Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 72
แต่การที่เขาเป็นแบบนี้ไม่ใช่ความรู้สึกชื่นชอบหรืออะไรทั้งนั้น ความรู้สึกชื่นชอบใครสักคนจะเป็นความรู้สึกสกปรกแบบนี้ไปไม่ได้ ถ้านี่คือความรักที่คนทั้งโลกพูดถึงกันก็หมายความว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่หมอนั่นเคยทำก็เป็นความรักด้วยเช่นกัน
มันแค่ค่อยๆ คล้ายคลึงมากขึ้นเท่านั้น ถึงจะไม่ชอบแต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเป็นลูกชายของคนบ้าคนหนึ่ง
‘ครืดดด’
มูคยอมกำลังมุดใบหน้าลงกับซอกรูหนูเล็กๆ ที่ใช้หมอนทำมันขึ้นมา แต่แล้วจู่ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ส่งเสียงดัง เขาไม่ได้มีความรู้สึกอยากคุยกับใครทั้งนั้นเลยจะปล่อยให้มันตัดสายไปเอง แต่มันกลับสั่นอย่างไม่รู้จักหยุด เสียงสั่นดังขึ้นเป็นเวลานานเสียจนทำให้ความรู้สึกเกลียดตัวเองซึ่งเขากำลังรู้สึกอย่างต่อเนื่องถึงขีดสุด และแตกกระเจิงไปหมด และในที่สุด สายก็ถูกตัดไป จากนั้นมูคยอมจึงถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
‘ครืดดด’
แต่หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง โทรศัพท์ของเขาก็เริ่มส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง มูคยอมตั้งใจว่าจะไม่สนใจมัน แต่คิดว่าอาจเป็นสายจากจุนซองก็ได้ การฟื้นฟูร่างกายเป็นไปได้อย่างราบรื่นดี แต่ไม่ว่าอย่างไร ซองจุนก็เป็นผู้ป่วย อีกทั้งยังอาจจะมีตัวแปรอื่นๆ อีกไม่น้อย
มือของมูคยอมควานหาแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เขาเอาหมอนออกไปแล้วมองดูหน้าจอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“อะไรอีกล่ะเนี่ย”
บนหน้าจอมีเพียงตัวอักษรสามคำโผล่ขึ้นมา
‘เจ้าลูกวัว’
มูคยอมได้แต่ก้มลงมองโทรศัพท์มือถือที่ส่งเสียงดังอย่างกระวนกระวายราวกับคนติดระเบิดเวลา และสุดท้ายมันก็หยุดสั่น ‘เฮ้อ’ เขาถึงกับถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยความวางใจ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที มันก็เริ่มสั่นครืดคราดขึ้นมาอีกครั้ง บรรยากาศนี้น่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนกว่าเขาจะรับโทรศัพท์
มูคยอมขบฟันพร้อมกับกดโทรศัพท์ให้เปลี่ยนมาเป็นโหมดต่อสายอย่างเลี่ยงไม่ได้
“…อะไร”
‘เปิดประตู’
คำพูดไร้ซึ่งการเกริ่นหน้าหลังและน้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นกระทบหูทันที มูคยอมกลืนน้ำลายลงคอโดยอัตโนมัติ เขาพยายามทำหัวใจที่เต้นรัวแรงให้สงบลงพร้อมกับพูดตอบ
“อะไรของนาย จู่ๆ ก็”
‘บอกให้เปิดประตูไง หรือถ้าอยากถูกขังอยู่ในบ้านก็ทนไปแล้วกัน เพราะฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าจะเปิด’
โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ให้กุญแจประตูหน้าบ้านไป มูคยอมเคยคิดว่าจะให้อยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนจะล้ำเส้นเกินไปจึงล้มเลิกความคิด ตัวเลือกในอดีตช่วยชีวิตคิมมูคยอมในตอนนี้ไว้
เอาอีกแล้ว อีฮาจุนทำตัวนอกเหนือการคาดหมายของเขาอีกแล้ว หากดูจากฮาจุนในแบบฉบับเดิมมาจนถึงตอนนี้ มูคยอมคิดว่าถ้าได้ยินคำพูดแบบนั้น ฮาจุนก็จะเข้าใจแล้วหลบหน้าเขาพร้อมกับไม่มาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เหมือนที่เคยทำตอนแรก
“ถ้ามีเรื่องจะพูดก็ไว้พูดที่สนามฝึกพรุ่งนี้สิ”
‘ทำไมต้องคุยเรื่องส่วนตัวในที่ทำงานด้วย หรือเพราะแค่มาเล่นแบบไม่จริงจังในทีมที่ยืมตัวนายมาชั่วคราวแต่ก็สร้างผลงานได้อยู่ดี งานก็เลยดูไม่มีค่าใช่ไหมล่ะ’
“…ยังไงก็เถอะ ไว้คุยกันพรุ่งนี้”
‘ที่นี่แพงก็เลยเก็บเสียงดีใช่ไหม ถ้าฉันถีบประตูบ้านนายตั้งแต่นี้ไป คนจากห้องดูแลจะขึ้นมาหรือเปล่า’
‘เฮ้อ’ มูคยอมมองเพดานพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
ในกลุ่มพวกผู้ตั้งรับก็มีแค่พวกคนที่ดูสงบเสงี่ยมเท่านั้น ไม่มีคนที่สงบจริงๆ เลย! ถ้าอีฮาจุนเป็นคนที่สงบจริงๆ จะได้เป็นผู้ตั้งรับที่ลงเล่นในฐานะตัวแทนประเทศได้อย่างไร
มูคยอมกำลังมองข้ามความจริงที่เคยตระหนักได้อย่างแน่ชัดตั้งแต่แรก สุดท้ายเขาก็ตกหลุมพรางของเจ้าลูกวัวแล้วหลงลืมไปเสียได้
‘ฉันจะนับแล้วนะ ห้า สี่ สาม สอง’
“รอเดี๋ยว”
มูคยอมปลดล็อกประตูหน้าบ้าน เมื่อเสียงเครื่องล็อกดังขึ้น ฮาจุนก็วางสายและรอ แล้วประตูก็ถูกเปิดออกอย่างเงียบงัน
ช่องว่างประตูเปิดออกกว้าง พร้อมกันนั้น ฮาจุนก็มองเห็นร่างของชายหนุ่มที่หลั่งน้ำเชื้อใส่ในร่างกายของตน แล้วหนีกลับก่อนโดยปล่อยตนทิ้งไว้เมื่อครู่นี้ ซึ่งตอนนี้เขาได้กลายเป็นอดีตคู่นอนอย่างชัดเจนแล้ว มูคยอมกำลังยืนด้วยใบหน้าแข็งตึง เขาซ่อนความรู้สึกตึงเครียดภายในใจแล้วมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ฮาจุนไม่ได้ตะโกนเสียงดังหรือเตะประตู แต่กลับเข้ามาข้างในอย่างสุขุมแล้วปิดประตูลงเงียบๆ ต่างกับท่าทีวุ่นวายเมื่อกี้นี้
“…จะเข้ามาไหม”
ท่าทีสุขุมเป็นอย่างมากทำให้มูคยอมเองก็ชวนอีกฝ่ายไปแบบนั้นด้วยความเยือกเย็นโดยไม่รู้สาเหตุ แต่ฮาจุนกลับส่ายหน้า
“น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องดึงดันเข้าไปคุยถึงข้างในหรอก”
“…”
“ที่นายพูดกับฉันเมื่อกี้ หมายความว่ายังไง”
ไม่มีทางที่ฮาจุนจะถามเพราะไม่รู้แน่ คงเพราะรู้ถึงได้โกรธนั่นล่ะ ความรู้สึกล้มเหลวที่ตัวเองก่อความผิดพลาดอันใหญ่หลวงเอาไว้ ทำให้มูคยอมจิ๊ปากในใจ เขาตั้งจุดเดือดของฮาจุนไว้สูงเกินไป
มูคยอมรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะไม่ตัดความสัมพันธ์ลงอย่างสิ้นเชิง หากแค่พูดคำพูดพื้นๆ เช่นว่าให้เลิกเป็นคู่นอนกัน หรือตอนนี้ฉันเบื่อนายแล้ว ถ้าฮาจุนเป็นคนที่จะหันหลังให้เขาเพราะคำพูดแบบนั้น ตอนถูกปฏิเสธคำสารภาพรักก็น่าจะถอยห่างไปนานแล้ว
ถ้าคิมมูคยอมไม่หันหลังให้อีฮาจุนอย่างสิ้นเชิง เขาก็จะตั้งสติไม่ได้และอาจเข้าไปรบเร้าวอแวเพราะเปลี่ยนใจเรื่องอะไรสักอย่างอีกไม่ใช่เหรอ คิดว่าสิ่งที่ทำในห้องรับรองเป็นวิธีที่แน่นอนในการตัดความสัมพันธ์กันไป แต่มูคยอมคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าบทสรุปสุดท้ายคืออีฮาจุนจะโกรธแล้วมาหาเขาถึงบ้านแบบนี้
“รู้ว่าหมายความว่ายังไงก็เลยมาหาถึงนี่ไม่ใช่เหรอ”
“ถ้างั้นให้ฉันคิดตามความหมายที่ฉันแปลออกมาได้ก็พองั้นสิ นายคิดว่าฉันใช้ร่างกายปรนนิบัติพวกนักกีฬาพร้อมกับรักษาอาชีพโค้ชในตอนนี้เอาไว้ แบบนี้ใช่ไหม อาชีพโค้ชหน้าใหม่ที่รายได้ต่อปีเกินยี่สิบล้านวอนมาแค่นิดเดียวเนี่ยนะ?”
เขาไม่คิดว่าอีฮาจุนทำแบบนั้นเพื่อรักษาอาชีพโค้ชไว้
แต่คิดว่าอีกฝ่ายอาจนอนกับนักกีฬาคนอื่นนอกเหนือจากเขา
“เข้าใจแล้ว แก้ให้ถูกว่านายไม่ได้นอนกับนักกีฬาเพื่อรักษาตำแหน่งโค้ชแต่นอนเพราะชอบแล้วกัน”
“นายบ้าไปแล้วเหรอ ก่อนหน้านี้ฉันบอกไปแล้วนี่ ว่าไม่ได้คบใครนอกจากนาย ถึงอย่างนั้น นายก็ยังดึงดันว่าให้สัญญากัน ฉันก็เลยสัญญาไปแล้วว่าจะไม่คบคนอื่นในช่วงที่เป็นคู่นอนกับนาย ถ้ายังจะไม่เชื่อคนอื่นเขาแบบนี้แล้วจะอ้างสัญญานั่นเพื่ออะไร”
‘โว้ย ไม่อยากวกเข้ามาเรื่องนี้เลย’
มูคยอมหลบตาไปโดยอัตโนมัติ เขาหันหน้าพลางยกมือขึ้นมา
“หยุดพูดได้แล้ว โอเค ขอโทษแล้วกัน เมื่อกี้ฉันพูดไม่คิดไป ขอโทษที”
“จู่ๆ ทำไมนายเป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานยังไม่เห็นเป็นอะไร แล้วจู่ๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ นายพูดมาสิว่ามีเรื่องอะไร ต้องพูดออกมา ฉันถึงจะอธิบายได้ไม่ใช่หรือไง”
‘จะให้เล่าเรื่องอะไรล่ะ ได้โปรดกลับไปเถอะ อย่ายกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดมากไปกว่านี้เลย’
“คิมมูคยอม”
ทว่า เสียงเรียกชื่อตัวเองที่ดังขึ้นต่อจากนั้น ทำให้สายตาของมูคยอมเบนไปทางฮาจุนราวกับคล้อยตาม
สีหน้าตึงเครียดที่เต็มไปด้วยความโกรธขึ้งถูกลบเลือนไปประมาณหนึ่งในระหว่างนั้น ใบหน้าขาวปรากฏให้เห็นเพียงความร้อนใจ และกำลังบอกว่าอึดอัดและสงสัยกับสถานการณ์นี้จริงๆ
‘ดูทำหน้าเข้าสิ’
ไม่ว่าพูดอะไรออกมาก็คงจะเชื่อทุกอย่าง ใบหน้าที่ดูอย่างกับหนังสือสอนศีลธรรม ซึ่งไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าของใบหน้านั้นจะหัวเราะคิกคักกับผู้ชายที่แต่งงานแล้วและพากันเข้าโมเต็ล ถ้าลาออกจากการเป็นโค้ชฟุตบอลที่รายได้ต่อปีเกินยี่สิบล้านวอนมานิดเดียว แล้วทำงานเป็นนักต้มตุ๋น ก็น่าจะกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านได้เลยไม่ใช่เหรอ
ว่ากันว่าหากคนเราใช้ชีวิตไป จิตใจที่แท้จริงก็จะเผยให้เห็นออกมาผ่านทางหน้าตา แต่ใบหน้าไร้เดียงสา น่ารัก แถมยังจิตใจดีถึงขนาดนี้ ทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน
“พูดหน่อยเถอะ นายไม่มีทางเป็นแบบนี้โดยไม่มีเหตุผลอะไรแน่ นายไม่ใช่คนแบบนี้ไม่ใช่หรือไง แน่นอนว่านายไม่ใช่คนปากหวานก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่เคยพูดกับคนอื่นแบบนั้นสักครั้ง…”
เสียงท้ายประโยคเงียบหายไป ริมฝีปากของฮาจุนสั่นระริก มูคยอมมองริมฝีปากนั้นแล้วจู่ๆ ก็คิดขึ้นมา
‘จูบด้วยหรือเปล่านะ
ต้องจูบอยู่แล้วล่ะ เพราะอีฮาจุนชอบจูบนี่’
ฮาจุนเวลาจูบน่ารักกว่าแค่ตอนมีเซ็กส์อย่างเดียว ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยจนร้องไห้เพราะต้องรองรับท่อนเนื้อของเขา แต่ถ้าประทับริมฝีปากลงไป ช่องทางด้านหลังก็จะบีบตัวพร้อมกับตอดรัดเข้ามาแน่น ส่วนลิ้นก็จะยื่นออกมาราวกับขอเพิ่มอยู่ตลอดเวลาเหมือนลูกนกถูกป้อนอาหาร
ถึงจะชอบขนาดนั้นแต่ฮาจุนก็ไม่ร้องขอขึ้นมาก่อน ท่าทีแบบนั้นน่ารักจนบางทีเขาก็จงใจไม่จูบอยู่บ่อยๆ
มัวแต่แกล้งแบบนั้นจนเขาเองก็เลยไม่ได้จูบอีกฝ่ายมากสักเท่าไร แต่พอเข้าช่วงนี้ก็เริ่มจูบบ่อยขึ้นมาแล้วแท้ๆ
หลังจากเห็นทั้งสองคนเข้าไปในโมเต็ล มูคยอมก็ไม่ได้จินตนาการขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างอะไรนัก แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจเขาถึงเดือดพล่านอย่างน่าอึดอัดยิ่งกว่าตอนคิดอย่างไม่แน่ชัดว่าทั้งสองนอนด้วยกันเสียอีก ความคิดอื่นเลือนหายไปและการมองเห็นก็แคบลงเหมือนตอนเดินไปเปิดประตูโมเต็ล ความคิดเพียงเรื่องเดียวเริ่มอัดแน่นอยู่ภายในหัว คราวนี้เขามองเห็นเพียงร่างของฮาจุนเท่านั้น ไม่เห็นแม้กระทั่งกระจกข้างประตูบ้าน
“จูบด้วยหรือเปล่า”
แล้วคำพูดเช่นเดียวกับตอนไหนสักตอนก็ถูกโพล่งออกมาเป็นอย่างแรก
“…อะไรนะ จูบเหรอ กับพวกนักกีฬาน่ะนะ? ยังพูดเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ”
แม้อีกฝ่ายจะตอบกลับมาราวกับวุ่นวายใจแต่มูคยอมก็ถอยกลับไม่ได้แล้ว ได้ยินเสียงบอกว่าให้หยุดจากเสี้ยวหนึ่งภายในหัว แต่มันเบาเกินกว่าจะหยุดคำที่จะพูดออกมาได้
“กับยุนแชฮุน”
ครั้งนี้คำตอบไม่ได้ย้อนกลับมาในทันที
ความเงียบนั้นเหมือนเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเพราะถูกพูดจี้จุดเข้าพอดี มูคยอมจึงขยับเข้าไปใกล้ฮาจุน เขายืนเท้าเปล่าตรงหน้าฮาจุนซึ่งยืนอยู่ตรงทางเข้าบ้านโดยยังไม่ถอดรองเท้า
“พวกนายสองคนไปโมเต็ลด้วยกันนี่ พูดฉอดๆ ต่อหน้าฉันไว้ว่าไม่ได้นอนกับผู้ชายแต่งงานแล้ว ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่โกหกแล้วแอบไปเจอกันลับหลังชัดๆ”
“…นาย…รู้ได้ยังไงว่าฉันไปโมเต็ลกับพี่แชฮุน”
คำตอบดังขึ้นมาอย่างเชื่องช้า คิ้วของมูคยอมยิ่งขมวดเข้าหากันเพราะท่าทางที่ไม่แม้แต่จะปฏิเสธหรือแก้ตัวเลยสักครั้ง
มูคยอมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้จนแทบชิดหน้าผากของฮาจุน มือของเขาเท้าอยู่ตรงประตูบ้านด้านหลังอีกฝ่าย
“ฉันรู้ได้ยังไง เรื่องแบบนั้นสำคัญด้วยเหรอ”
“เพราะมันเป็นเรื่องที่นายรู้ไม่จริงไง ได้ยินมาจากใคร จากจองคยูเหรอ ถ้าได้ยินจากจองคยูก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องคิดเรื่องแบบนั้นนะ”
‘อิมจองคยูเหรอ ทำไมชื่อหมอนั่นถึงโผล่มาตรงนี้ได้ล่ะ’
หัวร้อนๆ คิดว่าชื่อของบุคคลที่สามเป็นเหมือนวัตถุปนเปื้อนที่จะต้องกลั่นกรองออกไป ฮาจุนเลียริมฝีปากหนึ่งครั้งราวกับลำบากใจแล้วดันแผ่นอกของมูคยอมให้ห่างออกมากขึ้น
“ฉันรู้ว่านายไม่ชอบพี่เขา เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่าพี่แชฮุนมางานรวมตัวด้วย นายก็จะไม่ชอบใจแน่ๆ ก็เลยไม่ได้เล่าให้ฟัง”
คิดคำโกหกเรื่องต่อไปออกมาได้ทันทีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้ถูกหลอกได้ยังไงล่ะ
“ยังพูดถึงเรื่องงานรวมตัวอยู่อีกเหรอ นายกำลังเอาเรื่องโกหกที่คนอื่นจับได้มาพูดซ้ำอีกรอบอยู่ไม่ใช่หรือไง”
“เพราะมันเป็นความจริงไง! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าพวกโค้ชที่มาจากต่างเมืองก็อยู่ด้วย โมเต็ลน่ะเป็นแค่ที่พักของพวกเขา ฉันไปทักทายแค่แป๊บเดียว แล้วพี่ก็ตามไปที่นั่น!”
“โธ่เว้ย แล้วฉันจะเชื่อเรื่องนั้นได้ยังไงล่ะ!”
เสียงคำรามที่ดังออกมาทำให้ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างและปากก็อ้าค้าง คำพูดไร้การควบคุมถูกพ่นฉอดๆ ออกมาใส่หน้าของเขา
“นายชอบยุนแชฮุนนี่ ฉันไม่เคยเห็นนายมองคนอื่นด้วยสีหน้าแบบนั้นเลย แต่ยังไงเขาก็แต่งงานแล้วนะ! นายพูดด้วยปากของนายเองว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉันเลยตั้งใจว่าจะเชื่อ แต่นายดันเข้าไปในนั้น ไม่ใช่ที่ไหนเลยแต่เป็นที่แบบนั้น ยิ้มอยู่ข้างกันด้วย”
“คิมมูคยอม”
“เดิมทีนายก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว! นายให้โอกาสพวกผู้ชายรอบตัวนายทุกคน ไม่ว่าใครจะสัมผัสหรือกดขี่นาย นายก็จะหัวเราะคิกคัก ไม่ว่าจะนักกีฬาหรือโค้ชหรือใครในทีมนี้ รู้ว่านายเล่นสนุกกับใครบ้างแล้วจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ คราวนู้นที่พวกผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาหัวเราะโฮะๆ หน้าระรื่น พวกนั้นรู้หรือเปล่า? ว่านายปล่อยน้ำแหมะๆ ตอนถูกผู้ชายแทงประตูหลัง ที่นายทำมันเรียกว่าเล่ห์เหลี่ยมนะ เล่ห์เหลี่ยม ถ้าเคยเห็นกันมาก็ทำแบบนั้นไม่…”
‘ปัง!’
คำพูดของมูคยอมหยุดชะงักลงเพราะเสียงดังสนั่นอันไม่คาดคิด เขาตั้งสติขึ้นมาได้ทันทีแล้วหยุดพูดไป จากนั้นก็สำรวจภาพในการมองเห็นที่กลับมาชัดเจนอีกครั้ง มือที่กำหมัดของฮาจุนวางอยู่บนประตูบ้านด้านหลัง
“…นายบ้าไปแล้วจริงๆ นะเนี่ย”
‘บอกว่าไม่ใช่ไง’ มูคยอมไม่สามารถโต้กลับไปในทันทีได้ เพราะบางทีเขาอาจจะบ้าไปแล้วจริงๆ
“ตอนนี้นายด่าไปกี่คนแล้วล่ะ มีฉัน พี่แชฮุน แฟนๆ ของฉัน… ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว แต่เอาพี่กับแฟนๆ ไปรวมอยู่ในคำพูดบ้าๆ ของนายด้วยทำไม”
ฮาจุนลดมือที่วางอยู่บนประตูลง มือขาวที่ทุบประตูอย่างแรงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง มูคยอมตะโกนเสียงดัง
“ทุบประตูทำไม! เดี๋ยวกระดูกมือก็หักหมด!”
“ฉันไม่ทุบคนอื่น คิดซะว่าประตูบ้านนายรับมือของฉันแทนนายแล้วกัน”
ฮาจุนถอนหายใจอย่างแผ่วเบา แล้วเสยผมขึ้น มูคยอมได้แต่อ้าปากค้างเล็กน้อยแล้วมองดูสีหน้าหมดแรงราวกับว่าตอนนี้ไม่ได้โกรธอยู่
“โอเค พอแค่นี้แหละ ฉันเองก็ลำบากใจนิดหน่อยว่าทำไมนายถึงเป็นแบบนี้กันแน่ พูดตามตรงว่าเหนื่อยมากด้วยเหมือนกัน ฉันผิดหวังกับนาย”
“…”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อว่านายระบายความโกรธใส่ฉันด้วยปัญหาแบบนี้ นายเองก็ไปเจอผู้หญิงระหว่างที่มีความสัมพันธ์กับฉันด้วยไม่ใช่หรือไง ก่อนหน้านี้ไม่นานก็ได้ข่าวว่าอยู่กับผู้หญิงในผับที่อิแทวอน นายทำแบบนั้นได้ แล้วทำไมฉันทำไม่ได้ล่ะ”
ดวงตาของมูคยอมเบิกกว้างขึ้น
“อะไร แค่ฝ่ายนั้นเข้ามาหาก่อนแล้วนั่งโต๊ะเดียวกันเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ที่ไปผับน่ะ เพราะมีนัดก็เลยต้องไปอย่างช่วยไม่ได้ต่างหาก”
“ช่างเถอะ เพราะฉันไม่ได้สงสัยอะไรเลย ฉันเคยว่าอะไรหรือไงที่นายไปเจอผู้หญิง ยังไงซะ ฉันก็ไม่ได้คาดหวังว่านายจะนอนกับฉันแค่คนเดียวตั้งแต่แรกแล้ว พูดว่าคาดหวังก็ตลกนะ เพราะฉันไม่เคยต้องการให้เป็นแบบนั้นด้วยซ้ำ”
ฮาจุนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีแต่ความราบเรียบ มีเพียงมูยอมเท่านั้นที่พูดเสียงดังขึ้นราวกับรู้สึกไม่ยุติธรรม
“หลังจากตัดสินใจว่าจะนอนกับนาย ฉันก็ทำแค่กับนายคนเดียว ตอนไปทัวร์ต่างประเทศก็ยังไม่ชายตามองคนอื่นเลย!”
“บอกว่าไม่ได้สงสัยไง ฉันไม่สนใจว่านายจะไปคบหรือไปนอนกับคนอื่น แล้วทำไมนายถึงเป็นแบบนี้ล่ะ คนที่ชวนว่ามีเซ็กส์กันแค่อย่างเดียว ไม่ให้สานสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมากกว่านี้ ก็คือนายเองนะ”
‘ไม่สงสัยงั้นเหรอ
ทั้งที่บอกว่าชอบฉัน บอกว่าชอบแล้วทำแบบนั้นได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ?
ขนาดฉันไม่ได้ชอบนายก็ยังสงสัยถึงขนาดนี้เลยนะ’
“ฉันเปิดเผยสิ่งที่ฉันสามารถเปิดให้นายรู้ได้หมดทุกอย่างแล้ว และนายให้คำตอบมาแบบนั้น แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้มาเปลี่ยนท่าทีเอาตอนนี้… ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด”
“…”
“ฉันจะพูดอีกรอบนะ ว่าฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพี่เขาแบบที่นายคิด ส่วนโมเต็ลก็แค่แวะไปแป๊บเดียวเพราะเป็นที่พักที่ทุกคนรวมตัวกัน ถ้ายังไม่เชื่อก็ลองไปถามจองคยูดู”
“…ทำไมถึงพูดชื่อหมอนั่นออกมาอยู่ได้”
“เพราะวันนั้นจองคยูก็มาที่นั่นเหมือนกันไงละ มาทักทาย”
ครั้งนี้มูคยอมกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวเพราะรู้สึกเหมือนโดนเอาค้อนทุบหัว ฮาจุนเงียบไปครู่หนึ่งราวกับจมอยู่ในห้วงความคิดคนเดียวโดยไม่ได้สนใจมูคยอมที่มีท่าทางแบบนั้น จากนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ
“โอเค… ลองคิดดูแล้ว ถ้าฉันเห็นแบบนั้นก็เป็นสถานการณ์ที่พอจะทำให้เข้าใจผิดได้เหมือนกัน แต่ถึงจะเข้าใจผิด แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องได้รับการปฏิบัติแบบนี้จากนายด้วยเหรอ ฉันคิดว่ายังไงก็ไม่น่ามีนะ”
‘เข้าใจผิดเหรอ’