Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 8
มูคยอมไม่เพียงแต่ไม่สนใจเรื่องความรักหรือการแต่งงานของคนอื่นแต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดงฮุนเป็นใครและก็ไม่อยากรู้ด้วย อาจเป็นเพราะว่าเขาไม่คุ้นชินกับท่าทางที่ฮาจุนพูดคุยแลกเปลี่ยนบทสนทนาในชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป ดังนั้นถึงจะไม่ใช่ท่าทางที่น่าทึ่งอะไรนัก แต่ก็มักถูกดึงดูดสายตาให้มองไปทางนั้นอยู่เรื่อย มูคยอมก็ใช้หลังมือเท้าคางและจ้องมองไปที่ใบหน้าที่มีเลือดฝาดของฮาจุน
ฮาจุนคงรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาถึงได้ใช้มือกวาดไปรอบๆ คางและแก้มของตนเองแล้วมองหน้ามูคยอม
“ทำไม” มูคยอมเอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน
ฮาจุนตอบด้วยเสียงที่เบาลงเล็กน้อยราวกับว่าเขารู้สึกตื่นตกใจ
“เปล่า คือมีอะไรติดอยู่เหรอ…”
“หืม ไม่มีนะ ก็สะอาดดีนี่” จองคยูตอบ
“โค้ชอีเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ใช่ไหม” มูคยอมถามขณะที่รินเหล้าลงในแก้วเปล่าอีกครั้ง
“ดูหน้าเขาสิพวก มันดูไม่เป็นที่นิยมไหมล่ะ ตอนที่ยังเป็นนักเตะนะ แฟนคลับสาวๆ ยังตามมาด้วยเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เยอะเท่านายก็ตาม”
ฮาจุนไม่ปฏิเสธคำพูดของจองคยูเหมือนกับว่ามันไม่ใช่คำพูดที่ไร้สาระ มูคยอมมองหน้าฮาจุนอย่างละเอียดถี่ถ้วนขณะที่คิดว่ามันอาจจะเป็นแค่คำพูดที่แสร้งทำเป็นห่วงเป็นใยของจองคยูแทนเจ้าตัวหรือเปล่านะ แต่โดยรวมแล้ว ฮาจุนให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างเรียบร้อยและน่ารักเมื่อเทียบกับมูคยอมที่ใครมองดูก็พอเดาออกได้ว่าเป็นคนที่ทำงานใช้ร่างกายกลางแจ้ง
แต่ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็ไม่ใช่สไตล์ที่ดูดีอย่างพิมพ์นิยม ทั้งใบหน้าที่โดดเด่น ทั้งส่วนสูงที่ค่อนข้างสูง ทั้งสรีระที่ดูดีตามภูมิหลังที่เป็นนักกีฬา
คิดๆ ดูแล้ว มันน่าเสียดายที่ฮาจุนจะสวมแค่ชุดกันเหงื่อแล้วไปกลิ้งเล่นที่สนามหญ้า เพราะแม้ว่าอีกฝ่ายจะใส่ชุดสูทไปทำงานที่ไหนก็ดูเข้ากันอยู่ดี
มูคยอมพยักหน้าสนับสนุนคำพูดของคนอื่นอย่างไม่ใส่ใจอะไร
“ถ้างั้นระดับโค้ชอีก็คือหน้าตาดีใช่ไหม”
“ก็ตามที่บอกนั่นแหละ แต่ว่านะ พูดๆ ดูแล้วนายดูสนใจเรื่องนี้นะเนี่ย ตอนนี้ที่นั่งอยู่ระหว่างพวกนายทั้งคู่มีแค่ฉันคนเดียวที่หน้าตาดูแย่ไม่ใช่เหรอไง”
“เพิ่งจะรู้เหรอ ”
ขณะที่โต้ตอบมุกตลกของจองคยูด้วยการหยอก มูคยอมก็ถามฮาจุนหนึ่งคำถาม
“นายเล่นในตำแหน่งอะไร”
“แนวรับ ฟูลแบ็ก” ฮาจุนตอบสั้นๆ
อย่างไรก็ตามในฐานะที่รู้จักกัน อีกฝ่ายก็คงไม่มานั่งเสียใจที่เขาถามตำแหน่งของตนเองเพียงเพราะว่าเขาจำไม่ได้หรอก
ที่ฮาจุนบอกว่าอยู่ตำแหน่งฟูลแบ็ก ถึงแม้จะเป็นตำแหน่งที่สำคัญ แต่เมื่อเทียบกับความยากลำบากแล้วก็เป็นตำแหน่งที่เหนื่อยยากที่จะได้รับการยอมรับ ต่อให้อยู่ในยุโรปก็ตาม ถ้าหากมูคยอมเปลี่ยนไปเล่นตำแหน่งฟูลแบ็กในเคลีก เขาคิดว่าตนเองคงจะลำบากไม่น้อยเลย
ในตอนนั้นเองแก้วเหล้าก็พลิกคว่ำลงและของเหลวใสๆ ก็ได้ไหลเต็มโต๊ะ ฮาจุนเหลือบมองที่มือของตนเองแล้วเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย มือคงจะลื่นระหว่างที่ยกแก้วเหล้าขึ้นมา เพราะมือที่เปียกนั้นดูแวววาวเมื่อกระทบแสงไฟ เหล้าที่ไหลเต็มโต๊ะค่อยๆ หยดลงที่พื้นติ๋งๆ
ใบหน้าของฮาจุนแดงขึ้นเล็กน้อยจากอาการมึนเมา เขาหัวเราะราวกับเขินอายขณะที่ดึงกระดาษชำระหลายแผ่นเช็ดมือและโต๊ะ
“โทษที ฉันทำพลาดไปสินะ”
มูคยอมได้แต่มองท่าทางของฮาจุนที่ทำราวกับว่าเขินอายที่ตนเองนั้นทำแก้วเหล้าคว่ำอย่างเงียบๆ ฮาจุนเช็ดโต๊ะและมือของตนเองกล่าวพลางวางแก้วที่ว่างเปล่านั้นให้ตรง
“เหมือนว่าฉันจะเมาแล้วนิดหน่อย คงต้องเลิกดื่มแล้วแหละ”
ฮาจุนค้ำไหล่ของจองคยูแล้วลุกจากที่นั่ง
“นายจะไปไหน” จองคยูถาม
“ไปรับลมน่ะ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้น พวกนายทั้งคู่อยู่ดื่มต่อเลย”
ฮาจุนเดินผ่านช่องว่างระหว่างโต๊ะแล้วเปิดประตูร้านออกไป มูคยอมที่ไล่สายตามองตามฮาจุนหัวเราะขึ้นมา บรรยากาศดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แล้วก็ถูกตัดฉับ
‘ทำไงดีล่ะ’
ไม่รู้ว่าทำไมมูคยอมถึงอยากคุยเล่นกับฮาจุนที่อยู่ข้างหน้าตนเอง เหมือนว่ามูคยอมจะยังไม่หายข้องใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงแค่ไม่กี่นาทีแล้วก็หลบหน้าเขาอีก
แต่ใครจะสนล่ะ นี่มันเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์นี่ ต้องเอาเหล้าไปให้ผู้จัดการทีมหน่อยแล้ว
มูคยอมคิดพร้อมกับลุกจากที่นั่งแล้วกวาดตามองที่โต๊ะนู้นทีโต๊ะนี้ที ผู้จัดการทีมควรจะนั่งอยู่กับสต๊าฟโค้ชสิ แต่มูคยอมดันไม่ยักเห็นจุนซองเลย มูคยอมเดินเตร็ดเตร่ไปโต๊ะนู้นโต๊ะนี้แล้วถามกับคนอื่นๆ
“ผู้จัดการทีมล่ะ”
“อืม เมื่อกี้เห็นอยู่ตรงนั้นนะ”
“เขาไปห้องน้ำหรือเปล่านะ”
บรรดานักเตะที่ดื่มเหล้าไปมากแล้วกำลังวุ่นวายอยู่กับการสนทนาจึงตอบคำถามของมูคยอมอย่างไม่ใส่ใจ มูคยอมมองไปรอบๆ เพื่อหาจุนซอง แต่แม้จะมองหาทุกที่แล้ว มูคยอมก็ไม่เห็นจุนซองเลย คงจะไปห้องน้ำตามที่คนเขาบอก มูคยอมตัดสินใจที่จะรอและหมุนตัวเพื่อกลับไปยังที่นั่งของตนเอง
“ว่าไงนะ”
ในเวลานั้นเองแม้จะอยู่ในร้านอาหารที่มีเสียงโหวกเหวก แต่จองคยูก็ลุกขึ้นยืนตะโกนออกไปดังๆ พอให้ได้ยินอย่างชัดเจน จองคยูลุกขึ้นอย่างพรวดพราด จึงทำให้เก้าอี้ล้มหงายตึง แต่จองคยูก็ไม่ได้สนใจอะไรและดันช่องว่างระหว่างโต๊ะแล้วเดินออกไป
“ที่ไหนนะ ด้านหลังตึกงั้นเหรอ” จองคยูกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
สีหน้าของจองคยูเคร่งเครียดมาก มูคอยมรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี จึงวิ่งออกจากร้านอาหารตามหลังจองคยูที่วิ่งออกไปก่อน จองคยูยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ แต่นักเตะบางคนก็ตามจองคยูราวกับคิดว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น จองคยูที่รีบร้อนอยู่วิ่งไปไม่ได้เท่าไหร่ก็หยุดฝีเท้าลง
“ฮาจุน!”
มูคยอมหันไปยังทิศทางที่จองคยูกำลังมุ่งหน้าไป ฮาจุนนั่งชันเข่าอยู่บนพื้นด้านหลังตึกของร้านอาหารลึกเข้าไปบริเวณที่เก็บขยะ
เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงทำแบบนั้นกัน
ในสายตาของมูคยอมนั้นเห็นเพียงใบหน้าซีดเผือดที่ดูเหมือนจะตกใจอย่างมากในตอนแรก หลังจากนั้นชายคนหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้นก็ปรากฏเข้ามา แต่ในครั้งนี้แม้แต่มูคยอมเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
“คุณลุง!”
มูคยอมตะโกนและรีบลงไปที่พื้นแล้วโน้มตัวลงไป ทว่าแขนของใครบางคนกลับหยุดเขาไว้อย่างรวดเร็ว เป็นฮาจุนนั่นเอง มูคยอมมองไปที่ฮาจุนด้วยสายตาถามว่าทำอะไรของนาย ฮาจุนจึงรีบตอบออกมา
“ใจเย็นก่อน นายจะทำตามอำเภอใจไม่ได้นะ ฉันโทรแจ้งเหตุฉุกเฉินและกำลังทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอยู่ พวกนายไปทำให้รถพยาบาลมาเร็วๆ หน่อยสิ”
“ทำให้รถพยาบาลมาเร็วๆ งั้นเหรอ แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ”
“ออกไปที่ถนนใหญ่! รถอาจจะหลงทางในซอยได้ถ้าเห็นแล้วก็รีบๆ พาเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาเร็วๆ”
มูคยอมพยักหน้ารับคำสั่งของฮาจุน เป็นไปตามที่คิดไว้เลย หลังจากนั้นไม่กี่นาทีรถพยาบาลที่ส่งเสียงไซเรนออกมาก็มาถึงและตรงเข้าไปในซอยแคบๆ นี้
“ตรงนี้ครับ ตรงนี้!”
มูคยอมตามไปเคาะประตูรถที่ขับอย่างช้าๆ รถพยาบาลจึงหยุด เจ้าหน้าที่แบกเปลหามรีบลงมาขนย้ายจุนซองที่ล้มลงกับพื้นเข้าไปในรถราวกับของหนัก จุนซองตาปิดสนิทสภาพเหมือนกับคนที่ตายแล้ว เหงื่อกาฬไหลรินลงมาที่หลังของมูคยอม
“ใครจะไปที่โรงพยาบาลด้วยเหรอครับ” เจ้าหน้าที่ที่ขนย้ายผู้ป่วยเสร็จแล้วจึงหันไปถามทางเหล่านักเตะ
“ผมครับ ผมเป็นคนเจอครับ”
ฮาจุนยกมือขึ้นแล้วก้าวออกไป ในตอนนั้นมือที่ยกขึ้นมานั้นถูกคว้าเอาไว้ ฮาจุนหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่จับมือของตนเอง
“ไปด้วยกันสิ”
ฮาจุนมองเหม่อสบตากับมูคยอมที่ยืนมองมาจากด้านหลังแล้วจึงพยักหน้ารับด้วยความเร่งรีบ มูคยอมขึ้นรถแล้วหันไปพูดกับจองคยู
“จองคยู นายอยู่ที่นี่นะ นายต้องคอยอธิบายให้คนอื่นฟัง”
“อะ อือ เข้าใจแล้ว”
ประตูรถพยาบาลถูกปิดลง มูคยอมกัดริมฝีปากและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทรออก ก่อนอื่นเลยต้องแจ้งให้ครอบครัวของจุนซองรู้
ตู๊ดๆ ระหว่างที่เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น สายตาของมูคยอมก็หันไปทางฮาจุนที่นั่งอยู่ตรงข้าม คงเพราะตกใจมากสีหน้าของฮาจุนจึงดูซีดเซียวราวกับสติหลุดลอยออกไปแล้ว
มูคยอมคิดว่าเขาต้องพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาได้ยินเสียงผู้หญิงพูดว่าสวัสดีค่ะออกมาจากโทรศัพท์ มูคยอมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงแจ้งข่าวการหมดสติของจุนซอง
ภรรยาและลูกชายของจุนซองมาที่โรงพยาบาลทันที มูคยอมไม่ได้เจอภรรยาของจุนซองมานานหลายปี เห็นได้ชัดจากอายุที่มากขึ้นของเธอ ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันคือตอนที่เขามาเกาหลีในช่วงฟุตบอลโลกครั้งที่แล้ว อีกฝ่ายบอกว่าตนเองไม่สามารถมาที่อังกฤษได้เพราะว่ากลัวการขึ้นเครื่องบิน
ถ้าจุนซองเป็นพ่อของมูคยอม ภรรยาของจุนซองก็เหมือนเป็นแม่ของเขาเช่นกัน ในตอนที่จุนซองบอกกับเธอว่าเขาจะเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมนั้นเขาก็ได้พาเด็กชายวัยรุ่นผู้กำพร้าเข้าๆ ออกๆ บ้านอยู่ตลอดเวลา เด็กคนนั้นมีนิสัยที่ทั้งฉุนเฉียวและชอบลักเล็กขโมยน้อยอีกต่างหาก เธอคงจะเสียความรู้สึกและไม่ชอบใจในสภาพนั้น แต่เธอกลับไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลยสักครั้ง เธอทั้งป้อนข้าว สวมเสื้อผ้า และกล่อมมูคยอมให้นอนหลับ สำหรับมูคยอมแล้วเธอเป็นดั่งผู้มีพระคุณของเขาเช่นเดียวกับจุนซอง
ทั้งๆ ที่มูคยอมเคยเจอลูกชายของจุนซองที่ชอบเล่นฟุตบอลและคอยตามมูคยอมเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็กหลายครั้งที่ลอนดอน แต่ในช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันนั้นอีกฝ่ายก็โตขึ้นมาก เพราะว่ามูคยอมไม่มีพ่อแม่พี่น้อง ดังนั้นสำหรับตัวเขาแล้วครอบครัวของจุนซองก็คือครอบครัวของเขา
ทันทีที่ภรรยาของจุนซองเห็นมูคยอม เธอก็เรียกเขาแล้วแทบจะวิ่งเข้ามาหา
“มูคยอม!”
“คุณป้า ครับ”
“มันเกิดอะไรขึ้น ว่ายังไง เกิดอะไรขึ้น”
เธอจับแขนของมูคยอมและถามอย่างร้อนรนด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา
เส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน คือชื่อโรคของจุนซอง โชคดีที่จุนซองได้รับการปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็วและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งมองในแง่ดีคือมันก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร แต่ยังต้องเฝ้าดูอาการหลังการผ่าตัด
“คุณป้ายินยอมให้เข้ารับการผ่าตัดก่อนนะ ผมทำไม่ได้เพราะว่าผมเป็นคนนอก”
เพราะคำพูดของมูคยอม เธอจึงลืมตาที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาพร้อมกับการแสดงสีหน้าที่ถามว่าพูดอะไรของนายกัน จากนั้นเธอค่อยๆ พยุงตัวขึ้นและพยักหน้าราวกับมีสติแล้ว ลูกชายของจุนซองเอ่ยขึ้นมาพร้อมจับมือแม่เพื่อไปทำตามขั้นตอนต่างๆ
“ขอบคุณนะพี่”
มูคยอมปัดมือด้วยสีหน้าที่บอกกับอีกฝ่ายว่าไม่เป็นไร
ความรู้สึกราวกับว่าพายุได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ในห้องผ่าตัดตอนนี้ก็คงจะวุ่นวายสุดๆ พายุยังคงอยู่ ตอนนี้ก็เป็นแค่ความโล่งใจในความสงบชั่วครู่เพียงเท่านั้น
ทันใดนั้นขวดน้ำก็ถูกยื่นมาตรงหน้ามูคยอมที่นั่งถอนหายใจอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด ทันทีที่เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่าฮาจุนนั่นเองที่ยืนอยู่
“ดื่มน้ำสิ ในเวลาแบบนี้คนที่รอก็ต้องเติมความชุ่มชื้นด้วยนะ”
พอได้ฟังแล้วก็รู้สึกคอแห้ง เขาจึงเปิดฝาขวดน้ำที่ได้รับมาแล้วดื่มรวดเดียวไปประมาณครึ่งขวด มูคยอมใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากแล้วยื่นอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือให้
“แล้วนายละ”
“ฉันดื่มแล้ว”
หลังจากผ่านขั้นตอนการผ่าตัดฉุกเฉินแล้วมูคยอมก็ลืมคิดไปเลยว่าฮาจุนที่หายตัวไปตอนนั้นอีกฝ่ายได้หายไปไหน สีหน้าของอีกฝ่ายที่ซีดเผือดนั้นยังไม่ดีขึ้นเลย
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
มาตอนนี้ถึงได้มีโอกาสถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฮาจุนส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อได้ยินคำถามของมูคยอม
“ฉันไปเจอเขาตอนที่ล้มไปแล้วเลยไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน บางทีอาจจะออกไปสูบบุหรี่แล้วก็ล้มน่ะ เห็นว่าตรงแถวๆ นั้นน่าจะเป็นที่สูบบุหรี่”
มูคยอมพยักหน้า เขาก็บอกให้ตานั่นเลิกบุหรี่มาตั้งนมนานแล้วนะ จุนซองนี่พูดไม่ฟังเอาเสียเลย
“มันอยู่หลังร้านอาหารเลยนี่ นายไปถึงที่นั่นได้ไง”
“ฉันก็ว่าจะมาสูบสักมวนเหมือนกัน”
มูคยอมประหลาดใจกับคำตอบที่ได้กลับมาอย่างตรงไปตรงมา อันที่จริงเมื่อมูคยอมได้ยินคำว่าพื้นที่สูบบุหรี่ตรงที่อยู่ไกลๆ แล้วก็คำว่าบุหรี่แล้วเขาไม่สามารถหาความเชื่อมโยงได้เลย
เมื่อไม่มีอะไรจะพูดอีกเขาจึงดูเวลาและพบว่าเลยห้าทุ่มไปแล้ว อยู่ๆ ก็คิดว่าฮาจุนไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว มูคยอมกับจุนซอง และครอบครัวของเขาก็ราวกับเป็นครอบครัวแท้ๆ แต่กับฮาจุนไม่ใช่
“นายเองก็คงจะตกใจมากสินะ”
“ก็ไม่นะ คงจะมีแค่นายแหละ”
“ยังไงก็ขอบใจนะ เพราะว่าถ้านายไม่อยู่ตรงนั้น ผู้จัดการทีมคงเกือบจะจากไปแล้วละ”
“อย่าพูดอะไรที่มันน่ากลัวสิ”
ขณะนั้นเองที่ภรรยาของจุนซองก็กลับมายังที่นั่งอีกครั้ง เธอไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป อีกทั้งท่าทีรวมถึงจิตใจที่เคยตกใจเมื่อครู่ก็ดูผ่อนคลายลงแล้ว เธอเห็นฮาจุนจึงถามมูคยอมว่า
“ใครเหรอจ้ะ”
ฮาจุนรีบโค้งตัวและกล่าวทักทาย
“ผมชื่ออีฮาจุนครับ ผมเป็นโค้ชทีมเดียวกับผู้จัดการทีมพัคครับ”
“อ๋อ ผมได้ยินว่าคุณจะมาเป็นโค้ช มันเป็นเรื่องจริงสินะครับ”
ลูกชายของจุนซองจำฮาจุนได้ เขาค่อนข้างชอบฟุตบอลมากจึงจำฮาจุนในสมัยที่ยังลงสนามได้ ซึ่งต่างจากแม่ของเขาที่แม้จะเป็นถึงภรรยาของผู้จัดการทีมฟุตบอล แต่ก็แทบจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลเลย มูคยอมจึงเสริมขึ้นมา
“โค้ชอีเป็นคนพบผู้จัดการทีมที่ล้มอยู่เลยทำให้เขามาถึงโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว”
“ตายจริง อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ”
“ไม่หรอกครับคุณนาย”
ฮาจุนก้มหน้าด้วยความลำบากใจไม่รู้จะทำยังไงกับการโค้งขอบคุณอย่างจริงใจนี้ มูคยอมดูเวลาอีกครั้ง ทั้งสองทักทายกันเสร็จแล้ว เรื่องที่ต้องทำก็ทำไปหมดแล้ว ภรรยาและลูกชายของจุนซองลงไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ มูคยอมจึงถามฮาจุนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“นายไม่ต้องกลับบ้านเหรอ นี่มันเลยห้าทุ่มไปแล้วนะ”
“แต่ว่า…”
อย่างไรก็ตามราวกับว่าฮาจุนกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในห้องผ่าตัด จึงหันไปมองไปทางประตูที่มีหลอดไฟสว่างที่บ่งบอกว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนการผ่าตัด ทว่าสีหน้าของฮาจุนซีดเผือดเหมือนคนที่ต้องไปนอนพักผ่อนก่อน
“นายเองก็ตกใจเหมือนกัน เพราะงั้นกลับไปพักเถอะ ครอบครัวของผู้จัดการทีมก็มาแล้ว ตรงนี้มีกันอยู่ตั้งสามคน ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงหรอก” มูคยอมพูดอย่างเฉียบขาด
ฮาจุนกังวลใจกับคำพูดนั้นเพียงแค่ชั่วครู่แต่แล้วก็พยักหน้ารับหนึ่งครั้ง
“ก็ได้ ถ้าฉันอยู่ต่อคนในครอบครัวผู้จัดการทีมคงอึดอัดใจ”
‘ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเสียหน่อย’
ในขณะที่มูคยอมคิดอยู่ในใจฮาจุนก็เข้าไปหาครอบครัวของจุนซองและกล่าวลาอย่างสั้นๆ อีกครั้ง เมื่อฮาจุนเดินกลับไปที่ที่มูคยอมยืนอยู่เขาจึงพูดด้วยเสียงที่เบาลง
“เมื่อกี้บอกไปแล้วใช่ไหม คุณนายดูเหมือนจะร้องไห้หนักมากดังนั้นอย่าลืมให้ท่านดื่มน้ำนะ นายเองก็เหมือนกัน ถ้ารอทั้งคืนแบบนี้อาจจะขาดน้ำได้ ต่อให้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแต่ตอนเช้ามืดก็จะหนาว ฉันขอพวกผ้าห่มมาไว้ให้อย่าลืมห่มนะ แล้วผลัดกันไปพักด้วยละ”
ฮาจุนกำชับอย่างชัดเจนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล มูคยอมแทบจะทนไม่ไหวจนเกือบลืมบรรยากาศที่เคร่งเครียดนี้แล้วหลุดหัวเราะออกมา
………………………………………………………