Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 75
มูคยอมออกมาตรงหน้ารูปตัวอย่างคลิปอีกครั้งด้วยด้วยจิตใจอันว้าวุ่น เพราะไม่สามารถทำความเข้าใจตัวเองที่บุ่มบ่ามเคลื่อนไหวก่อนโดยไม่มีการเตรียมตัวใดๆ จากนั้นก็ไถหน้าจอขึ้นอีก แล้วดวงตาของเขาก็จับจ้องอยู่ตรงชื่อคลิปที่เข้ามาในสายตา
‘อีฮาจุน – คิมมูคยอม แอสซิสต์[1]อันน่าเหลือเชื่อ’
สีหน้าของมูคยอมงุนงงราวกับเห็นผีซึ่งไม่มีทางมีอยู่จริงบนโลก แต่ไม่นานก็นึกถึงเรื่องแอสซิสต์ในการแข่งเวิลด์คัพครั้งก่อนซึ่งจองคยูเคยพูดถึงสองสามครั้งขึ้นมาได้
มูคยอมจำเรื่องที่จองคยูเล่าได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่เคยลองยืนยันด้วยตัวเองเลยสักครั้งเดียว มูคยอมลังเลที่จะแตะลงไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็กดให้วิดีโอเริ่มเล่นอีกครั้ง
ฉากหนึ่งในการแข่งเวิลด์คัพเมื่อสามปีก่อน ซึ่งเขาไม่เคยอยากนึกย้อนกลับไปจึงไม่แม้แต่จะตรวจดูอย่างละเอียด ถูกฉายขึ้นเต็มหน้าจอ เป็นศึกกับอุรุกวัยซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายของรอบคัดเลือก ในตอนนั้นทั้งบรรยากาศของทีม ทั้งความเห็นของมวลมหาชนเกี่ยวกับเรื่องทีมตัวแทนประเทศ ต่างก็อลหม่านวุ่นวายจนไม่สามารถแย่ไปกว่านั้นได้
ถึงอย่างนั้น เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายของรอบคัดเลือก เสียงเชียร์จึงดังกระหึ่ม และนักกีฬาเองก็ประจันกับทีมอันแข็งแกร่งแห่งทวีปอเมริกาใต้อย่างดุเดือดและจริงจังยิ่งกว่าตอนไหนๆ มูคยอมเองก็เช่นเดียวกัน ในวันนี้เขาบุกทำคะแนนได้โกลแรกแล้วแม้จะเป็นแค่ครู่เดียวก็ตามแต่เขาก็ได้ได้ลิ้มรสความหวังที่ว่าถ้าโชคดีก็อาจก้าวขึ้นไปสู่ด้านบนได้
ถึงแม้ว่าสุดท้ายการแข่งขันจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ แล้วหลงเหลือไว้เพียงการแข่งขันที่ไม่อยากนึกย้อนกลับไปอีก ราวกับให้บทเรียนว่าไม่มีปัญหาที่แก้ไขได้ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าเพียงอย่างเดียว
‘ครับ เกาหลี กำลังรักษาบอลไว้ได้ดีทีเดียวครับ วันนี้สมาธิของฝ่ายป้องกันใช้ได้เลย’
รู้สึกได้ถึงความสั่นจากเสียงพากย์ที่จงใจทำเป็นสุขุมด้วยเช่นกัน เสียงกู่ร้องที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนซึ่งไม่ว่าการแข่งขันในลีกไหนก็เทียบไม่ได้ดังปกคลุมทั่วทั้งสนาม
ประ-เทศเกาหลี! ตึงๆๆๆ! ลูกบอลกลิ้งจากหน้าโกลไปทั่วทุกที่ แล้วก็ไปถึงตรงหน้าเท้าของนักกีฬาคนหนึ่ง โดยมีเสียงเพลงประกอบเป็นเสียงจังหวะของเครื่องดนตรีประเภทเคาะตี ซึ่งดังขึ้นรวมกับเสียงกู่ตะโกนของผู้คนจากอัฒจันทร์
เขาคืออีฮาจุน
ฮาจุนสวมเครื่องแบบของทีมชาติและยืนอยู่เหนือสนาม แน่นอนว่าเขามีรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนเยาว์กว่าตอนนี้ เมื่อภาพของฮาจุนแสดงให้เห็นบนหน้าจอ มูคยอมก็ส่งเสียงในลำคอโดยไม่รู้ตัว ฮาจุนยืนอยู่ตรงปีกข้างด้านหน้าเขตโทษ แล้วเตะลูกโด่งลอยยาวขึ้นไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ส่งบอลให้ใครจากตรงนั้นอีก
เมื่อวิถีบอลไกลขึ้น มุมกล้องก็ถอยห่างออกมา แล้วหน้าจอก็ฉายให้เห็นภาพรวมทั่วทั้งสนาม ลูกบอลลอยไปไกลแล้วร่วงลงตรงปลายเท้าของคนคนหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งมุ่งหน้าไปทางประตูของฝั่งอุรุกวัยราวกับเล็งเป้า
ตรงหน้าเท้าของคิมมูคยอมเมื่อสามปีก่อนพอดี
เป็นการส่งลูกระยะไกลแสนแม่นยำจนจะเรียกว่าเป็นบริการส่งถึงที่ก็ไม่ใช่คำพูดเกินจริง เหมือนคนที่รับรู้รูปแบบหรือระยะการเคลื่อนที่ของมูคยอมอย่างสมบูรณ์แบบ เกินกว่าจะบอกว่าเป็นการส่งลูกของแนวรับซ้ายหลัง ซึ่งส่งมาไม่ตรงกับเท้าของเขาอยู่หลายครั้ง
มูคยอมวิ่งพุ่งไปไม่กี่ก้าวและสลัดผู้ตั้งรับซึ่งอยู่ด้านหน้าเขาอย่างง่ายดาย จากนั้นก็เตะลูกบอลอย่างแรงทั้งอย่างนั้น ในสถานการณ์ที่ผู้รักษาประตูก้าวออกมาล้ำหน้ามากเกินไปพอดี อุรุกวัยไม่สามารถป้องกันได้อย่างแน่นหนาและจำต้องสละประตูให้
‘โกล—! โกลแรกครับผม โกล! โกล! โกล! ถ้าชนะในการแข่งขันนี้โดยทำคะแนนมากกว่าอีกฝ่ายได้สองประตู เกาหลีก็จะสามารถผ่านเข้ารอบสิบหกทีมได้ครับ!
ผู้พากย์ตะโกนเสียงดังจนคอแทบแตก แม้ว่าการเล่นเข้าขากันในทีมจะเละเทะไปหมดและความเห็นของมวลมหาชนจะน่าเสียวสันหลังมากแค่ไหน แต่ผู้คนที่มีชัยชนะเป็นเป้าหมายก็อารมณ์พลุ่งพล่านกันเป็นอย่างแรก พวกนักกีฬาบนสนามก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่เตะเข้าโกลไปได้ พวกเขาต่างก็ลืมเลือนความไม่ปรองดองและความขัดแย้งไปจนหมด แล้วตะโกนเสียงดังอย่างบ้าระห่ำพร้อมกับวิ่งกรูเข้าไปหาพระเอกที่ทำประตูได้ กล้องจับภาพพวกนักกีฬาเกาหลีในระยะใกล้อย่างรวดเร็ว มูคยอมสามารถยืนยันตัวนักกีฬาที่มาถึงตัวเขาเป็นคนแรกและยืนแทบชิดกันได้
เป็นเรื่องที่แน่ยิ่งกว่าแน่ คนคนนั้นคือฮาจุนผู้ทำการแอสซิสต์การยิงประตูเมื่อครู่นี้ คิมมูคยอมในตอนนี้เพียงแค่หลงอยู่ในความดีใจที่ทำประตูได้เท่านั้น เขาจำได้ว่านักกีฬาที่วิ่งมาทางเขาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนหนึ่ง เขาไม่แม้แต่จะมองดูทีละคนว่าใครเป็นใคร และไม่แม้แต่คิดที่จะทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างลึกซึ้งด้วยซ้ำ
มูคยอมคิดแค่ว่า นักกีฬาที่ยืนตัวติดเขาคือตัวเอกของการแอสซิสต์อันน่าซาบซึ้ง ซึ่งช่วยให้ตนเองยิงประตูได้เท่านั้น แต่กลับไม่สนใจเลยว่าคนคนนั้นเป็นใคร ในเวลานั้นเขาน่าจะจำพวกหมายเลขด้านหลัง ชื่อ แล้วก็ตำแหน่งสักหน่อย
ฮาจุนในฐานะนักกีฬาผู้ทำแอสซิสต์ได้ ดูเหมือนตั้งใจจะวิ่งเข้ามาหามูคยอมเพื่อแสดงความยินดี ส่วนคิมมูคยอมในหน้าจอกำลังลิ้มรสชาติแห่งความดีใจที่ยิงประตูแรกได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังหลงอยู่กับความรู้สึกว่าสถานการณ์กำลังดีขึ้น จึงดึงตัวผู้ช่วยเหลือในการยิงโกลแรกซึ่งวิ่งมาใกล้ตนเข้ามากอดอย่างไม่ได้คิดอะไร
ผู้คนมากมายทั่วทั้งประเทศน่าจะได้เห็นฉากนี้ แต่ทุกคนต่างก็คงจะไม่ได้ให้ความสนใจกับท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ของฮาจุน มูคยอมเอง ถ้าฮาจุนไม่เคยสารภาพรักกับเขา ถึงจะดูฉากนี้ไปก็อาจจะไม่รู้สึกถึงความเคอะเขินใดๆ และปล่อยผ่านไปเฉยๆ ก็ได้
เวลาเพียงชั่วขณะ ใบหน้าของฮาจุนปรากฏให้เห็นความลำบากใจขึ้นมาก่อน ถึงแม้ว่ามูคยอมจะเป็นฝ่ายดึงเข้ามากอดก่อน แต่ฮาจุนกลับดูเหมือนพยายามขืนร่างกายท่อนบนกับลำคอหนีราวกับจะเอาตัวไปแนบชิดกับมูคยอมไม่ได้ และพยายามที่จะเอาตัวถอยห่างให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ทว่าพวกนักกีฬาต่างวิ่งกรูเข้ามาทันทีที่เขากอดฮาจุน และล้อมวงเบียดพวกเขาทั้งคู่จนซ้อนเป็นชั้นๆ พร้อมส่งเสียงโห่ร้องด้วยความเริงร่า เพราะน้ำหนักของคนพวกนั้น เขาทั้งสองจึงต้องยืนตัวแนบสนิทกันโดยอัตโนมัติ
หลังจากชั่วขณะนั้น ฮาจุนในวีดิโอก็ก้มหัวมุดหน้าลงกับไหล่ของมูคยอม และโอบแขนรอบลำคอของเขา ราวกับยอมแพ้ที่จะเกร็งคอไว้แล้ว ขนาดในหน้าจอเล็กๆ ของโทรศัพท์ มูคยอมก็ยังยืนยันได้ว่าหูขาวๆ นั้นถูกย้อมไปด้วยสีแดง
“…”
คิดไปเองหรือเปล่านะ มูคยอมลากแถบเลื่อนเวลาคลิปมาด้านหน้าแล้วให้คลิปเล่นตั้งแต่ส่วนที่ฮาจุนวิ่งเข้ามาหาตนเองใหม่อีกครั้ง สองครั้ง สามครั้ง และสี่ครั้ง
ไม่ว่าจะย้อนดูกี่รอบก็เหมือนกันหมด ฮาจุนที่โดนมูคยอมดึงเข้ามากอด ประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก จากนั้นก็ยอมแพ้การขัดขืนแสนเล็กน้อยของตัวเองคนเดียว ราวกับตะโกนอยู่ในใจว่า ‘ไม่รู้แล้วเว้ย’ พลางมุดหัวลงบนไหล่เขาพร้อมกับกอดตอบมูคยอม
หูขึ้นสีแดงจัด บางทีใบหน้าที่มองไม่เห็นอย่างชัดเจนเพราะซุกอยู่กับไหล่เขาก็น่าจะเป็นสีเดียวกันด้วย มันเป็นคลิปวิดีโอเมื่อสามปีก่อน
‘ฉันชอบนาย’
ดวงหน้าขาวที่มีหยาดน้ำเกาะราวกับหยาดน้ำค้าง เงยหน้ามองเขาพร้อมกับพูดอย่างตรงไปตรงมา ใบหน้านั้นโฉบเข้ามาในการมองเห็นอย่างไม่ทันคาดคิด ตอนนั้นเขาตอบกลับไปว่าอะไรนะ
‘ร่างกายรู้สึกผูกพันขึ้นมาหรือไง’
แต่มีคำที่เขาตั้งใจจะพูดก่อนถามแบบนั้นไปอยู่อีก เรื่องที่ตั้งใจจะถามแต่ก็เก็บเอาไว้ กับคำถามนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถเปล่งออกมาได้ ถึงแม้จะโหวกเหวกโวยวายอยู่ภายในใจของมูคยอมในระหว่างนั้นก็ตาม คำพูดพวกนั้นลอยละล่องเหมือนเศษฝุ่นอยู่ในจิตใจอันมึนงง
วิดีโอที่ยังไม่ได้ดูเหลืออยู่อีกยาว แต่มูคยอมกลับปิดตาลงด้วยความเหนื่อยล้าที่ถาโถมเข้าใส่อย่างรวดเร็ว คำถามหมุนวนอยู่ในหัวอย่างไร้ซึ่งการเรียงลำดับ มันรวมตัวกันเป็นก้อนก้อนเดียวแล้วถูกลากเข้าสู่ห้วงของการนอนหลับๆ ตื่นๆ ไปพร้อมกัน
ตั้งแต่เมื่อไร
ชอบฉันตรงไหน
นายพอใจกับตอนนี้จริงๆ เหรอ ไม่อยากลองร้องขออะไรมากกว่านี้อีกเหรอ
ไปลอนดอนด้วยกันกับฉันดีไหม ตัวเลือกก็กว้างกว่าที่นี่แล้วก็น่าจะดีกว่าในหลายๆ เรื่องด้วย
ตรงที่บาดเจ็บดีขึ้นแล้วใช่ไหม ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วใช่หรือเปล่า
อีฮาจุน นายชอบฉันจริงๆ เหรอ
ฮ่าๆ แปลกใจจริงๆ นะ ทำไมล่ะ
คนแบบนายทำไมถึงมาชอบฉัน
เมื่อตื่นจากการหลับใหล สภาพร่างกายของมูคยอมกลับแย่ลงกว่าเมื่อวาน เนื้ออกไก่ที่มักจะสั่งมากินที่บ้านเป็นอาหารเช้า ทั้งแข็งทั้งแห้งมากเสียจนฝืนกลืนลงคอไม่ได้ ไม่น่าเชื่อ วันต่อมาหลังจากพ่อแม่ตาย เขาก็ยังกินข้าวได้ดีด้วยซ้ำไป มูคยอมดื่มเพียงผงโปรตีนเชคที่ละลายกับนมอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นจึงออกไปทำงาน
ถึงแม้ว่าจะกินอาหารไม่พออยู่ประมาณวันสองวัน ก็จะไม่เกิดความผิดพลาดกับการฝึกซ้อมในทันที แต่หากกินอาหารไม่ได้ในระยะยาวก็เป็นอันตรายร้ายแรงได้ มูคยอมไม่ถ่วงเวลาหาคำตอบให้เรื่องที่ตัวเองสงสัยไปมากกว่านี้แล้ว จากนั้นก็ลงบทสรุปว่าต้องแก้สถานการณ์นี้โดยเร็ว วันนี้มูคยอมลากจองคยูมาที่ห้องประชุมเหมือนที่จองคยูทำเมื่อวาน
“เป็นอะไรของนาย”
“ขอถามสักสองสามเรื่องสิ”
เมื่อความเหนื่อยล้าก่อตัวใหญ่ขึ้น การมองเข้าไปในโทรศัพท์อย่างต่อเนื่องก็ยิ่งลำบากมากขึ้นด้วย มูคยอมรู้เป็นอย่างดีกว่าใคร ว่าข้อมูลส่วนใหญ่ที่ว่อนอยู่เต็มอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งกระตุ้นอันเร้าใจ แต่ในทางกลับกันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร
การใช้ประโยชน์จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ซึ่งอยู่ข้างเขาตรงนี้ มีประสิทธิภาพมากกว่าไปลำบากขุดหาความจริงออกมาจากประโยคที่เขียนทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องราวอย่างถูกต้อง อิมจองคยูรับรู้อะไรได้เชื่องช้า หากเทียบกับการที่เขามีความสนใจในเรื่องของคนอื่นมาก ในเวลาแบบนี้ไม่มีใครคนไหนเหมาะเท่าเขาแล้ว
“โค้ชอีน่ะ”
“ฮาจุนทำไม ได้รับการติดต่ออะไรมาเหรอ”
“ทำไมถึงได้รับบาดเจ็บล่ะ อาการหนักมากไหม”
ทันใดนั้น จองคยูก็กะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ มูคยอมขมวดคิ้ว
“ทำไมจ้องแบบนั้น”
“เพราะไม่รู้จะถามอะไรไง หมายความว่านายไม่รู้มาจนถึงตอนนี้เลยเหรอ ว่าทำไมถึงบาดเจ็บน่ะ”
“ถ้าไม่พูดแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ”
“นี่ คนในทีมน่าจะมีแค่นายคนเดียวที่ไม่รู้ว่าทำไมฮาจุนถึงบาดเจ็บ เรื่องนี้ดังจะตายไป ฉันไม่คิดด้วยซ้ำว่านายจะไม่รู้”
“รู้แล้วน่า เพราะงั้นก็รีบๆ เล่ามาสักที”
จองคยูทำหน้าสงสัยว่าทำไมจู่ๆ มูคยอมถึงให้ความสนใจกับเรื่องนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ถามซักไซ้แล้วช่วยตอบให้
“นายอยู่อังกฤษก็เลยน่าจะไม่รู้เรื่องแบบละเอียด แต่ว่า… รู้เรื่องเหตุเพลิงไหม้ที่ห้างมยองชินสาขาใหญ่เมื่อไม่กี่ปีก่อนใช่ไหม ไฟโหมหนักมากก็เลยไหม้ไปเกือบครึ่งตึก”
“รู้สิ”
จำได้ว่าเป็นปีเดียวกันกับที่เวิลด์คัพถูกจัดขึ้น ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้นหรือเปล่านะ หรือว่าช่วงประมาณหน้าหนาว เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่ห้างสรรพสินค้าอันโด่งดัง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความโชคดีในความโชคร้าย ใกล้จะถึงเวลาปิดทำการแล้วจึงมีผู้คนไม่เยอะ แต่กลับกลายเป็นว่าเพราะแบบนั้นจึงรับมือได้ช้าไป และมีผู้ได้รับบาดเจ็บกับผู้เสียชีวิตอยู่พอสมควร
“เป็นช่วงที่ฮาจุนกำลังดำเนินเรื่องย้ายสังกัดไปฝรั่งเศสแล้วงานก็กำลังเป็นไปได้ด้วยดีด้วยน่ะ เห็นบอกว่าเพราะเรื่องนั้น ปีนั้นก็เลยน่าจะไม่ได้ใช้เวลาคริสต์มาสร่วมกันกับครอบครัว แล้วก็บอกว่าจะไปซื้อของขวัญให้น้องๆ ล่วงหน้า จากนั้นก็ไปที่นั่นแล้วก็กลายเป็นแบบนั้นแหละ”
“…”
“เขาอยู่ชั้นหนึ่งก็เลยโชคดีที่ช่วยออกมาได้ก่อนไฟลามหนัก แต่ถ้าเกิดไฟไหม้ในตึก ถึงไฟจะไม่ได้ลุกโชนก็ออกมาไม่ได้เพราะควันอยู่ดี ถ้ารีบออกมาอาจจะไม่บาดเจ็บก็ได้ แต่นิสัยของฮาจุนน่ะนะ… เห็นว่ามีเด็กตัวเล็กคนหนึ่งกลัวก็เลยนั่งคุดคู้อยู่ตรงมุมหนึ่งแล้วออกมาไม่ได้ เพราะอย่างนั้นก็เลยมัวแต่พาเด็กมาจนได้ออกมาช้าเลย”
“น่าจะไม่ใช่แค่สูดควันเข้าไปแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่เหรอ”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว ตึกของห้างถูกไฟเผาไปจนถึงเพดาน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าโคมไฟที่ติดอยู่บนนั้นหรือเศษชิ้นส่วนตกลงมาใส่ฮาจุนจนได้รับบาดเจ็บ… เพราะหนีออกมาทันทีไม่ได้และเพราะควันด้วยก็เลยหมดสติไปตรงนั้น เห็นบอกว่าหลบยังไงนี่แหละก็เลยไม่โดนหัว”
คำพูดของจองคยูแผ่วเบาลงราวกับรู้สึกหวาดเสียวที่จะพูดต่อ
“ยังไงก็เถอะ เพราะอย่างนั้นก็เลยโดนไฟลวกแล้วก็เข้าผ่าตัด อีกทั้งยังเสียเลือดมากแล้วก็สูดควันเข้าไปซะเยอะก็เลย… ฉันไม่ได้เห็นทุกเหตุการณ์อยู่ข้างๆ หรอกนะ แต่ที่ผ่านมาฉันไม่เคยมีความยากลำบากขนาดนั้นเลย ครอบครัวที่เฝ้ามองอยู่ข้างๆ ก็เหมือนกัน ที่น้องของเขาร้องไห้ลั่น บอกว่าถ้าไม่ใช่เพราะตัวเอง พี่ชายก็คงไม่ไปห้างและไม่ได้รับบาดเจ็บ ฉันก็ยังจำได้อยู่ เพิ่งจบเวิลด์คัพไปได้ไม่เท่าไรก็เลยเป็นช่วงที่คนรู้จักชื่ออยู่ด้วย ถึงจะแค่แป๊บเดียวแต่ก็ได้ออกข่าว เพราะอย่างนั้นทุกคนเลยรู้ คิดว่านายก็รู้แน่ๆ ซะอีก”
เพลิงไหม้…
ตอนนี้มูคยอมถึงได้รู้ว่าทำไมวันนั้นที่ควันลอยเต็มอาคารจัดงานนำเสนอ ฮาจุนถึงได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอันแปลกประหลาดถึงขนาดนั้น และเหตุผลที่จองคยูกับแชฮุนสังเกตอาการของฮาจุนจนรู้สึกว่ามันมากกว่าปกติด้วย
มีเพียงเขาที่ไม่รู้ ไม่ใช่แค่อิมจองคยูกับยุนแชฮุน แต่คนในทีม ไม่สิ จะบอกว่าคนในประเทศเกาหลีที่มีความสนใจในฟุตบอลเลยก็ได้ มูคยอมไม่รู้เรื่องที่ทุกคนควรรู้อยู่คนเดียว แล้วทันทีที่เขาพาคนที่พบเจอกับเรื่องแบบนั้นมาบ้าน เขากลับปิดตาอีกฝ่ายไว้ด้วยความเริงร่าแล้วโถมตัวเข้าใส่ในทันที
ความรู้สึกสิ้นหวังที่เคยคิดมาจนถึงตอนนี้ว่าเพียงพอแล้ว กลับกดทับลงมาบนไหล่อย่างหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม มูคยอมใช้นิ้วประคองขมับเล็กน้อยแล้วถามคำถามที่เหลือ
“ถ้าดูจากตอนโค้ชชิ่งก็ออกกำลังกายตามปกติทุกอย่างเลยนะ แต่เป็นหนักในระดับที่ไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เลยเหรอ”
“ครั้งก่อนก็ถามแล้วนี่ ถ้าถามละเอียดถึงเรื่องนั้นก็ยังไงๆ อยู่ ฉันก็เลยไม่รู้ชัดเหมือนกัน แต่คงยอมแพ้นั่นแหละเพราะมันไม่ง่าย กำลังดำเนินเรื่องย้ายสังกัดแท้ๆ แต่ก็ต้องยอมแพ้ทั้งที่ไม่ได้รับการตรวจร่างกาย ถึงอย่างนั้นเดิมทีก็เป็นคนแข็งแรงอยู่แล้ว ก็เลยบอกว่าค่อนข้างฟื้นตัวได้เร็วทีเดียว”
จองคยูพูดแบบนั้นแล้วสังเกตท่าทีของเขาราวกับตั้งใจจะพิจารณาอะไรบางอย่างอีกครั้งพร้อมกับถามขึ้น
“จู่ๆ ถามเรื่องเมื่อก่อนทำไม หรือว่ามันเกี่ยวกับที่ฮาจุนตั้งใจจะลาออกเหรอ”
“ไม่เกี่ยว ก็แค่ พอบอกว่าจะลาออกจริงๆ ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโค้ชอีเลย ถ้าเทียบกับระยะเวลาที่รู้จักกันมา”
“ทำไมถึงคิดอะไรน่าอัศจรรย์ใจแบบนั้น แต่ก็นะ ตอนแรกพวกนายสองคนก็ไม่ได้สนใจกันเลย แต่สนิทกันมากขึ้นแล้ว ถ้าฮาจุนกลับมา เราไปดื่มกันสามคนจริงๆ กันเถอะ”
มูคยอมตอบอ้อมแอ้มพลางออกไปจากห้องประชุม เขาออกไปตรงสนามฝึกแล้วย่ำเท้าลงบนสนามหญ้า พร้อมกับเรียบเรียงข้อมูลกับคำถามที่ออกันแน่นอย่างยุ่งเหยิงในหัวตั้งแต่เมื่อวานไปทีละนิด
ที่อีฮาจุนบอกชอบเขาคือช่วงล่าสุดมานี้ แต่วิดีโอที่ดูเมื่อวานคือของสามปีก่อน เขาคาดเดาว่าเป็นความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ตอนเจอกันในทีมนี้แล้วกลายมาเป็นคู่นอนกัน แต่บางทีมันอาจเนิ่นนานกว่าที่มูคยอมคาดไว้ก็ได้
อีฮาจุนได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้แล้วลาออกจากงาน มีคนไม่มากที่ทำใจรับความโชคร้ายขนาดนั้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี การที่จะแสดงปฏิกิริยาตื่นตกใจตอนคิดว่าไฟไหม้ก็ไม่แปลก
ถึงอย่างนั้นก็ยังมอบร่างกายของตัวเองตามความต้องการของเขาโดยไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดียว ถ้ามูคยอมไม่สังเกตเห็นกลางคันก็อาจจะทนจนจบ ถึงแม้จะอยู่ในระหว่างมีเซ็กส์อันรุนแรง แต่ใบหน้าขาวของฮาจุนก็ซีดเซียวไร้สีเลือดและสายตาก็เหม่อลอยราวกับกำลังนึกย้อนไปในที่ไกลแสนไกล มูคยอมเห็นภาพนั้นราวกับปรากฏอย่างแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า ทั้งที่ตกใจจนอาเจียน แต่สิ่งแรกที่อีฮาจุนผู้มีใบหน้าซีดเผือดราวกระดาษขาว ทำเป็นอย่างแรกสุดในอาคารจัดงานนำเสนอที่คละคลุ้งไปด้วยควัน คือการตามหามูคยอมแล้วจับข้อมือดึงให้ออกไป
มูคยอมขมวดคิ้ว ความเจ็บปวดในรูปแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจนถึงตอนนี้ เจ็บแปลบขึ้นมาโดยเริ่มตั้งแต่บริเวณหัวใจแล้วแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่าง
“…อิมจองคยู”
“ทำไม”
“ฉันเจ็บหัวใจ”
ดวงตาของจองคยูสั่นไหวอย่างกระวนกระวาย
“ช่วงนี้ทำไมสภาพร่างกายนานเป็นแบบนี้เนี่ย ควรต้องไปโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ”
“งั้นเหรอ”
“ต้องไปให้ได้นะ ไอ้เจ้านี่ นายอาจเป็นโรคคิดไปเองว่าป่วยนิดหน่อยก็ได้ ร่างกายนายมูลค่าตั้งเท่าไร”
จองคยูตำหนิราวกับเป็นห่วงจากใจจริง และการฝึกซ้อมอย่างเป็นทางการเริ่มต้นขึ้น
มูคยอมเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมในสนามฝึกที่ไม่มีฮาจุนแล้วมุ่งหน้าไปศูนย์อาหาร วันนี้ตั้งใจว่าจะหาอะไรลงท้องสักหน่อย แต่เขาก็กินอะไรแทบไม่ลงอย่างที่คิด จองคยูมองมูคยอมเหลืออาหารไว้ตามเดิมแล้วกำชับว่าให้ไปโรงพยาบาล ไม่สิ ชวนให้ไปโรงพยาบาลด้วยกัน
………………………………………..
[1] แอสซิสต์ เป็นคำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ assist เป็นคำที่นิยมใช้ในการแข่งขันกีฬา หมายถึง การที่ผู้เล่นช่วยให้ผู้เล่นคนอื่นในทีมทำคะแนนได้