Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 81
ฮาจุนคิดว่าถ้านั่งต่อไปก็คงจะแสดงให้เห็นแต่สภาพน่าอายจึงรีบออกไปจากร้านอาหาร เขารู้สึกว่าจะต้องตั้งสติสักหน่อย จึงเดินมายังซอยนี้เพื่อสูบบุหรี่สักมวนและทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวเย็นลงไปด้วย แต่แล้วภาพคนล้มหมดสติก็เข้ามาสู่สายตา ชั่วขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นความอับอายหรืออะไรก็ตาม ต่างปลิวว่อนหายไปจนหมด
เรื่องของมนุษย์เรามักจะมีความบังเอิญเล็กๆ น้อยๆ ซ้อนทับกันไปมา จึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ถ้าหากวันนั้นเขาไม่ได้ลุกออกจากที่มาเพราะมูคยอม เวลาจะล่าช้าออกไปอีกนานแค่ไหนกว่าจะมีคนเจอผู้จัดการทีมพัคกันนะ ความบังเอิญอันน้อยนิดเชื่อมโยงต่อกันจนช่วยชีวิตของผู้จัดการทีมพัคเอาไว้ได้
เขาพาผู้จัดการทีมพัคซึ่งหมดสติไปโรงพยาบาลด้วยกันกับมูคยอม เพราะอย่างนั้นจึงได้พูดคุยอย่างจริงจังกับอีกฝ่ายซึ่งเคยหลีกเลี่ยงมาตลอด
เมื่อผู้จัดการทีมต้องหยุดงานระยะยาว มูคยอมซึ่งมาเกาหลีโดยปล่อยให้เวลาหนึ่งฤดูกาลเสียเปล่าไปก็ห่อเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะอย่างนั้นเขาจึงรวบรวมความกล้าแล้วเป็นฝ่ายเริ่มคุยด้วยก่อน
ถ้าไม่มีเรื่องพวกนั้น ความสัมพันธ์กับมูคยอมก็คงจะไม่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่แรก และเขาก็คงไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลแบบนี้ด้วย
“ทำอะไรน่ะ”
จองคยูที่เดินนำหน้าถามฮาจุนซึ่งยืนเหม่ออยู่ ฮาจุนรีบตั้งสติแล้วก้าวเดินไป จองคยูสั่งเนื้อเกาหลีราคาแพงก่อนสองที่ตามคำคุยโตของตัวเอง จากนั้นก็รินเหล้าให้เขาก่อนอาหารจะมาเสิร์ฟเสียอีก
“โซจูได้ใช่ไหม”
“อือ ที่นี่เงียบดีจัง”
“ร้านอร่อยเลยนะ แต่สุดสัปดาห์กลับไม่ค่อยมีคนซะงั้น เหมาะกับการเลี้ยงฉลองหลังแข่งเสร็จสำหรับคนแบบพวกเราเลยใช่ไหมล่ะ”
ทั้งสองชนแก้วกันเบาๆ แล้วกระดกเหล้าเข้าปาก แก้วแรกหมดลงในรวดเดียว พวกเขาเรียนรู้มาแบบนั้นจากพวกรุ่นพี่ตั้งแต่ตอนดื่มเหล้าครั้งแรก
เมื่อเหล้าลงไปในท้องว่างๆ ของร่างกายที่อ่อนล้าหลังจบสิ้นการแข่งขัน ก็รู้สึกมึนขึ้นมาชั่วขณะ แล้วถ่านติดไฟสีแดงก็ถูกวางลงตรงกลางโต๊ะ เมื่อใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นก็รู้สึกเหมือนเหล้าจะออกฤทธิ์รวดเร็วกว่าเดิมอย่างไม่มีสาเหตุ ฮาจุนถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“นายจะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ น่าจะเหนื่อยนี่”
“ไม่รู้ว่าฉันดื่มเหล้าได้มากแค่ไหนหรือไง นายน่ะค่อยๆ ดื่มแล้วกัน ฉันจะไม่เร่งให้รีบดื่มหรอก”
ในระหว่างนั้น อาหารก็ออกมาเสิร์ฟ ถึงแม้ว่าจะค่อยๆ ดื่ม แต่ขวดโซจูก็พร่องไปเกินครึ่งขวดอย่างรวดเร็ว แล้วจองคยูก็สั่งเพิ่มอีกหนึ่งขวด
พวกเขาใช้เวลาไปกับการพูดคุยกันเบาๆ ทั้งเรื่องลูกสาว เรื่องน้องๆ และหลายเรื่องเกี่ยวกับทีม แต่จู่ๆ จองคยูก็ทำสีหน้าเคร่งเครียดราวกับตั้งใจจะพูดเรื่องสำคัญ ฮาจุนก็พลอยตึงเครียดตามไปด้วยแล้วมองหน้าจองคยูตรงๆ
“ฮาจุน”
“อือ”
‘ตั้งใจจะพูดเรื่องอะไรถึงได้เป็นแบบนั้นนะ ไม่ใช่ว่าครั้งก่อนได้ฟังเรื่องอะไรมาจากมูคยอมก็เลยมีท่าทีแบบนี้ใช่ไหม’
“ครั้งก่อนฉันก็เคยบอกแล้ว ว่าถึงฉันจะหาเงินไม่ได้มากเท่าไอ้เจ้าคิมมูคยอม แต่ถ้านายลำบากฉันก็สามารถช่วยได้บ้างเหมือนกัน นายต้องการเงินมากแค่ไหนถึงได้ทำแบบนั้น ลองบอกมาซิ”
ฮาจุนกะพริบตาปริบๆ ทั้งที่ยังถือแก้วเหล้าไว้ในมือ จองคยูพยักหน้าช้าๆ แล้วพูดต่อไปด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณยอนซูก็อนุญาตแล้ว นายก็ไม่ได้มีนิสัยที่จะพูดขอร้องใครง่ายๆ แต่ถ้าถึงขนาดขอยืมเงินจากคิมมูคยอมก็คงจะด่วนมากจริงๆ เห็นแบบนั้นแต่ไอ้เจ้านั่นมันเป็นคนขี้เหนียว ถึงหาเงินได้เยอะก็ไม่ได้เป็นคนที่ใช้เงินเป็นน้ำหรอกนะ เจ้ามูคยอมใช้เงินแค่กับคนที่คิดว่าเป็นคนของตัวเองเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ก็ไม่สนใจอะไร นายรู้ไหมว่าเจ้านั่นยังขี้สงสัยแล้วก็ขี้อวดมากแค่ไหน นายอาจคิดว่าคิมมูคยอมเงินเยอะก็เลยน่าจะให้ยืมง่ายๆ แต่อย่าไปรอพึ่งมันเลยเชียว นายจะได้แต่เสียความรู้สึกโดยไม่จำเป็นเท่านั้นล่ะ”
เมื่อสมมุติฐานฉากใหญ่ของจองคยูจบลง ฮาจุนก็ทำได้เพียงลืมตามองเหม่ออยู่อย่างนั้น แล้วในที่สุดเขาก็หัวเราะเสียงดังออกมา ถึงแม้จะเป็นการพูดเรื่องที่เดามั่วไปเอง แต่กลับพูดถูกจุดที่เป็นประเด็นอย่างแม่นยำจนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อฮาจุนยกแก้วโซจูขึ้นแล้วหัวเราะคิกคัก จองคยูก็นิ่วหน้า
“ทำไม นายขำเพราะฉันน่าจะให้นายยืมเงินมากเท่าคิมมูคยอมไม่ได้เหรอ”
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ร้อนเงิน ปัญหาที่เคยคุยกันครั้งก่อนน่ะฉันแก้ไขเรียบร้อยดีแล้ว เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงแล้วก็ได้”
“จริงเหรอ ถ้างั้นช่วงนี้ทำไมนายกับคิมมูคยอมเป็นอะไรกันอยู่สองคนล่ะ”
ฮาจุนอึกอักขึ้นมา ในสายตาคนอื่น พวกเขาออกอาการกันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แค่เรื่องอื่นเล็กน้อยน่ะ”
พอคิดว่าจะหลอกลวงคนที่อุตส่าห์นึกถึงตัวเอง ฮาจุนก็เอาแต่กระดกเหล้า เขาอัดเหล้าอีกหนึ่งแก้วเข้าร่างกายที่ร้อนวูบขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างไม่น่าเกลียดเกินไป
“ช่วงนี้นายมีเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“ก็นะ ฉันก็เหมือนเดิมตลอดนั่นแหละ จริงสิ นายลองติดต่อไปหาคุณอึนจูหรือยัง ไอ้เจ้านี่ ถ้าได้เบอร์ไปแล้วก็ต้องรายงานด้วยสิว่าเป็นยังไงบ้าง นัดกันหรือยังว่าจะเจอกันตอนไหน”
“อ่า อือ…”
หัวข้อที่ตอบลำบาก ถูกพูดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เธอดูเหมือนเป็นคนที่น่าเสียดายถ้าจะมาคบกับฉันน่ะ ก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่ไปเจอ”
“อะไรนะ นายพูดบ้าอะไรเนี่ย คนที่คบกับนายแล้วน่าเสียดายมีที่ไหนกัน นายคิดแบบนั้นเพราะเรื่องหาเงินเหรอ รายได้ต่อปีในตอนนี้ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ ถ้าทำไปเรื่อยๆ มันก็จะสูงขึ้น โค้ชกายภาพอนาคตดีด้วยนะ”
ฮาจุนหัวเราะเจื่อนๆ ก่อนหันไปมองหน้าจองคยูแล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“เปล่าหรอก ไม่ใช่เพราะเงิน แต่ถ้าไปเจอทั้งที่ไม่ได้ชอบ มันก็จะเป็นการหลอกลวงนาย แล้วก็คุณซงอึนจูเองด้วย ฉันไม่อยากเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมต่อคนอื่นหรอกนะ”
“ก็ต้องลองไปเจอก่อนถึงจะชอบไม่ใช่หรือไง ครั้งแรกยังไม่เข้าตาก็ใช่ว่าจะเป็นการหลอกกันสักหน่อย ยังไงก็เถอะ ข้อเสียของนายคือนายน่ะคิดเรื่องคนอื่นมากไป ถ้าเป็นแบบนี้ นายจะได้แค่มองดูรูปแล้วก็ขึ้นคานแน่”
ฮาจุนยังคงไม่ลบเลือนรอยยิ้มบนใบหน้าพร้อมกับนั่งเงียบ จากนั้นก็เอาแก้วเบียร์แก้วใหม่ซึ่งวางอยู่ด้านข้างมาวางลงตรงหน้า
“สั่งเบียร์ด้วยไหม”
ฮาจุนไม่ตอบคำถามจองคยูแล้วเปิดขวดโซจูที่ยังไม่ได้เปิด เมื่อของเหลวสีใสไหลพลั่กๆ ลงไปในแก้ว ดวงตาของจองคยูก็เบิกโพลง
“นายจะดื่มอันนั้นเหรอ”
ฮาจุนเทเหล้าใส่เกินครึ่งแก้วแล้วยกแก้วนั้นดื่มอึกๆ ทันทีแทนคำตอบ ทั้งที่ไม่มีใครสั่งเลยสักคนเดียว แต่ฮาจุนกลับทำท่าทีเหมือนที่เคยทำตอนถูกลงโทษในงานสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน หรือไม่ก็ตอนงานแนะนำตัวสมัยเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ จองคยูพลาดจังหวะห้ามปรามอีกฝ่าย ทำเพียงแค่มองดูเท่านั้น
ใบหน้าขาวขึ้นสีจัดในชั่วพริบตา ฮาจุนทำหน้าเหยเกพลางวางแก้วลง
“ฮ้า ไม่ได้ดื่มมานาน ขมสุดๆ ไปเลยนะ”
“จู่ๆ เป็นอะไรไป จะกินให้ตายไปเลยเหรอ”
ฮาจุนหันหน้าไปทางจองคยูด้วยใบหน้ายกยิ้มอย่างขมขื่นเพราะรสชาติของเหล้าที่คั่งค้างอยู่ในปากกับเรื่องที่จะพูดตั้งแต่นี้ไป ฮาจุนอาศัยฤทธิ์เหล้าที่ตีขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วพูดเรื่องหนักใจออกมาอย่างราบเรียบในระดับหนึ่ง
“จองคยู ฉันไม่สนใจผู้หญิงหรอกนะ”
คำพูดที่โพล่งออกมาอย่างเรียบง่ายหลังกระดกเหล้าหมดแก้วรวดเดียวอย่างเด็ดเดี่ยว ทำให้จองคยูบ่นงึมงำราวกับเบื่อหน่าย
“ทำอย่างกับเป็นเรื่องแปลกใหม่ ฉันก็รู้น่า ถึงได้ทำแบบนี้เพราะจะให้นายลองคบใครซะบ้างไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น… ฉันไม่ชอบผู้หญิง”
“ถ้างั้นนายชอบอะไร ถ้าไม่ชอบผู้หญิงแล้วชอบหมาหรือไง หรือว่าแมว? หรือว่านายชอบผู้ชาย”
“อืม”
ฮาจุนตอบสั้นๆ แล้วรินโซจูใส่แก้วเบียร์เปล่าๆ เพิ่มอีก สีหน้าของจองคยูซึ่งถามออกไปเล่นๆ แข็งทื่อขึ้น ฮาจุนคีบเนื้อราคาแพงที่สุกจนแข็งอยู่บนเตาย่าง ให้ออกไปอยู่ตรงขอบเตาบริเวณที่ไม่โดนไฟ พร้อมกับพูดต่อ
“ฉันตั้งใจว่าถ้าเป็นไปได้ก็จะไม่บอก… แต่ถ้าไม่รู้ นายก็จะทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ ใช่ไหมล่ะ บอกให้หาแฟน บอกให้ไปนัดบอด บอกให้แต่งงาน… ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ครั้งนี้พอได้เบอร์ติดต่อมา ฉันก็คิดว่าจะทำแบบนั้นไปทำไมเหมือนกัน ฉันรู้สึกผิดจนไปเจอไม่ได้หรอก ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยดีอยู่แล้ว”
“อ๋อ… อย่างนั้นเองเหรอ…”
“ขอโทษนะ ไม่ให้เวลานายได้เตรียมใจก่อนแล้วจู่ๆ ดันพูดเรื่องแบบนี้เลย”
เป็นเรื่องที่น่าตระหนกใจเสียจนคนที่พูดมากกับคนอื่นได้อย่างไม่ขัดเขินยังไม่สามารถตอบรับอะไรได้โดยง่าย แต่ฮาจุนก็บอกเล่าเรื่องนั้นออกมาอย่างซื่อตรง ทันทีที่พูดออกมา ถึงแม้ว่าจะนึกเสียใจทีหลัง แต่ก็มีด้านที่รู้สึกปลอดโปร่งอยู่บ้างเหมือนกัน
ฮาจุนรู้ว่าจองคยูหวังดีกับเขาจากใจจริงก็เลยทำแบบนั้น แต่จองคยูผู้สร้างครอบครัวขึ้นมาได้อย่างมีความสุขกลับชี้แนะเขาอยู่บ่อยครั้งในเรื่องการมีคนรักเหมือนคนทั่วไป การแต่งงาน และอนาคตที่มีครอบครัวสุขสันต์ ทั้งที่เขาไม่มีโอกาสที่จะทำแบบนั้นได้เลยแม้แต่น้อย การที่จองคยูทำแบบนั้นมันเกินกว่าที่เขาจะรับไหวขึ้นเรื่อยๆ และในช่วงเวลาแบบนี้ก็ยิ่งเกินกำลังเขามากขึ้นไปอีก
จองคยูที่นั่งเงียบราวกับว่ากำลังจัดการกับความคิดตัวเองอยู่ส่ายหัวแล้วรีบร้อนพูดออกมา
“ไม่เลย ไม่ นายจะมาขอโทษฉันทำไม คนเรารสนิยมไม่เหมือนกันสักหน่อย… เดี๋ยวนี้ก็ อะไรนะ เรียกว่ายุคแห่งความหลากหลายก็ได้ ชอบผู้ชายก็ไม่ผิด ถ้าเป็นคนดีล่ะก็เพศมันไม่เกี่ยวหรอก ถ้าชอบผู้ชายอย่างน้อยก็หาผู้ชายที่ดีแล้วทำให้นายมีความสุข…”
จองคยูเพียงแค่ชอบเข้าสังคมเท่านั้น ไม่ใช่คนปากเบาที่จะไปปากโป้งบอกเล่าความลับของคนอื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สา ฮาจุนมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดเรื่องที่ได้ฟังวันนี้ที่ไหนทั้งนั้น
“นายน่ะ ถ้าอย่างนั้น”
ตอนนั้นเอง จองคยูคงสับสนด้วยเหมือนกันจึงยกแก้วเหล้าขึ้นแนบปาก แต่แล้วก็พูดเสียงดังขึ้นอย่างฉับพลันราวกับตระหนักได้ถึงเรื่องบางอย่าง
“นี่ นาย หรือว่า”
“…”
“ไม่ใช่ใช่ไหม”
จองคยูถามขึ้นโดยตัดคำตรงกลางออกไป ราวกับไม่กล้าแม้แต่จะพูดชื่อนั้นออกมา
ฮาจุนไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงเรื่องนั้น แต่จองคยูสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมกระแสความเย็นชาถึงได้วนเวียนอยู่ระหว่างมูคยอมกับฮาจุน เพราะอย่างนั้น ความคิดของจองคยูจึงดูเหมือนว่าจะไหลไปถึงจุดนั้นได้โดยอัตโนมัติ
“ใช่แล้ว”
มาถึงขั้นนี้แล้ว จะปฏิเสธแค่เรื่องนั้นก็น่าขำ ฮาจุนที่มึนเหล้ามากขึ้น ตอบออกมาแผ่วเบาทั้งที่ใบหน้ายังยกยิ้มเช่นเคย
“ฉันเหมือนกับคนโง่เลย… ที่ชอบคิมมูคยอม”
“ให้ตายสิ บนโลกนี้มีผู้ชายอยู่ตั้งกี่คน จะชอบทั้งที ทำไมถึงต้องเป็นไอ้เจ้าคิมมูคยอมด้วยหา? ไอ้เจ้านั่น นอกจากหน้าตากับหุ่นแล้วก็ไม่มีอะไรดีหรอก”
น้ำเสียงของจองคยูฟังดูเวทนาราวกับว่าถ้านั่งอยู่ข้างกันก็คงจะตบหลังสักป้าบ
‘ใช่ไหมล่ะ ขนาดนายยังคิดว่าฉันกำลังทำตัวเหมือนคนโง่มากๆ เลยใช่ไหม’ ฮาจุนถามแบบนั้นขึ้นมาแค่ในใจแล้วยกยิ้มอย่างขมขื่นเท่านั้น
ไม่ใช่แค่การสารภาพรักกับเจ้าตัว แต่นี่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดเผยให้ใครบางคนรู้เลยสักครั้ง ฮาจุนรวบรวมความกล้าเล่าออกไปก็จริง แต่มันก็เป็นเพียงความรักข้างเดียวยาวนานสิบปีซึ่งตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษทิชชู่
ในตอนนี้ ฮาจุนถามกับตัวเองว่า ความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกลึกซึ้งและจริงจังใช่ไหม ไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการที่สร้างขึ้นมาหรือเป็นการเล่นกับจิตใจอันภักดีของตัวเองเพียงคนเดียวใช่หรือเปล่า
“ฉันก็ไม่อยากเป็นแบบนั้น แต่หัวใจของคนเรามันไม่ดำเนินไปตามที่ตั้งใจนี่”
“นายไม่เคยได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับคิมมูคยอมถึงขนาดนั้นเลยไม่ใช่เหรอ ไอ้เจ้ามูคยอมก็ แบบว่า พอเห็นนายตอนมาที่นี่ครั้งแรก”
‘ก็จำนายไม่ได้ด้วยซ้ำ’ จองคยูไม่อาจพูดประโยคนั้นให้จบ ได้แต่ปล่อยให้มันเงียบหายไป ริมฝีปากของฮาจุนยกยิ้มกว้างกว่าเดิม
เขาช่วยฟังเรื่องของคนอื่นบ่อยครั้ง แต่แทบไม่เคยบ่นเรื่องของตัวเองให้ใครฟังเลย เมื่อฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปอย่างรีบร้อนค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ปากของฮาจุนก็ทำท่าจะอ้าออกอยู่เรื่อย ราวกับคนอยากได้รับการชดเชยที่ไม่เคยสร้างภาระให้ใครเลย
“ตอนถูกเรียกตัวให้เข้าทีมเยาวชนตอนแรกคือตอนมัธยมสามน่ะ”
“อ้อ ใช่แล้ว ตอนนั้นฉันไม่ได้รับคัดเลือก ชมรมฟุตบอลทั้งชมรม มีแค่มูคยอมถูกเรียกไปคนเดียว เจ้านั่นมันเลยวางท่าสุดๆ ฉันนึกถึงตอนนั้นแล้วยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เลย”
“ยังไงถ้าได้ไปตอนมอต้นก็เป็นตัวสำรองกันหมดนั่นแหละ ถึงตอนนั้นคิมมูคยอมก็เป็นตัวหลักที่จะได้ลงเล่นก่อนก็เถอะ”
ถึงแม้ว่าจะพูดคุยกับฮาจุนอยู่ แต่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่จองคยูส่งสายตางุ่นง่านใจเล็กน้อยไปทางโทรศัพท์มือถือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
“จริงๆ ตอนนั้นฉันไม่ได้เล่นบอลอย่างจริงจังขนาดนั้น ไม่สิ ก็จริงจังนั่นแหละ แต่ต้องบอกว่าไม่สนุกมากกว่าไหมนะ ฉันเริ่มเล่นเพราะเห็นว่าถ้าเล่นบอลก็จะได้รับเงินสนับสนุนน่ะ พอได้ลองเล่นจริงๆ ก็มีพรสวรรค์เกินคาด ฉันเลยคิดว่าลองดูกันสักตั้ง เพราะถ้าได้เป็นมืออาชีพก็น่าจะดีกว่าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วทำงานในบริษัท ตอนนั้นดูเหมือนจะเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ด้วย”
“ฉันรู้ นายลำบากมามากเลยนะ”
“ก็เป็นแบบนั้นมาเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ พอเขาบอกให้ฉันไปลงแข่งเป็นตัวแทนประเทศ แทนที่จะดีใจ ฉันกลับรู้สึกกลัวซะอย่างนั้น ฉันแค่เล่นฟุตบอลเฉยๆ เพราะคิดว่าถ้าทำแบบนี้ก็จะทำมาหากินได้… แต่จู่ๆ ก็บอกให้ไปเป็นตัวแทนประเทศเฉยเลย”
ในตอนนั้น จองคยูก็ส่งสายตาไปมองด้านหลังของฮาจุน ประตูกระจกหนักอึ้งของร้านอาหารถูกเปิดออกแล้วชายหนุ่มตัวใหญ่ก็เดินเข้ามา
ผู้คนจำนวนไม่มากนักในร้านอาหารต่างเบิกตากว้างแล้วจ้องมองไปทางนั้น แต่ฮาจุนซึ่งเมาเหล้าแล้วกำลังเล่าเรื่องราวต่างๆ ไม่หยุดปาก กลับไม่รับรู้ถึงบรรยากาศนั้นเลยสักนิดเดียว
จองคยูจ้องมองชายหนุ่มที่เข้ามาในร้านด้วยสีหน้าพะวักพะวน ส่วนฝ่ายนั้นก็เดินเข้ามาทางโต๊ะที่ทั้งสองคนนั่งอยู่อย่างไร้ซึ่งความลังเล จองคยูยกมือขึ้นมาโบกอย่างว่องไวแวบหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกว่าอย่าเข้ามาใกล้ แต่มูคยอมกลับไม่หยุดเดิน
“มันเป็นช่วงที่แม่สภาพร่างกายเริ่มแย่ลงจากการกินยาโรคซึมเศร้า แถมยังกินเหล้าอย่างหนักอีก เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยบอกที่บ้านไม่ได้ว่าถูกเรียกตัว เป็นช่วงที่น้องๆ ก็กำลังชุลมุนวุ่นวายด้วยเหมือนกัน ทั้งแม่ทั้งฉันก็เลยมัวแต่ดูพวกน้องจนยุ่งหัวหมุน… พอไปรับการฝึกซ้อม ฉันก็ได้แต่กลัวเพราะเป็นุร่นพี่ฉันแทบทุกคนเลย โค้ชที่โรงเรียนก็บอกว่าคาดหวังแล้วกดดันกันอยู่เรื่อย”
“อ๋อ อือ ก็น่าจะเป็นแบบนั้นละ”
“พอถึงวันแข่ง ฉันตื่นเต้นมากแล้วคิดว่าทำอีท่าไหน ตัวเองถึงมาถึงตรงนี้ได้ ยังไงก็เป็นแค่ตัวสำรอง แต่ก็เครียดจนหลบไปซ่อนข้างหลังตึกแล้วตั้งใจว่าจะผูกเชือกรองเท้าสตั๊ดใหม่อีกที แต่มือก็สั่นจนเรื่องแค่นั้นก็ยังทำไม่ได้เลย”
มูคยอมเดินไปยืนอยู่ข้างหลังฮาจุน จองคยูตัวแข็งทื่อมองเขา แต่มูคยอมกลับขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วก้มลงมองจองคยูพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปาก
‘อย่าเอะอะโวยวายแล้วหุบปากไปซะ’
ถึงไม่พูดออกมาจากปากแต่ก็รู้สึกราวกับเสียงพูดของมูคยอมลอยเข้ามาในหู จองคยูกลืนน้ำลายลงคอแห้งผากแล้วส่งสายตามองมูคยอมกับฮาจุนสลับกัน
“ตอนนั้นคิมมูคยอมก็โผล่มา”
“อะไร?! …อะ นายว่ามะ มูคยอมมางั้นเหรอ”
“ใช่ มาอยู่ข้างฉันแล้วจู่ๆ ก็สูบบุหรี่ บนโลกนี้มีคนที่สูบบุหรี่ก่อนแข่งที่ไหนกัน ฉันตกใจมากก็เลยพูดกับเขาไปสองสามคำ”
รอยยิ้มขมขื่นพาดทับบนริมฝีปากของฮาจุน
“ไม่ได้พูดยืดยาวสักเท่าไรหรอก… แต่เจ้าคนอวดดีคนนั้นก็ทิ้งบุหรี่ไปแล้วจู่ๆ ก็คุกเข่านั่งลงตรงหน้าฉันเฉยเลย เสร็จแล้วก็ช่วยผูกเชือกรองเท้าให้ใหม่ แถมยังบอกว่าสนามหญ้าก็เหมือนกันทุกที่ จะสั่นอะไรขนาดนั้น พร้อมตบบ่าฉันครั้งหนึ่งด้วย พูดแค่นั้นแล้วก็ไป”
ใบหน้าของฮาจุนอมยิ้มจางๆ และก้มลงเล็กน้อย ดวงตาบนใบหน้านั้นสงบลุ่มลึก น้ำเสียงของเขาเย้ยหยันตัวเองเกินกว่าจะบอกว่าเป็นการหวนนึกถึงความทรงจำของรักแรก ฮาจุนถามความเห็นด้วยน้ำเสียงนั้น
“พูดให้ฟังแล้วนายคงคิดว่ามันมีอะไรพิเศษใช่ไหมล่ะ แต่ฉันในตอนนั้นรู้สึกดีกับเรื่องนั้นมากเลยนะ”
“…”
“รู้สึกดีกับเรื่องนั้นมากๆ…”
ใบหน้าแดงจัดบิดเบี้ยวขึ้นอย่างช้าๆ จากที่เคยเหม่อลอยราวกับจมอยู่ในห้วงความคิดเรื่องสมัยก่อน ฮาจุนเงยหน้าขึ้นมาพูดราวกับไม่พอใจ
“หมอนั่นเป็นแบบนั้นละ ดูเหมือนจะหยาบคายแต่ก็เอาใจใส่คนอื่นอย่างคาดไม่ถึง เพราะอย่างนั้นก็เลยทำให้คนอื่นเขาคิดไปเอง”
“งั้นเหรอ นายไม่เคยเล่าเรื่องนั้นให้ฉันฟังสักครั้ง ฉันก็เลยไม่รู้…”
จองคยูพูดแบบนั้นแล้วมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังฮาจุนด้วยแววตาสื่อได้ว่า ‘ไอ้หมอนี่เนี่ยนะ’ มูคยอมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับส่งสายตาคมกริบเป็นการบอกว่าให้ฟังอยู่เงียบๆ
“ยาสำหรับเด็กก็ตั้งใจเคลือบน้ำตาลไม่ใช่เหรอ ไม่ให้รู้สึกถึงรสขม คิมมูคยอมเป็นแบบนั้นเลย ถ้าแค่ทำตัวนิสัยไม่ดี ฉันก็คงไม่แม้แต่จะฝัน แต่เขาทำดีด้วยอยู่เรื่อย ฉันเลยคาดหวังขึ้นมาบ่อยๆ ว่าเขาเองก็มีความสนใจในตัวฉันด้วยหรือเปล่า… ฉันควรต้องจัดการตัวเองไม่ให้มีเรื่องที่ต้องเสียความรู้สึกแบบนี้แท้ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ขนาดตอนเด็กๆ ฉันยังอมยาเอาไว้จนรสหวานที่เคลือบมันหายไปหมด แล้วพอตอนหลังมันขม ฉันก็ร้องไห้ โง่ใช่ไหมล่ะ”
“นายจะโง่ได้ไงกัน ฉันไม่รู้เหตุการณ์ดีอะไรหรอกนะ แต่ถึงไม่ได้ยิน ไม่ได้มองเห็น ก็ชัดเจนอยู่แล้ว มูคยอม ไอ้หมอนั่นมันคงจะทำผิดตั้งแต่หนึ่งถึงพันเลยล่ะสิ”
ฮาจุนหัวเราะสั้นๆ ราวกับถูกใจในคำตอบ จากนั้นก็เหม่อมองไปที่ไหนสักแห่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก โดยไม่ได้มองมาทางจองคยูซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม