Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 82
“นายก็รู้ใช่ไหม เขาลงแข่งในทีมเยาวชนซึ่งถูกเรียกตัวมาครั้งแรกแล้วถูกทาบทามทันที ปีต่อไปก็ไปอังกฤษเลยนี่ ฉันมองดูเหตุการณ์นั้นอยู่ข้างๆ เลยล่ะ”
“ใช่แล้ว นั่นน่ะสินะ”
“ถึงไม่ใช่อย่างนั้นก็ร้อนใจจะแย่ แต่พอได้เห็นกระทั่งเหตุการณ์นั้นอยู่ข้างๆ ฉันก็เหมือนจะตั้งสติไม่ได้ ตั้งแต่ตอนนั้น สายตาฉันก็มองไม่เห็นคนอื่นอีกเลย”
ถ้าซึมซับภาพของเขาจากที่นั่งผู้ชมอันห่างไกลเหมือนคนทั่วไป หรือผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ ไม่ก็ทางโปสเตอร์ เขาก็คงจะไม่หลงใหลอีกฝ่ายถึงขนาดนี้ใช่ไหม แต่รักแรกของฮาจุนลุกโชติช่วงราวกับดาวหางที่เพิ่งจะตกลงมาบนพื้นดิน ราวกับเทพบุตรที่ฟ้าส่งลงมา และเขาก็ยังคงมีภาพลักษณ์แบบนั้นอย่างต่อเนื่องมาจนกระทั่งก่อนหน้านี้ไม่นาน รวมถึงตอนนี้ด้วย
แก้วเหล้าขยับเข้าหาริมฝีปากของฮาจุนอีกครั้ง จองคยูไม่แม้แต่จะห้ามปราม เขาเพียงแค่มองฮาจุนทำแบบนั้นด้วยสีหน้าสงสาร
“คิมมูคยอมทำตามความต้องการของตัวเองโดยไม่มีความหมายอะไรแฝง แต่ฉันดันหลงชอบไปตามอำเภอใจ ถึงแม้ว่าคนที่เคยนั่งอยู่ตรงนั้นจะไม่ใช่ฉัน เขาก็น่าจะทำแบบเดียวกัน และคนคนนั้นก็น่าจะชอบคิมมูคยอมด้วยเหมือนกันนั่นแหละ”
“เรื่องนั้นน่ะ ความรักบังตานายแล้ว เห็นเป็นคนยอดเยี่ยมมากมายอะไรถึงได้ยึดติดนานขนาดนั้น”
“ไม่รู้สิ ฉันใช้ชีวิตโดยมีหมอนั่นเป็นเหมือนกับเป้าหมายมานานมากเกินไปงั้นเหรอ พอตั้งใจจะตัดใจขึ้นมากะทันหันก็ทำไม่ได้เลยแฮะ”
ฮาจุนขยับมืออย่างหนักหน่วงขึ้น มือขาววางแก้วลงจนเสียงดังปึ้ก จองคยูมองตามมือข้างนั้นด้วยแววตากังวล
“ตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่นิดหน่อย เพราะคราวหน้าก็อยากได้รับเลือกเป็นตัวหลัก เป็นนักกีฬาที่ได้ลงแข่ง แล้วลองวิ่งไปด้วยกันกับคิมมูคยอม ก็เลยพลอยรู้สึกสนุกกับฟุตบอลไปด้วย ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นเหมือนคิมมูคยอมไม่ได้ แต่ก็ลองลงแข่งด้วยกันได้ไม่ใช่เหรอ แล้วก็ได้เผชิญหน้ากันบางครั้งจริงๆ ด้วย”
“…”
“ตอนบอกว่าฉันก็ไปยุโรปได้ ฉันรู้สึกว่า ชีวิตของฉันเองก็เปลี่ยนแปลงไปเหมือนกันสินะ… แต่คนที่ไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่นั่นแหละ”
“เป็นเพราะนายจิตใจดีมากๆ เลยน่ะสิ ทำไมถึงได้บอกว่าเป็นคนที่ไม่ใช่ล่ะ อย่าพูดแบบนั้นเลย”
ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง เป็นการเหยียดยิ้มราวกับยิ้มเยาะ สีหน้าแบบที่จะไม่แสดงออกมาให้เห็นในเวลาปกติทำให้เครียดจนปิดปาดเงียบไปโดยไม่รู้ตัว
ฮาจุนยกมือขยี้ตาอันพร่ามัวเบาๆ พลางก้มหัวลงบนโต๊ะราวกับเมามากแล้ว และตอนนี้เสียงของเขาก็อ้อแอ้ไม่น้อยแล้วด้วย
“นายรู้ไหมว่าฉันคิดอะไรตอนนอนอยู่โรงพยาบาล”
“…”
“แค่ปล่อยเด็กผู้ชายคนนั้นทิ้งไว้แล้วหนีออกมาก็คงจะไม่กลายเป็นแบบนี้ น่าจะแค่ออกมาเฉยๆ น่าจะทำเป็นมองไม่เห็น”
“ฮาจุน”
“ฉันจิตใจดีเหรอ ฉันเป็นแค่คนไม่เด็ดขาดแล้วก็ขี้ขลาดเท่านั้นละ คอยสังเกตท่าทีคนอื่นอยู่ทุกครั้งแล้วก็ปิดปากเงียบ หลังจากนั้นถึงมารู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ถ้าทำด้วยความต้องการก็คงจะพอใจอยู่ตรงนั้น แต่ฉันก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันนี่มันโง่จริงๆ”
“ถ้าเป็นมนุษย์ ไม่ว่าใครต่างก็คิดแบบนั้นได้ทั้งนั้น นายไม่ได้ขี้ขลาดสักหน่อย”
ฮาจุนควานมือหาแก้วเหล้าบนโต๊ะแล้วยกมันขึ้น แต่แก้วที่เคยมีโซจูเต็มปริ่มกลับว่างเปล่าอีกครั้งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว คราวนี้เขาจึงขยับมือไปจับขวดเหล้า
มือใหญ่ทาบลงบนมือข้างนั้น ฮาจุนไล่สายตามองแขนกับข้อมือที่ถูกจับติดกันกับมือของอีกคนแล้วเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงที่ไม่ควรจะได้ยินดังขึ้นเหนือโต๊ะ
“เลิกดื่มได้แล้ว”
ฮาจุนอ้าปากเล็กน้อยพลางกะพริบตาปริบๆ จากนั้นจึงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ตกใจ เพียงแต่มูคยอมปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วขัดขวางการดื่มเหล้าของเขา แถมยังทำสีหน้าไม่พอใจอีกด้วย
“ปล่อย”
“ใครเขาดื่มโซจูในแก้วแบบนี้”
คราวนี้ฮาจุนทำหน้านิ่วหันไปทางจองคยู สีหน้าบ่งบอกอย่างเต็มที่ว่าในสายตาของเขา สิ่งที่จองคยูทำนั้นมากพอที่จะให้เรียกเจ้าตัวว่าคนทรยศ จองคยูแก้ตัวอย่างลุกลี้ลุกลนพลางโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่นะ ฉัน… ช่วงนี้พวกนายดูไม่ดี ฉันก็เลยบอกว่าจะมานั่งกินกับนายอยู่ก่อนแล้วให้มาร่วมวงทีหลัง คิมมูคยอมก็บอกตกลง ฉันก็ไม่คิดเลยว่าจะเป็นปัญหาแนวนี้น่ะ”
‘ฟึ่บ’ ฮาจุนสลัดมือของมูคยอมออกแล้วลุกขึ้นจากที่ “ฮาจุน” เขาหันหลังให้เสียงเรียกแล้วเดินไปทางประตู
ตอนนั่งอยู่ เขาไม่รู้สึกเลย แต่พอลุกขึ้นยืน ภาพตรงหน้าก็หมุนติ้ว พอได้พูดคุยพร้อมกับเทเหล้าเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ก็ดูเหมือนว่าน่าจะดื่มไปเยอะทีเดียว
“โอย…” พื้นสั่นไหวเหมือนคลื่นที่ซัดกระเพื่อม พอเดินต่อไป จู่ๆ เข่าก็ชนเข้ากับอะไรแข็งๆ ฮาจุนจึงอุทานออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
ฮาจุนดันกำแพงที่กระแทกหัวเข่าแล้วตั้งใจจะเบี่ยงตัวออก แต่ก็ทำไม่ได้ ‘โอ๊ย ทำไมเป็นแบบนี้นะ’ เขากำหมัดทุบกำแพง แต่แล้วร่างกายก็ถูกใครบางคนยกตัวลอย เสียงที่ได้ยินจากแถวๆ ศีรษะดังก้องราวกับเสียงสะท้อน
“เพิ่งเคยเห็นฮาจุนเมาไม่เป็นท่าขนาดนี้นะ”
“นายมัวทำอะไรถึงปล่อยให้ดื่มตามใจล่ะ”
“ฉันไม่มีจังหวะจะห้ามน่ะสิ กระดกเอาๆ แล้วจะทำไงได้”
“ไปซื้อน้ำมาหน่อย เดี๋ยวฉันจ่ายเงินเอง”
คำว่าจ่ายเงินทะลุเข้ามาในหูอย่างรวดเร็ว คิดดูแล้วก็มากินเนื้อกัน แต่มัวแต่บ่นเสียยืดยาวก็เลยไม่ค่อยได้กินสักเท่าไร
“เสียดาย” ฮาจุนบ่นงึมงำในขณะที่มุดแก้มเข้ากับที่ค้ำยันร่างกายซึ่งสัมผัสได้ตรงข้างใต้ศีรษะ แล้วคำถามก็ดังลอดเข้ามาในหู
“เสียดายอะไร”
“เนื้อ”
“…ยังไงก็ชอบกินจริงๆ เลยนะ”
เสียงประตูเปิดออกดังต่อจากเสียงบ่นพึมพำ แล้วอากาศสดชื่นก็ปกคลุมโดยรอบร่างกาย ฮาจุนได้สติขึ้นมาจากฤทธิ์เหล้าและความร้อนก็วูบวาบขึ้นหน้าในชั่วขณะหนึ่ง เขากะพริบตาแล้วตรวจสอบดูตำแหน่งของตัวเอง
ตัวเขาลอยหวิวโดยที่เท้าไม่แตะพื้น มือใหญ่กดลงตรงด้านหลังต้นขา และแขนแข็งแกร่งก็ประคองขาทั้งขาเอาไว้ แผ่นหลังกว้างแข็งแรงรองรับตัวเขาไว้ทั้งตัว ในหัวบอกว่าต้องลงไปยืน แต่ร่างกายอันเฉื่อยชากลับเมินเฉยต่อคำเตือนในสมองและไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
‘แกร๊ก’ ในขณะเดียวกันกับที่เสียงนั้นดังขึ้น ร่างกายที่เคยถูกแบกก็ลดระดับลงพรวดเดียวแล้วถูกวางให้นั่งลงบนเก้าอี้ ฮาจุนเอนหลังพิงเบาะหนัง เขารับรู้ถึงสถานการณ์ได้อย่างเชื่องช้าแล้วจึงส่ายหน้า
“จะลง”
“ตอนนี้นายนั่งบัสไปไม่ได้หรอก”
“ไม่เอา จะลง ไปได้”
ทว่า ฮาจุนเพียงแค่ส่ายหน้าซ้ายขวาอย่างอ่อนแรงเท่านั้น ร่างกายของเขานิ่งสนิทและไม่กระดิกเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาถอนหายใจด้วยความรู้สึกอึดอัดพลางหันหน้าไปทางฝั่งตรงข้าม ‘ปึง’ ประตูก็ถูกปิดลง
ภายในรถที่จอดอยู่ในลานจอดรถตอนกลางคืนนั้นมืดมิด สติของฮาจุนเลือนรางลงเรื่อยๆ
“เอ้า น้ำเปล่า”
จองคยูยื่นขวดน้ำให้มูคยอม ไม่ได้โดนบังคับให้ดื่มเหล้าแท้ๆ แต่ทำท่าอย่างกับคนมีเรื่องสะเทือนใจโดยเปล่าประโยชน์ซะได้ มูคยอมรับขวดน้ำนั้นมาถือไว้พร้อมหัวเราะดังหึออกมาอย่างกล้ำกลืน
“อิมจองคยูชอบยุ่งเรื่องคนอื่นจังเลยนะ”
“ให้ตาย… เรื่องนิสัยชอบยุ่มย่ามเรื่องคนอื่นเนี่ย คราวนี้ฉันเอาจริง! ฉันจะแก้มัน วันนี้ฉันตัดสินใจแล้ว”
จองคยูได้รับข้อมูลมากมายเกินไปในเวลาสั้นๆ เขาแสร้งทำท่าเหมือนตัวสั่นสะท้าน
“ไปส่งให้ดีแล้วก็เคลียร์กันให้ราบรื่นแล้วกัน ฮาจุนน่าจะเหนื่อยมามากเพราะนาย อย่าไปพูดอะไรอีกล่ะ การที่ใครคนหนึ่งชอบนายก็ไม่ใช่เรื่องผิดสักหน่อยนี่ อย่างน้อยจนกว่าจะจบฤดูกาลก็ทำตัวดีๆ กันหน่อยนะ ขอร้องเลย”
จองคยูรู้เพียงความจริงที่ว่าฮาจุนชอบมูคยอมเท่านั้น แต่ไม่รู้เกี่ยวกับเหตุการณ์อื่นเลยสักนิด เขาทำสีหน้าเป็นกังวลว่ามูคยอมจะถามซักไซ้หรือทำร้ายจิตใจฮาจุนเรื่องอื่นอีก นิสัยเสียไม่ได้แก้กันง่ายๆ เพราะอย่างนั้นจองคยูจึงบ่นออกมาเสียยืดยาวทั้งที่เพิ่งบอกว่าจะแก้นิสัยของตน มูคยอมเพียงแค่ส่งสายตาเป็นการบอกลาสั้นๆ โดยไม่ได้ตอบอะไร จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งตรงเบาะคนขับ
เขาติดเครื่องอย่างไม่คอยท่า ราวกับกังวลว่าหากชายหนุ่มที่นั่งหลับอยู่ข้างๆ ตื่นขึ้นมาแล้วจะหนีไป จากนั้นก็ขับออกไปจากลานจอดรถด้วยความรวดเร็ว รถออกมาจากซอยแล้วขึ้นมาบนถนน ผสานเข้าไปในกระแสรถคันอื่นๆ มันส่ายไปมาเล็กน้อยราวกับลังเลจุดหมายปลายทางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไม่นานก็เริ่มแล่นตรงไป
***
บรรยากาศภายในรถที่มาถึงจุดหมายปลายทางแล้วเงียบอยู่พักใหญ่ มูคยอมยังคงไม่ปล่อยมือจากพวงมาลัยแล้วจ้องมองไปด้านหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวไปปลดให้ฮาจุนเช่นกัน
มูคยอมลงจากรถไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ เมื่อเขาโค้งร่างกายท่อนบนลงแล้วใช้แขนโอบรอบหลังเพื่อประคองร่างกายของฮาจุนซึ่งยังคงไม่ตื่นให้ตั้งตัวขึ้นมา ฮาจุนก็หดตัวเข้าหากันราวกับตื่นเพราะสัมผัสนั้น
“ลงรถกัน”
พอมูคยอมเร่ง ฮาจุนก็ดันตัวมูคยอมพลางขืนตัวออก
“ไม่ไป”
“จะอยู่บนรถทั้งคืนเหรอ ขึ้นไปเถอะ ขึ้นไปพักผ่อนกัน”
“ไม่เอา ฉันจะกลับบ้าน…”
อารมณ์พุ่งปรี๊ด มูคยอมนึกอยากแสดงความโกรธออกมา
‘ทำไมถึงไม่เอาที่นี่ ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านนายแล้ว นายมีทั้งห้อง ทั้งเตียง แม้แต่โต๊ะก็มีครบ’ ทว่ามูคยอมก็พูดอย่างใจเย็นโดยสะกดอารมณ์โกรธที่เหมือนจะพุ่งออกมาจากปากเสียเดี๋ยวนั้น
“โอเค ฉันจะไปส่งที่บ้าน ฉันหมายความว่า ตอนนี้นายเมามาก เพราะฉะนั้นก็พักสักหน่อยจนกว่าจะสร่างเมาแล้วค่อยไป”
“บอกว่าไม่เอาไง ฉันไม่อยากเข้าไป…”
มูคยอมหัวเราะเบาๆ
“ทำไมไม่อยาก เพราะไม่ชอบฉันเหรอ อย่าโกหกเลย เมื่อกี้นายสารภาพออกมาด้วยปากของนายเองว่ายังชอบฉันนี่”
หัวใจที่เคยอึดอัดจนหายใจไม่ออกอยู่ทุกขณะในพักนี้ ตอนนี้กลับเต้นตึกตักชวนให้รู้สึกดี ตลอดการขับรถ หัวใจมูคยอมเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สุกงอมเต็มที่ ราวกับว่ามันกลายเป็นผลไม้ไปแล้ว เรื่องราวต่างๆ ที่ฮาจุนเล่าออกมาในตอนเมาเหล้าจนคอห้อยเมื่อครู่นี้ เต็มไปด้วยเรื่องของเขาตั้งแต่แรกจนจบ
เรื่องที่ฮาจุนเล่าเป็นเรื่องในตอนที่ถูกเรียกตัวเข้าทีมเยาวชนครั้งแรก ถ้าพูดถึงเรียกตัวครั้งแรกก็คือตอนอายุสิบหก ถ้าตั้งแต่ตอนอายุสิบหก จนถึงตอนนี้ก็เกือบสิบปีแล้ว สิบปีเลยเนี่ยนะ นานกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เสียอีก
พูดตามตรงว่าเป็นเรื่องที่พอจะทำให้รู้สึกหนักใจเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะสงสัยว่าฮาจุนมีเขาอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อไร แต่เหตุผลที่เลี่ยงถามก็เพราะเรื่องนั้น เพราะถึงไม่ได้เป็นแบบนั้น ในหัวของเขาก็วุ่นวายอยู่แล้ว เขาจึงไม่อยากทำให้มันยุ่งเหยิงมากขึ้นกว่าเดิม
ทว่าน่าแปลกที่เขาเอาแต่ยิ้มอย่างกับคนบ้า อยากจับอีกฝ่ายมาถามว่าชอบเขาตั้งแต่ตอนเด็กๆ จริงหรือเปล่า
ภาพฉากที่ส่วนอื่นๆ หลงเหลืออยู่อย่างเลือนรางในความทรงจำเพราะความแสบร้อนจากการสูบบุหรี่ครั้งแรก เด็กหนุ่มในฉากนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นฮาจุนอย่างนั้นเหรอ มันมหัศจรรย์เกินกว่าจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญไม่ใช่หรือไง พอได้รู้ มูคยอมก็รู้สึกอยากตะโกนเสียงดังบอกใครก็ได้ที่ไม่รู้จัก ว่าฮาจุนชอบเขามาตั้งแต่สิบปีก่อน
“ทำไมถึงแกล้งทำเป็นไม่ชอบทั้งที่ชอบอยู่ล่ะ”
“ถ้าชอบ แล้วไง… บอกว่าชอบแล้วจะต้อง ทำตามที่นายต้องการทุกอย่างเลยหรือไง?”
“ทั้งที่ชอบมาตั้งแต่เมื่อก่อนขนาดนั้นแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้งั้นเหรอ โค้ชอี ที่ผ่านมาทำกับฉันแล้วต้องรู้สึกดีแน่ๆ”
“จะให้ทำไงเล่า… ฉันเคย บอกนายว่าไม่ชอบ ตอนไหนเหรอ”
ฮาจุนพูดต่อเนื่องอย่างยานคางด้วยความเมา มูคยอมหัวเราะหึๆ พลางไล้นิ้วลงบนแก้มของอีกฝ่าย
“แต่ทำไมต้องดื้อล่ะ ชวนให้ทำเรื่องที่เคยๆ กันแล้ว แต่นายไม่ชอบใจอะไร”
“…ทำไมนายถึงไม่เข้าใจเรื่องนั้น ฉันไม่เข้าใจเลย…”
ฮาจุนบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ มูคยอมทอดสายตามองใบหน้าฮาจุนแล้วก้มตัวลงอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นก็ลงมาหน่อยเถอะ พักสักหน่อยแล้วค่อยไป เมาขนาดนี้แล้วจะกลับบ้านทันทีเลยเหรอ”
“บอกว่า ไม่เอาไง!”
มูคยอมเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงปลอบประโลมมากขึ้นอีกหน่อยแล้วตั้งใจจะประคองฮาจุนให้ลุกขึ้น แต่คราวนี้ฮาจุนถึงกับพูดเสียงดังกว่าเดิม มูคยอมร้อนใจขึ้นมาชั่วขณะ เขาอยากกอด อยากจูบ อยากฟังเสียงของฮาจุนกระซิบเล่าเรื่องเกี่ยวกับเขาเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าจองคยูเมื่อครู่ให้มากกว่านี้
‘ใช่ ฉันเองก็จำได้แล้ว ถึงนายไม่ทำแบบนั้นก็อยากทิ้งบุหรี่มวนนั้นอยู่แล้ว แต่เพราะนายดุ ฉันเลยมีข้ออ้างขึ้นมาแล้วจริงๆ ก็โล่งใจด้วยเหมือนกัน ที่ผูกเชือกรองเท้าให้แล้วพูดกับนายคำสองคำก็เพราะขายหน้าการกระทำของตัวเองเลยอยากอวดเก่งไปงั้น แต่ฉันจะเก็บมันเป็นความลับไม่ให้นายรู้หรอก
แล้วก็อีฮาจุน นายน่ะไม่ได้ขี้ขลาด คนแบบนั้นไม่ช่วยเหลือคนอื่นตั้งแต่แรกหรอกนะ ฉันประสบมากับตัวเองถึงได้รู้ คนที่ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่มีใครขี้ขลาดเลยแม้แต่คนเดียว’
ภายในหัวอัดแน่นไปด้วยเรื่องที่อยากฟังและเรื่องที่อยากพูด มูคยอมใจร้อนขึ้น แต่ต่อให้โอบแขนรอบหลังอีกฝ่ายเพื่อจะประคองให้ลุกขึ้นยืน ฮาจุนก็ยึดเข็มขัดนิรภัยที่ปลดออกแล้วเอาไว้แน่นราวกับกำเชือกและไม่ขยับตัวไปไหน มูคยอมได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัดใจ แล้วหัวใจที่เคยจมอยู่ในความหวานฉ่ำก็เริ่มเดือดพล่านขึ้นทีละนิด
‘…ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้นะ
นายจะบอกว่าชอบหรือไม่ชอบก็ช่าง แต่ให้ฉันลากตัวไปขังไว้ในห้องซะเลยดีไหม เมาขนาดนี้ แรงจะขยับตัวก็ยังไม่มี ถ้าฉันโถมเข้าใส่นายเดี๋ยวนี้ นายก็คงเสร็จฉันโดยไม่ทันกระดิกตัวไปไหนแท้ๆ
จะโค้ชหรือจะอะไรก็เถอะ ถ้าฉันขังนายไว้ในบ้านไม่ให้นายทำอะไรได้ นายจะหนีไปด้วยวิธีไหนอีกล่ะ ฉันจะบอกคนอื่นๆ ว่าตัดสินใจจะให้นายโค้ชชิ่งส่วนตัวให้ที่บ้านเพราะสภาพร่างกายของฉัน นายจะได้รอแต่ฉันคนเดียวอยู่ที่บ้าน นอกจากฉันก็จะไม่เจอใครเลยทั้งวัน เพราะฉะนั้นเหตุผลที่จะทำให้ฉันสงสัยความสัมพันธ์ของนายกับคนอื่นอย่างไร้ประโยชน์ก็จะหายไปด้วย
ครอบครัวก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ถึงไม่มีนาย ฉันก็จะช่วยดูแลทุกคนให้กินอยู่กันอย่างสุขสบายเอง ถ้ารับผิดชอบเรื่องเงินให้อย่างเต็มที่ ไม่นานคนในครอบครัวก็จะคุ้นเคยกับสถานการณ์ที่ไม่มีนายขึ้นมานั่นแหละ เป็นไง สมบูรณ์แบบเลยใช่ไหมล่ะ’
“บ้าฉิบ… นายจะตามมาอย่างว่าง่ายสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ”
ความวุ่นวายใจเจืออยู่ในน้ำเสียง เมื่อฮาจุนไม่ตามมาแบบที่ต้องการ ความคิดน่ารังเกียจก็ไหลทะลักออกมาเป็นสายอย่างเกินต้านแล้วเข้าครอบงำภายในหัวราวกับเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว
มูคยอมเผยความคิดภายในใจออกมาทั้งหมดราวกับพูดคนเดียว พร้อมกับฝังใบหน้าลงตรงลำคอนุ่มอุ่นแล้วถอนหายใจ แม้แต่กลิ่นเหล้า เมื่อผสมเข้ากับกลิ่นอายของฮาจุนก็ยังหอมชวนดม มูคยอมเกิดความปรารถนารุนแรงกว่าครั้งไหนๆ แต่ร่างกายที่เคยยินยอมทุกครั้งที่เขาต้องการอย่างไม่เคยนึกหวงแหน กับริมฝีปากที่เคยประกบแนบแน่น กลับเอาแต่ปฏิเสธและผลักไสเขาออกอย่าดื้อดึง
มูคยอมรู้อย่างแน่ชัดแล้วในช่วงห้าวันที่ฮาจุนไม่อยู่ ตอนนี้เขาไม่สามารถกลับไปกรีนฟอร์ดได้ และไม่สามารถปล่อยอีกฝ่ายให้ไปอยู่ทีมอื่นได้ด้วย ถ้าไม่มีฮาจุน มูคยอมก็ไม่แม้แต่จะสามารถรักษาสภาพร่างกายของตัวเองให้ดีได้ด้วยซ้ำ
ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นเพราะอะไร คิมมูคยอมก็จำเป็นจะต้องมีอีฮาจุน ในระดับที่ทอดสายตามองจากไกลๆ ก็ไม่ได้ ฮาจุนจะต้องอยู่ข้างกายเขาเท่านั้น และจะต้องกอดร่างกายของเขาเท่านั้น
ในช่วงเวลาแห่งการรอคอย มูคยอมรู้สึกเหมือนเลือดแห้งผาก ถึงอย่างนั้นก็ยังใช้งานร่างกายอย่างมุทะลุ แต่แล้วฮาจุนก็เหมือนจะตัดสินใจว่าจะจากไปจริงๆ เขาจึงรอคอยอีกฝ่ายอย่างไร้เรี่ยวแรง ถ้าหากฮาจุนพยายามจะย้ายทีมจริงๆ เขาก็คิดจะทำให้อีกฝ่ายกลับมา ต่อให้ต้องทำให้ไม่มีตำแหน่งโค้ชใหม่หลงเหลืออยู่เลยก็ตาม ทว่าถึงแม้ฮาจุนจะกลับมาแล้วก็ยังมีท่าทีแบบนี้และทำตัวแบบนี้ตลอดโดยไร้ซึ่งความคืบหน้า
เพราะอีกฝ่ายดื้อใส่อยู่เรื่อย เขาเองจึงไขว้เขวเหมือนกัน แต่ตอนแรกก็คิดว่ารักษามารยาทแล้วขอโทษไปตามสมควรแล้ว แต่ฮาจุนทำตัวเหมือนว่าแค่นั้นยังไม่พอ จนเขาถึงกับลองบอกว่าจะจ่ายเงินชดใช้ให้ แถมยังขอคบอีกต่างหาก ถึงแม้เขาจะบอกว่าคบในฐานะคนรัก อีฮาจุนก็ยังบอกว่าหมดใจแล้วพร้อมบอกปัดว่าไม่เอา