่งซึ่งตามติดมาข้างหลังเขาตั้งใจจะขวางไว้ในขณะที่เขาลังเลไปครู่หนึ่ง แต่ก่อนที่พวกนั้นจะได้ทุ่มกำลังของตัวเองออกมาให้เห็น มูคยอมก็เตะลูกบอลออกไปเสียแล้ว
ลูกบอลลอยไปอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับลำแสงสีขาว มันเบี่ยงออกจากมือของผู้รักษาประตูไปไกลแล้วพุ่งเข้าไปทำให้ตาข่ายโกลฟุตบอลสั่นสะเทือน
“เฮ!”
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังกังวานไปทั่วสนามกีฬาราวกับเสียงฟ้าลั่น มันดังพอๆ กับเสียงโห่ร้องในการแข่งขันระดับประเทศ เป็นแบบนั้นก็ไม่แปลก เพราะลูกบอลที่ทำประตูได้เมื่อสักครู่นี้เป็นลูกที่ห้าของมูคยอมแล้ว หลังจากมูคยอมมาที่นี่ เขาก็ทำแฮตทริก[1]สำเร็จไปหลายครั้ง แต่การทำประตูได้ห้าแต้มในการแข่งขันครั้งเดียวเพิ่งเคยเกิดขึ้นวันนี้เป็นครั้งแรก
“เฮ้อ…”
ฮาจุนยืนเงียบอยู่ท่ามกลางสตาฟคนอื่นๆ ซึ่งกำลังร้องตะโกนกันเสียงดัง ในที่สุดเสียงถอนหายใจสั่นๆ ก็ดังออกมาจากปากของฮาจุนโดยอัตโนมัติ คอของเขาขนลุกเกรียว ฮาจุนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่ที่กังวลว่ามูคยอมอาจสูญสิ้นแรงบันดาลใจในฐานะนักกีฬาไป หรือไม่ก็กลัวว่าจะไม่สามารถดึงฟอร์มของมูคยอมให้กลับมาดีที่สุดได้ ความกังวลในตัวคิมมูคยอมเป็นความกังวลที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในโลกจริงๆ
เขาไม่ได้รู้สึกไม่เบิกบานใจ เพียงแค่รู้สึกว่ามูคยอมอยู่เหนือกว่าอีกแล้วเท่านั้น พรสวรรค์ที่ฟ้าประทานให้คนคนหนึ่งก็เหมือนกับดินแดนเร้นลับแห่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นเพียงแค่ได้มองดูอยู่ตรงหน้าก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมาทำให้คนอื่นรู้สึกสั่นสะท้านได้แล้ว
หากภาชนะบรรจุพรสวรรค์มีรูปร่างแข็งแกร่งและงดงามราวกับรูปแกะสลักที่พระเจ้าสรรค์สร้าง การที่ภาชนะนั้นจะช่วงชิงวิญญาณของคนอื่นไปก็จะเร็วเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น หากไม่เหนี่ยวรั้งเอาไว้ให้แน่น ตอนตั้งสติขึ้นมาได้ก็จะสายเกินไปเสียแล้ว หากมัวแต่ยืนอยู่ตรงหน้าภาชนะที่ถูกเนรมิตขึ้นใบนั้นต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะรู้สึกว่าตัวตนของตนเอง ความกลัดกลุ้มใจ ความรู้สึกอันเห็นแก่ตัว หรือแม้แต่ความปรารถนาที่กักเก็บเอาไว้ ทุกอย่างช่างดูต่ำต้อยอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
สมองรับรู้ว่าคิมมูคยอมเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแค่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในการเตะฟุตบอลเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น ในเวลาแบบนี้ สัญชาตญาณในฐานะสิ่งมีชีวิตกลับเคลื่อนไหวไปก่อนจะทันได้คิดอย่างมีสติ
เพียงประตูที่มูคยอมยิงได้ก็ตั้งห้าประตู ซิตี้โซลเปิดฉากฤดูกาลครึ่งหลังโดยได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ด้วยคะแนนเจ็ดต่อสอง แน่นอนว่าได้เห็นคิมมูคยอมทำคะแนนถึงห้าประตูก็ย่อมตื่นตาตื่นใจกันมาก ทั่วทั้งอัฒจันทร์เชียร์มีบรรยากาศราวกับงานเทศกาล ผู้ชมเพลิดเพลินสุดขีดไปกับการแข่งขันอันน่าตื่นเต้นซึ่งเหล่านักแข่งต่างกระหน่ำยิงประตูกันอย่างเต็มที่
เหล่านักกีฬาของทีมซิตี้โซลพากันกระโดดโลดเต้นอย่างหน้าชื่นตาบาน แน่นอนว่าพวกเขาควรต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจหรือไม่ก็หวาดเกรงดาวเด่นของทีมซึ่งทำตัวหยิ่งยโสจนดูเหมือนไม่สนใจทีมอยู่พักหนึ่ง แต่เหล่านักกีฬาที่ได้รับชัยชนะกลับเริงร่าจนดึงตัวมูคยอมเข้ามากอดแล้วบีบนวดตัวเขา ซ้ำยังไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ได้ กระทั้งพวกสตาฟทุกคนยังตรงไปห้องล็อกเกอร์แล้วยินดีกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของการแข่งขันแรกในฤดูกาลครึ่งหลัง
คงเพราะการแข่งขันจบลงไปด้วยชัยชนะครั้งใหญ่ อีกทั้งยังได้ขยับเขยื้อนร่างกายมาอย่างเต็มที่ สีหน้าของมูคยอมจึงดูไม่แย่ หากเทียบกับใบหน้าอึมครึมที่แสดงออกมาให้ได้เห็นกันในช่วงล่าสุดมานี้ มูคยอมแปะมืออย่างพอเหมาะกับพวกนักกีฬาซึ่งกำลังส่งเสียงดังอลหม่าน จากนั้นก็ดื่มน้ำแล้วเดินผ่ากลางไปยังห้องล็อกเกอร์ เขาเดินไปในสภาพเปลือยท่อนบนเนื่องจากทำการแลกเสื้อทีมกับนักกีฬาฝ่ายตรงข้าม แล้วดวงตาของเขาก็สบเข้ากับฮาจุน
ที่สบตากันได้ง่ายๆ เป็นเพราะฮาจุนทอดสายตามองมาทางเขาอยู่ตลอด มูคยอมไม่หลบตา แต่ไม่นานก็เบนสายตาไปทางอื่น จากนั้นพวกนักกีฬาก็เดินกรูกันออกไปจากห้องล็อกเกอร์แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องอาบน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย
ฮาจุนถูแก้มของตัวเองอยู่พักหนึ่งเพราะความร้อนซึ่งหลงเหลืออยู่ในห้องล็อกเกอร์ที่ว่างเปล่า จากนั้นก็หมุนตัวออกไปกับพวกสตาฟ เป็นเพราะได้จับตาดูอยู่ข้างๆ แล้วมัวเมาไปกับความเร่าร้อนจากชัยชนะที่เป็นต่อกว่าหรือเปล่านะ หรือเพราะได้เห็นฟอร์มที่ดีที่สุดของมูคยอมหลังจากไม่ได้เห็นมานานกัน แม้ไม่มีเหตุผลที่พอจะทำให้เป็นแบบนั้น แต่หัวใจกลับกำลังเต้นตึกตักเหมือนกับตอนตกหลุมรักเขาครั้งแรกเลย
ฮาจุนกลืนน้ำลายลงคอแห้งผากเพราะรู้สึกเหมือนเจอรอยร้าวที่จ้องจะปริแตกออกมาตลอดช่วงไม่กี่วันมานี้
ทำประตูได้ตั้งห้าประตู การแข่งขันก็ชนะ อีกทั้งยังดูอารมณ์ไม่แย่ถ้าเทียบกับช่วงล่าสุดมานี้ด้วย
‘วันนี้ลองคุยกันจะได้ไหมนะ’
“ถ้างั้นวันนี้พักผ่อนให้เต็มที่แล้วเจอกันวันมะรืนนะ อย่ามัวแต่เล่นจนใช้งานร่างกายหนักเพราะเห็นว่าเป็นวันหยุดละ! ฟื้นสภาพร่างกายให้สมบูรณ์แล้วไว้มาเจอกัน”
“ครับ!”
เหล่านักกีฬาตอบรับคำพูดของผู้จัดการทีมอย่างแข็งขันด้วยน้ำเสียงสดใส พวกนักกีฬาใช้เวลาช่วงหยุดพักชั่วคราวมาฝึกอย่างเข้มข้นกว่าในเวลาปกติอยู่พักหนึ่งเพื่อที่จะดึงฟอร์มให้ดี และเมื่อเหน็ดเหนื่อยกันมามากก็ย่อมมีผลกระทบให้เห็นตามมา เพราะอย่างนั้นบางครั้งจึงจำเป็นต้องได้รับการผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ด้วย ผู้จัดการทีมจึงสั่งให้นักกีฬาหยุดพักกันหนึ่งวัน
ในขณะที่พวกนักกีฬากำลังตื่นเต้นดีใจ รีบร้อนกลับบ้านกันเสียงเจี๊ยวจ๊าว ฮาจุนก็ไล่สายตามองหาตัวของคนคนหนึ่งเท่านั้น มูคยอมกำลังพูดเรื่องอะไรบางอย่างกับจองคยูสั้นๆ จากนั้นไม่นานก็สะพายกระเป๋าพาดไหล่ราวกับเสร็จธุระแล้วและกำลังจะมุ่งหน้าไปทางลานจอดรถ
ฮาจุนอยากเข้าไปคุยกับมูคยอมโดยดูจังหวะอย่างใจเย็น แต่เขาก็ไม่มีเวลาพอที่จะไตร่ตรองเรื่องแบบนั้น
“คิมมูคยอม”
ฮาจุนเรียกชื่อขึ้นมาก่อนที่ภาพด้านหลังของมูคยอมจะหายลับไปจากสายตา เขาตั้งใจจะใจเย็นมากกว่านี้ แต่ใครมาได้ยินเข้าก็คงฟังออกว่าเป็นน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความร้อนรน
“คิมมูคยอม รอเดี๋ยว”
พอได้รีบร้อนขึ้นมาครั้งหนึ่ง ฮาจุนก็รู้สึกว่าการแกล้งทำเป็นใจเย็นมันน่าขำ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไล่ตามไปอย่างวุ่นวายพร้อมกับเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
โชคดีที่มูคยอมหยุดเดินแล้วหันมามองด้านข้าง ฮาจุนเข้าไปยืนข้างเขาในระหว่างนั้นแล้วรู้สึกว่าไม่ได้เผชิญหน้ากับเขามานานมากจริงๆ สายตาที่ทอดมองกันและกันมีเป้าหมายแน่วแน่มากกว่าแค่จะมองสบตากันเฉยๆ
มูคยอมไม่แม้แต่จะถามว่าเรียกทำไม เขาเพียงแค่ก้มลงมองฮาจุนซึ่งยืนอยู่ข้างกายเท่านั้น ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนสีหน้าของเขาดูห่อเหี่ยวนิดหน่อยกว่าตอนที่ได้เห็นในห้องล็อกเกอร์เมื่อครู่นี้ เพราะอย่างนั้นจิตใจของฮาจุนจึงยิ่งร้อนรนกว่าเดิมไปอีกขั้น
“คุยกันหน่อยสิ”
“คุยอะไร”
คำตอบกลับห้วนๆ ไม่มีช่องว่างที่พอจะให้แทรกเข้าไปได้ แม้แต่ขนาดเล็กเท่ารูเข็มก็ไม่มี แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันล้นทะลักออกมาแล้ว
‘ก่อนอื่นก็ต้องย้ายที่’ ฮาจุนกำปลายนิ้วจิกลงบนฝ่ามือตัวเองเล็กน้อยเพื่อทำจิตใจที่ตึงเครียดอยู่เรื่อยให้ผ่อนคลายลง จากนั้นจึงตอบ
“น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดตรงนี้นะ”
คำพูดนั้นทำให้มูคยอมเพียงแค่จ้องมองฮาจุนนิ่งๆ อีกครั้ง
สีหน้าแข็งกระด้างของเขาอ่านยาก ดูเหมือนโกรธก็จริง แต่ก็ดูไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะเป็นแบบนั้นด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ความกระตือรือร้นจนบอกได้ว่าดูห่อเหี่ยวอีกเหมือนกัน
‘โอ๊ย ถ้าหากว่าเขาเป็นนักอ่านใจคนล่ะก็’ ฮาจุนรู้สึกว่ามูคยอมเงียบนานเกินไป เขาหยุดละเมอเรื่องไร้สาระและกำลังจะชวนให้ย้ายที่กันก่อน ไม่ว่ามูคยอมจะตอบหรือไม่ตอบก็ตาม แต่มูคยอมกลับปริปากพูดขึ้นมา
“ได้”
“หืม?”
“ย้ายที่ไง ไปที่ที่ไม่มีคน”
ฮาจุนทำตาโต ศีรษะผงกหงึกหงักโดยอัตโนมัติ
“อื้อ”
‘ต้องนั่งรถไปหรือเปล่านะ’ เขาสังเกตท่าทีมูคยอมแต่มูคยอมก็ก้าวเดินออกไปก่อน แค่จะถามว่าจะไปไหน ฮาจุนก็ยังกังวล เพราะอย่างนั้นเขาจึงเดินตามหลังมูคยอมไปโดยไม่ได้พูดอะไร
ทั้งคู่เข้าไปในตึกสำนักงาน คนในสโมสรพากันกลับไปหมดจนตึกเงียบสงัดเพื่อต้อนรับวันหยุดหลังการแข่งขันเสร็จสิ้น รู้สึกได้ว่ามีเพียงคนไม่กี่คนซึ่งทำงานทั่วไปอย่างเช่นผู้ดูแลตึกหรือไม่ก็พวกเจ้าหน้าที่เท่านั้น ซึ่งนั่นเงียบมากจริงๆ
ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่คิดจะพาไปที่รถหรือบ้าน ฮาจุนให้มูคยอมเป็นคนเลือกแล้วเดินตามหลังมาเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆ มูคยอมก็หยุดเดิน มูคยอมเปิดประตูห้องรับรองตรงมุมไกลๆ ซึ่งไม่ค่อยถูกใช้งาน
“ทุกคนกลับกันหมดแล้ว ที่นี่ก็น่าจะได้ใช่ไหม”
ฮาจุนพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเห็นด้วยพลางเดินเข้าไป มูคยอมปิดประตูลง เสียงสลักประตูดังขึ้นตามหลังมา
เมื่อเข้ามาในตึกก็รู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงที่กดลงบนร่างกายมันหนักอึ้งขึ้นสองเท่า ความเงียบสงบกลับทำให้หูรู้สึกแสบร้อน ช่วงเวลาที่อยู่กับมูคยอมเพียงสองคนมักจะเป็นช่วงที่รู้สึกประหม่าขึ้นมานิดหน่อยก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่รู้สึกว่ายากลำบากอะไรเลย แต่ทั้งที่เป็นฝ่ายพูดชวนก่อนว่าให้คุยกัน ฮาจุนกลับไม่สามารถเริ่มพูดอะไรออกมาได้ทั้งนั้น
ความรู้สึกถูกกดทับด้วยความเงียบอันหนักอึ้งทีละนิด ทำให้ฮาจุนลังเลว่าจะพูดคำแรกออกมาว่าอะไรดี
“ถอดออก”
ทว่าฝ่ายที่เป็นคนพูดขึ้นมาก่อนกลับเป็นมูคยอม
คำพูดที่ผิดไปจากการคาดการณ์ทำให้ความเงียบซึ่งเหมือนกับหลุมดำกดทับร่างกายทำปฏิกิริยากลายเป็นสีขาวแล้วเบาหวิวลง จากนั้นก็แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในชั่วพริบตา
“อะไรนะ”
ฮาจุนย้อนถาม
ดวงตาของฮาจุนได้แต่เบิกกว้างให้กับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เขางุนงงเหมือนเวลาตามประเด็นบทสนทนาไม่ทัน ลำคอของเขาอึดอัดราวกับมีอะไรเข้าไปติด ฮาจุนกลืนน้ำลายลงคอแห้งผากหนึ่งครั้ง จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักด้วยปากที่ไม่เคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลดั่งความคิด
“อ่า ฉันน่ะ ไม่ใช่แบบนั้น…”
ฮาจุนรวบรวมเศษความคิดชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้เข้ากันเป็นหนึ่งเดียวอย่างยากลำบากภายในหัวซึ่งเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน มูคยอมเพียงแค่ทอดสายตามองเขาซึ่งทำตัวไม่ถูกอยู่เงียบๆ เท่านั้น ฮาจุนพูดต่อกับมูคยอม
“ฉันสงสัยว่าช่วงนี้นายมีเรื่องอะไรหรือเปล่าน่ะ อยากคุยด้วยสักหน่อยก็เลยชวนให้มาเจอกัน”
“คุยเหรอ ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับนาย ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้แล้วจำเป็นต้องคุยเรื่องอะไรอีก”
ทว่ามูคยอมกลับมีท่าทางเหมือนไม่คิดว่ามันสำคัญอะไร
“นี่โค้ช รับรู้อะไรได้ไวนี่ ไม่ใช่คนประเภทที่จะไม่เข้าใจสถานการณ์สักหน่อย ยังไงก็สรุปเรื่องได้แล้วไม่ใช่เหรอ แต่ถ้ายังคะยั้นคะยอให้มาเจอกันแค่สองคน เหตุผลก็น่าจะเพราะเสียดายเรื่องนี้ไม่ใช่หรือไง”
‘ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ’
ฮาจุนมึนงงไปหมดเพราะบทสนทนาดำเนินไปในทิศทางที่เขาไม่ได้แม้แต่จะจินตนาการไว้ เขารู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกบังคับให้ออกมาแก้โจทย์บนกระดานทั้งที่ยังไม่ได้เรียน ฮาจุนได้แต่อ้าปากเหวอเล็กน้อยแล้วทอดสายตามองมูคยอม
มูคยอมรอคำตอบจากฮาจุนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวไปทางประตูพลางกระชับกระเป๋าที่สะพายไว้บนไหล่โดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
“พอเถอะ ฉันไม่คิดจะฝืนใจคนที่บอกว่าไม่เอาหรอกนะ”
“มะ ไม่ใช่นะ”
ท่าทางที่เหมือนจะเปิดประตูออกไปทั้งอย่างนั้นทำให้ฮาจุนรั้งเขาไว้โดยไม่รู้ตัว ปากของฮาจุนขยับไปก่อนที่จะได้เรียบเรียงความคิดเสียอีก
“ทำกันเถอะ ฉันจะทำ”
ไม่ว่าจะเป็นความโชคดีแค่คืนเดียวหรือ ‘ถาวร’ ฮาจุนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะหยุด แต่ในวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเป็นเช่นเดิมในมุมมองของฮาจุน หรืออาจเป็นเพราะอารมณ์แปรปรวนที่ดึงดูดใจของเขาก็ตาม เขาตะขิดตะขวงใจกับสถานที่นิดหน่อย แต่ยังไงเสีย ตอนนี้ผู้คนก็ออกไปจากตึกเกือบทั้งหมดแล้ว
……………………………………………………
[1] ในด้านกีฬา หมายถึง การที่ผู้เล่นกีฬาคนหนึ่ง ๆ สามารถทำความสำเร็จในกีฬานั้น ๆ ได้สามครั้ง ในการเล่นครั้งหนึ่ง