Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 73
ฟันเฟืองภายในหัวของมูคยอมหมุนอย่างรวดเร็ว ถ้าลองเช็กกับอิมจองคยูแล้วเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ ถ้าอีฮาจุนกับยุนแชฮุนไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันจริงๆ และอีฮาจุนมีเซ็กส์กับมูคยอมแค่คนเดียวโดยไม่เคยผิดสัญญา ตัวมูคยอมเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะปลดปล่อยความโกรธใส่ฮาจุนแบบนี้ได้
ถ้าขอโทษทันทีตอนนี้ อีฮาจุนก็อาจจะไม่ให้อภัย เพราะอีกคนเป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด บอกว่าขอโทษ บอกว่าเข้าใจนายผิดไป บอกว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ขอให้อีกฝ่ายยกโทษให้
…กระทั่งลิสต์คำขอโทษแบบนั้นยังเหมือนคัดลอกคำพูดคนอื่นมาจนน่ารังเกียจ
ถ้าเข้าใจผิดแล้วจะทำไมล่ะ ต่อให้บอกว่านั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ความจริงที่ว่าตนเองทำตัวเหมือนคนสติฟั่นเฟือนใส่อีฮาจุนที่นี่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ก็ไม่หายไปไหน
ต่อให้บอกว่ายุนแชฮุนไม่ได้เป็นขวัญใจมหาชนแล้ว ก็อาจมีคนอื่นเข้าไปแทนที่ตรงนั้นก็ได้ ตอนนี้เขายอมรับเรื่องนี้ แต่ถ้าถึงวันพรุ่งนี้ก็อาจจะสงสัยในคำพูดนี้ อาจจะสงสัยคนอื่นที่ไม่ใช่ยุนแชฮุน อาจไม่เชื่อกระทั่งคำพูดของอิมจองคยูด้วย…
สรุปสุดท้ายก็เหมือนกันหมด อีฮาจุนต้องห่างจากเขา และเขาต้องไม่แตะต้องอีฮาจุนไปมากกว่านี้
“จะเข้าใจผิดหรือไม่ มันก็ไม่ต่างกันหรอก”
“…”
“ช่างมัน แล้วจากนี้ก็อย่ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ ฉันอีก”
“ถึงนายไม่บอก ฉันก็ตั้งใจจะไปอยู่แล้วละ”
เสียงล็อกประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบและประตูก็ถูกเปิดออก ฮาจุนก้าวเท้าออกไปแล้วกัดริมฝีปากแน่นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองมูคยอมตรงๆ
“ถึงการที่ฉันบอกว่าชอบนายจะเป็นเหตุผลที่นายเอาไปอ้างได้ แต่มันเอามาใช้เป็นเหตุผลให้นายดูถูกฉันไม่ได้หรอกนะ”
ฮาจุนพูดกับมูคยอมซึ่งไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“ถึงครั้งนี้จะกลายเป็นแบบนี้ แต่คราวหน้า… ถ้าเผื่อมีใครคนอื่นมาบอกว่าชอบนายก็อย่าทำตัวแบบนี้แล้วกัน”
มูคยอมไม่ตอบอะไรเลยจนถึงที่สุด ต้องบอกว่าตอบไม่ได้น่าจะถูกกว่า เพราะเขาไม่มีอะไรที่จะพูดออกมาจริงๆ
ประตูถูกปิดลงอย่างเงียบงัน ประตูสี่เหลี่ยมทรงตรงที่แข็งและหนัก เป็นรูปลักษณ์ของการตัดขาดที่คล้ายคลึงกันกับอีฮาจุน
***
ฮาจุนออกมาจากวิลล่าแล้วเดินอย่างอิดโรยไปตามทางเดิน ย้อนกลับไปแค่ตอนมุ่งหน้าไปบ้านมูคยอม เขาโกรธมากเสียจนพละกำลังท่วมท้น แต่เมื่อพูดเรื่องที่จะพูดจบและลงบทสรุปสุดท้ายจริงๆ ได้ ก็ไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่แล้ว
บทสรุปที่ออกมาหลังการโต้เถียงกัน คือการบอกให้หายไปจากหน้าอีกฝ่าย เพราะถึงเป็นการเข้าใจผิดจริงก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ขามาก็นั่งแท็กซี่ ขาไปก็ตั้งใจว่าจะนั่งแท็กซี่ ฮาจุนเสียดายค่ารถก็จริงแต่เหนื่อยที่จะใส่ใจไปหมดทุกเรื่องแล้ว ในวันที่จบลงอย่างน่าทุเรศแบบนี้หากให้ตัวเองได้กลับไปอย่างสบายหน่อยก็น่าจะได้
เขาพาตัวเองขึ้นบนแท็กซี่ ฟังเพลงที่เคยโด่งดังเช่นเดียวกันกับตอนเช้ามืดของวันไหนสักวันหนึ่ง พร้อมกับมองออกไปแค่ด้านนอกหน้าต่างเท่านั้น แสงไฟระยิบระยับงดงามส่องสว่างในเมืองที่มืดมิดลง
ทิวทัศน์คือหน้าต่างของหัวใจ ถ้าหากว่าอารมณ์ดี ฮาจุนก็คงคิดแค่ว่าแสงไฟพวกนี้ช่างสวยงาม แต่ตอนนี้มันกลับดูเหมือนลวดลายที่ถูกระบายทับลงบนโลกที่มีสีสันอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ตัวเขา แต่ท่ามกลางแสงสีสวยงามนั้นผู้คนมากมายก็น่าจะโกรธ เศร้าเสียใจ และประสบกับเรื่องไม่มีเหตุผลในวันนี้เช่นกัน
เป็นไงล่ะ อย่างน้อยมีแสงไฟตกแต่งไว้หน่อยก็ดี ถึงแม้ว่าใครบางคนกำลังโศกเศร้า แต่อย่างน้อยถ้าทิวทัศน์ยามค่ำคืนสวยงามก็ดีกว่าอยู่แล้ว เพราะถ้าหากตอนนี้ไม่มีแสงไฟในทิวทัศน์นี้แม้แต่เสี้ยวเดียว เขาจะเศร้าสร้อยมากขึ้นแค่ไหนกันนะ
“ขอบคุณครับ”
ฮาจุนกล่าวลาคนขับรถแท็กซี่แล้วเข้าไปยืนในเขตอะพาร์ตเมนต์
ในระหว่างที่เดินไปอย่างเชื่องช้า จู่ๆ เขาก็นึกถึงตอนที่ยอมรับข้อเสนอของมูคยอมแล้วประเมินว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น ตอนที่ยังคงเป็นฤดูใบไม้ผลิ และดอกของต้นไลแลคที่ส่งกลิ่นหอมเข้มใกล้ๆ ม้านั่งก็กำลังผลิบาน
‘จ้าๆ ลูกชายคนโตคนเก่งของแม่ ทำอะไรไม่ได้บ้างล่ะ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดีจ้ะ’
ฮาจุนกลับไปบ้านแล้วดึงแม่มากอดด้วยจิตใจอันสับสน แม่เลยพูดปลอบโยนแม้จะไม่รู้ถึงเหตุผลเลยก็ตาม แม่ถามว่ามีเรื่องอะไรดีๆ อย่างนั้นเหรอ เขาจึงยิ้มพร้อมกับตอบไปว่าใช่แล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นที่เขาตัดสินใจว่าคิดในแง่ดีกันดีกว่า จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อทำให้มันเป็นไปตามคำยืนยันอันหนักแน่นนั้น
ฮาจุนหยุดฝีเท้าที่มุ่งหน้าไปบ้านแล้วเปลี่ยนทิศทาง ที่ที่เขาเดินไปคือม้านั่งในเขตอะพาร์ตเมนต์ ฮาจุนนั่งลงบนม้านั่งตัวในสุดของพื้นที่พักผ่อนซึ่งถูกปกคลุมด้วยเงามืดของใบต้นวิสทีเรียด้านบนหลังคา
ทันทีที่หย่อนก้นนั่งลงในที่มืดๆ น้ำตาของเขาก็หยดแหมะราวกับรออยู่ ถ้าอ้าปากก็อาจมีเสียงร้องไห้ดังออกมา ฮาจุนจึงกัดฟันไว้และปิดปากแน่น
‘เป็นเพราะนาย คิมมูคยอม คนที่ฉันตกหลุมรักตอนอยู่บนสนามหญ้า โดยที่ไม่มีใครสั่งให้ฉันรู้สึกแบบนั้น
ฉันถอยห่างจากนายและฟุตบอลแล้วคิดอะไรไม่ออกเลย ถึงบอกว่าฉันงมงายไปเองคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งของฉันแล้ว
เป็นเพราะแบบนั้นหรือเปล่านะ ฉันรู้สึกว่านายเย้ยหยันแม้กระทั่งตัวนายเองด้วย ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว ฉันไม่อยากทำให้เป็นแบบนั้น
ฉันตัดสินใจแล้วแท้ๆ ว่าจะไม่นึกเสียใจทีหลัง ทั้งเรื่องที่ชอบนายและเรื่องที่สารภาพรักกับนายด้วย…
ไม่สิ ยังไงซะ มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นใช่ไหม’
‘เฮ้อ’ ฮาจุนถอนหายใจพร้อมกับเงยหน้าขึ้น มันมืดก็เลยมองไม่เห็นรูปร่างต้นวิสทีเรียอย่างชัดเจน ฮาจุนใช้ข้อมืดด้านในเช็ดน้ำตาที่แห้งไปประมาณหนึ่งแล้ว เขาคิดจะแวะร้านสะดวกซื้อ ซื้อแผ่นเจลเย็นสักหน่อย แล้วทำให้ตาหายช้ำก่อนเข้าบ้านไป
ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่พอได้ร้องไห้ออกมา จิตใจก็สงบลง เขาลงบทสรุปของเรื่องที่ครุ่นคิดในระหว่างที่นั่งแท็กซี่มาแล้ว
‘เอาสิ ไปให้พ้นจากเขากัน
คิมมูคยอมคนดังระดับโลกไม่สามารถหายไปไหนได้ เพราะฉะนั้น คนที่เคลื่อนไหวง่ายแบบฉันก็ต้องช่วยหายไปจากเขาสิ จะทำไงได้ล่ะ
ถึงไม่ใช่ที่นี่ก็มีทีมให้ไปอยู่เยอะ ถ้าขอให้พี่ฮุนช่วย บางทีพี่เขาอาจแนะนำที่ที่เหมาะกับฉันมากกว่านี้ให้ก็ได้’
ความอ้างว้างอัดแน่นอยู่ภายในใจอย่างไม่เข้ากับฤดูกาล แต่ฤดูร้อนก็คือฤดูร้อนอยู่วันยังค่ำ พอนั่งอยู่ข้างนอก ฮาจุนก็รู้สึกร้อนขึ้นทีละนิดจึงลุกขึ้นยืน ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา การใช้ชีวิตก็แบบนี้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วถูกครอบงำด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่สุดท้ายสิ่งที่รู้สึกได้เป็นอย่างแรกสุด ก็คือเรื่องที่ว่าเพราะเป็นหน้าร้อนถึงได้ร้อนไงละ
โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ต้องติดต่อไปหาผู้จัดการทีมเป็นการส่วนตัวแล้วยื่นใบลาออกให้เร็วขึ้น แค่วันเดียวก็ยังดี กะทันหันอยู่เหมือนกัน แต่หากจะบอกว่าเขาหายไปแค่คนเดียวแล้วสตาฟมีไม่พอก็คงจะน่าอายเกินไป เพราะอย่างไรซะ เขาก็ไม่ได้รับผิดชอบหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น เป็นระดับโค้ชหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเรียนรู้งานในตอนนี้เท่านั้นเอง
ต้องกลับบ้านไปอ้อนแม่หลังจากที่ไม่ได้อ้อนมานานแล้วสิ คุยกับมินคยองแล้วก็ฮาคยองด้วย ถ้าทำแบบนั้น วันนี้แม่ก็จะบอกว่าเขาเป็นลูกชายคนโตคนเก่งของแม่ ส่วนสองแฝดก็จะต้องบอกว่าพี่ชายเจ๋งที่สุดเหมือนกัน
ถ้านอนสักคืนแล้วตื่นมา ยังไงพรุ่งนี้ก็คงจะดีกว่าวันนี้แน่
“ใบลาออกเหรอ”
มูคยอมย้อนถาม
เขากำลังจะออกจากห้องล็อกเกอร์ แต่จองคยูก็รั้งไว้พร้อมบอกว่าให้คุยกันสักเดี๋ยว ทั้งสองคนเข้ามาในห้องประชุมด้วยกัน แล้วคำแรกที่ได้ยินก็เป็นคำที่มูคยอมไม่เคยนึกฝันมาก่อน
“ใช่ จู่ๆ ก็ทำแบบนั้น ผู้จัดการทีมก็แปลกใจเลยมาถามกับฉัน ว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า แต่ไม่มีเรื่องอะไรที่ฉันได้ยินมาเลย นายรู้เรื่องอะไรบ้างไหม”
“ไม่รู้”
เป็นคำตอบที่เฉียบขาด แต่จุดที่น่าสงสัยมีมากเกินไปอย่างเห็นได้ชัด เรื่องของจองคยูคือเรื่องที่ฮาจุนยื่นใบลาออกจากการเป็นโค้ชอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
‘ใบลาออกเนี่ยนะ’ คำพูดที่เขาบอกฮาจุนว่าอย่ามาป้วนเปี้ยน หมายถึงว่าอย่ามาวนเวียนใกล้ๆ แล้วพูดอะไรไม่จริงใจอย่างเช่นชวนให้คุยกันต่างหาก ไม่ได้หมายถึงว่าให้ลาออกจากทีมสักหน่อย ถ้าหากว่าใครสักคนจากพวกเขาต้องลาออกไป มูคยอมต้องจ่ายค่าฝ่าฝืนสัญญาแล้วออกจากทีมสิถึงจะถูกต้อง ไม่มีเหตุผลที่ฮาจุนจะต้องลาออกจากที่นี่เลยแม้แต่นิดเดียว
ถึงแม้มูคยอมจะคิดว่า จะสัญญายืมตัวหรืออะไรก็ช่าง ทำให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมแล้วกลับอังกฤษไปซะเลยดีไหม แต่ที่เขาทำแบบนั้นไม่ได้ เป็นเพราะยังไม่มั่นใจว่าตนเองจะไม่มองหาอีฮาจุนในตอนนี้ สิ่งที่ตัวเขาต้องการ คือการตัดเยื่อใยที่ไม่มีประโยชน์ไปให้หมดและใช้ชีวิตอย่างเพิกเฉยต่อกัน จะมองเหมือนเป็นขยะเลยก็ได้ เพราะถ้าทำได้เพียงมองดูอย่างเดียวจนกว่าฤดูกาลจะจบลง จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาก็น่าจะจัดการความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงนี้ได้
เพราะอย่างนั้นก็เลยพูดแบบนั้นไป ไม่ได้หมายความว่าให้ออกจากทีมเลย แต่ใบลาออกเนี่ยนะ
“แล้วยังไง รับเรื่องลาออกแล้วเหรอ”
“เปล่า ผู้จัดการทีมคิดว่ามันกะทันหันมากเกินไป แล้วก็คิดว่าน่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างถึงได้ทำแบบนั้น ก็เลยห้ามไว้ก่อนน่ะ”
“โค้ชอีตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อด้วยไหม”
“เรื่องนั้นน่ะ ดูเหมือนเขาจะแน่วแน่มากทีเดียว ไม่ใช่คนที่จะดึงดันว่าจะลาออกอย่างกะทันหันแบบนี้แท้ๆ เพราะอย่างนั้นผู้จัดการทีม…”
ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของจองคยูก็มีข้อความเข้า เขาจึงหยุดพูดไปชั่วครู่ มูคยอมเร่งอีกฝ่าย
“ผู้จัดการทีมอะไร”
“หืม อ้อ บอกว่าถ้าทำแบบนั้นเพราะมีเรื่องอะไรก็ให้ไปจัดการแล้วค่อยกลับมา แล้วก็ให้วันหยุดพักร้อนน่ะ”
“พักร้อนเหรอ นานแค่ไหน”
“สิบวัน”
สิบวัน จะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว
“ถ้างั้นก็ตัดสินใจว่าจะยอมลาพักร้อนแล้วไม่ลาออกหรือเปล่า”
“เรื่องแบบนี้ ทางสโมสรก็ให้ความช่วยเหลืออย่างมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่างแรกก็คงบอกรับทราบ แล้วบอกว่าจะลองคิดดูในช่วงนั้นนั่นแหละ”
“นายได้ลองติดต่อไปไหม”
“ยังเลย ฉันเองก็เพิ่งได้ยินเรื่องนี้เมื่อเช้า ไม่ใช่ใครคนไหนแต่เป็นฮาจุนซะด้วย เขาก็น่าจะทำไปเพราะมีเหตุผล เพราะอย่างนั้นฉันเลยคิดว่าอย่าเพิ่งถามซักไซ้แล้วให้เวลาเขาหน่อยน่าจะดีกว่า”
‘ตึง’ มูคยอมทุบโต๊ะเบาๆ
“คนสอดรู้ จู่ๆ ทำไมแกล้งทำเป็นเท่ล่ะ เป็นกัปตันก็น่าจะต้องลองฟังสถานการณ์แล้วรั้งไว้ไม่ใช่หรือไง”
“ฉันเป็นกัปตันทีมนักกีฬานะ ใช่หัวหน้าสตาฟที่ไหนล่ะ”
จองคยูพูดเสียงแข็งราวกับรู้สึกไม่ยุติธรรม ชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้านไปทั่ว แต่พอถึงตอนที่น่าจะใช้ประโยชน์ได้ กลับไม่มีประโยชน์ซะอย่างนั้น อันที่จริง ถ้าเป็นการเข้าไปยุ่งเกี่ยวที่มีประโยชน์ก็ไม่เรียกว่าสอดรู้หรอกใช่ไหม มูคยอมมองจองคยูด้วยสายตาไม่ชอบใจ พร้อมกับเงียบไปครู่หนึ่งพลางเปลี่ยนความคิด
‘ใช่แล้ว บางทีอาจจะดีกว่าก็ได้
ลองใช้ชีวิตสิบวันแบบไม่มีอีฮาจุน ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย ไม่นานมานี้ก็เพิ่งไปทัวร์ต่างประเทศมาไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นแม้แต่ผมเส้นเดียวของอีฮาจุนก็ไม่ได้เห็นตั้งสองอาทิตย์แต่ก็อยู่สบายดีนี่
ตอนนั้นก็นึกถึงฮาจุนขึ้นมาเป็นบางครั้ง แต่ยังไงก็เถอะ ช่วงนั้นคล้ายๆ กัน ทัวร์ยังเสร็จสิ้นลงด้วยดีโดยไม่ได้ติดต่อหากันเลยสักครั้ง เพราะฉะนั้นครั้งนี้จะมีอะไรต่างกันล่ะ
ยังไงซะ ถ้าฤดูกาลจบลงก็จะไม่มีเรื่องอะไรให้ได้เจอเจ้านั่นอีกแล้ว ว่ากันว่าถ้าห่างไปจากสายตาก็จะห่างไปจากใจด้วย ถ้าผ่านสิบวันนี้ไปได้ด้วยดี ก็เหลือแค่ใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ให้จบโดยไม่จำเป็นต้องกังวลไปมากกว่านี้แล้วกลับไปกรีนฟอร์ด’ มูคยอมลูบใบหน้าขึ้นพร้อมกับให้คำมั่น
‘นายทำได้ คิมมูคยอม จัดการความรู้สึกยุ่งเหยิงในขอบเขตของนายซะ’
หากฮาจุนกลับมาในอีกสิบวันก็น่าจะทำตัวเฉยเมยกับเขากว่าตอนแรก และถ้าเป็นแบบนั้น เขาเองก็แกล้งทำเป็นไม่รับรู้ตามน้ำไปก็พอ ใช้เวลาในฐานะโค้ชกับนักกีฬาทีมเดียวกันที่ไม่ได้มีความสนิทสนมแต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์เลวร้าย แล้วถ้ากลับไปกรีนฟอร์ด ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างเรียบร้อย
“จะว่าไปอาจเป็นเพราะพี่แชฮุนกลับมาก็เลยอยากย้ายไปทางนั้นก็ได้นะ ยังไงถ้าได้ทำงานกับพี่ก็น่าจะสบายใจละ”
คนสอดรู้บอกข้อมูลที่ไม่ได้ช่วยในการตัดสินใจที่หนักแน่นเลยสักนิด เกลียดที่ชอบพูดเหมือนรู้อะไรสักอย่างอยู่ตลอด มูคยอมจ้องเขาเขม็งหนึ่งครั้งอย่างไร้ประโยชน์ จากนั้นจึงถามเรื่องที่เคยตั้งใจว่าจะไม่ถามเพราะทนไม่ไหว
“อิมจองคยู นายได้ตามไปที่งานรวมตัวโค้ชหรือเปล่า”
“งานรวมตัวโค้ชเหรอ อ๋อ วงเหล้าน่ะนะ? แวะไปทักทายนิดหน่อยแล้วถูกดึงตัวไว้ คิดว่าจะตายซะแล้ว พวกขี้เหล้าเอ๊ย”
“ในกลุ่มโค้ชมีคนที่จองโมเต็ลนอนหรือเปล่า”
“ก็คนที่มาจากต่างเมืองไม่กี่คน ทำไม”
“เปล่า มีงานรวมตัวแบบนั้นด้วยก็เลยประหลาดใจน่ะ”
ตอนฮาจุนบอกว่าจองคยูก็อยู่ด้วยกัน เขามั่นใจแล้วว่าตัวเองเข้าใจผิด แต่เผื่อว่าจะไม่ใช่จึงลองถาม แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
เขาคลายความสงสัยมานานแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเพราะแบบนั้นก็เลยยิ่งไม่สบอารมณ์และใส่ใจมากกว่าเดิม ตัวเขาที่ถูกดูดกลืนเข้าไปในความรู้สึกที่เหมือนโคลนตมแบบนั้น ความจริงที่ว่าเขาตั้งใจจะประพฤติตัวไป ทั้งที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อยู่หลายครั้ง คิมมูคยอมไม่ควรที่จะเป็นมนุษย์แบบนั้นเลย
“ค่อยๆ ออกไปกันเถอะ อยู่แบบนี้เดี๋ยวจะสาย”
มูคยอมพยักหน้าให้กับคำพูดจองคยูแล้วลุกขึ้นจากที่ มูคยอมออกมาตรงสนามฝึกกล้างแจ้งแล้วกวาดตามองกว้างๆ เหนือสนามหญ้าหนึ่งรอบ เป็นอากัปกิริยาเหมือนกับตั้งใจจะยืนยันให้เห็นว่าฮาจุนไม่อยู่
โค้ชหนุ่มที่มักจะสังเกตดูนักกีฬาด้วยรอยยิ้มที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนบนใบหน้าขาว มูคยอมไม่เห็นร่างของโค้ชคนนั้นแม้แต่ปลายจมูกจริงๆ นักกีฬาคนอื่นคงยังไม่รู้เรื่องที่ฮาจุนยื่นใบลาออก พวกเขาจึงกำลังพูดคุยกันโดยไม่ได้เอ่ยถึงฮาจุนออกมาเลยแม้แต่คำสั้นๆ
ไม่นาน ผู้จัดการทีมก็ยืนประจำที่ แล้วพวกนักกีฬาก็เรียงแถวทำความเคารพ
“วันนี้มีเรื่องจะแจ้งหนึ่งเรื่องก่อนเริ่มฝึกนะ”
มูคยอมกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่จำเป็นเพราะคำพูดนั้น
“โค้ชอีฮาจุนมีเรื่องส่วนตัวก็เลยได้ลาพักร้อนนานหน่อย ประมาณสิบวัน”
‘เอ๋ จริงเหรอ ทำไมล่ะ นายรู้หรือเปล่า ป่วยตรงไหนหรือเปล่านะ ที่บ้านมีเรื่องอะไรกันนะ’
เสียงเซ็งแซ่ผุดออกมาเรื่อยๆ ราวกับต้นถั่วงอกจนเกิดเป็นเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ถ้ารู้ว่าพวกนักกีฬาที่ดูเหมือนจะฝึกอยู่เงียบๆ เพียงอย่างเดียว เป็นคนที่ช่างพูดมากแค่ไหน คนอื่นๆ ก็น่าจะตกใจแน่ ไม่ว่าจะที่กรีนฟอร์ดหรือที่นี่ ในห้องล็อกเกอร์กับสนามฝึกจะมีเรื่องราวทุกอย่างบนโลกนี้ถูกยกขึ้นมาพูดตั้งแต่ A ถึง Z กันเลยทีเดียว
ในการใช้ชีวิตของนักกีฬาไม่มีตัวแปรที่ยิ่งใหญ่ และถึงเกิดตัวแปรขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องดี แม้บอกว่ามีการพัฒนาความสามารถของใครของมัน แต่ถ้าหากผ่านจุดเริ่มต้นมาแล้ว การใช้ชีวิตของนักกีฬาก็จะหมุนวนไปตามวงโคจรของการฝึกและการแข่งขันที่เหมือนๆ กันในสภาพแวดล้อมเดียวกันเสมอ คงเพราะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย นอกเหนือจากอิมจองคยูผู้ชอบเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่น จึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบจินตนาการหรือคาดเดาเรื่องต่างๆ นานา เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีจังหวะให้การพูดคุยเรื่องของคนอื่นเงียบหายไป
เพราะคนที่เป็นที่ชื่นชอบของสนามฝึกหายไปอย่างกะทันหัน ทุกคนก็เลยน่าจะกำลังไตร่ตรองหาสาเหตุนั้นอย่างแข็งขันในหัวอยู่ตอนนี้ มีเพียงคนเดียวที่มักจะระเบิดความสามารถในการจินตนาการของเขาออกมาอย่างล้ำเลิศยิ่งกว่าใคร ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครว่าอะไรแม้แต่คนเดียว แต่ความรู้สึกเหมือนถูกชี้ตัวว่าเป็นคนผิด ก็ทำให้เขาเคร่งเครียดขึ้น และสูญสิ้นความสบายใจในการจะคิดอะไรบางอย่างไปหมด
“ในช่วงที่โค้ชอีไม่อยู่ โค้ชคนอื่นๆ ก็น่าจะยุ่งขึ้นนิดหน่อย เพราะฉะนั้นเชื่อฟังโค้ชกันด้วยนะ มาเริ่มฝึกเช้ากันเถอะ”
“ครับ!”
เสียงตอบรับดังขึ้นพร้อมกับเริ่มต้นด้วยการวิ่งเบาๆ มูคยอมวิ่งไปตามลู่วิ่งที่วนรอบสนามหญ้าพร้อมกับเหลือบมองไปทางกลุ่มโค้ชซึ่งกำลังรวมตัวพูดคุยเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ตรงจุดหนึ่ง เขารู้สึกไม่ชินมากๆ ที่ไม่เห็นร่างของอีฮาจุนอยู่ในกลุ่มนั้น