Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 83
ถ้าคำที่บอกว่าหมดใจแล้วเป็นเรื่องโกหก สุดท้ายแล้วหมายความว่าฮาจุนต้องการอะไรกันแน่ ความรู้สึกแบบเดียวกันกับตัวเองเหรอ บอกว่าชอบก่อน เพราะอย่างนั้นก็เลยทำตัวเย่อหยิ่งว่าต้องได้รับคำพูดแบบเดียวกันกลับไป ถึงจะสามารถกู้คืนศักดิ์ศรีที่เสียไปให้กลับคืนมาได้อย่างนั้นเหรอ หรือหมายความว่าต้องทำถึงขนาดเชิญวงออเครสตร้ามา แล้วมอบช่อกุหลาบกับแหวนเพชรให้พร้อมขอแต่งงาน ถึงจะยอมรับหรือเปล่า กลัวว่าใครจะไม่รู้ว่าเป็นลูกวัวหรือไงถึงได้ทั้งรั้นทั้งหัวแข็งแบบนั้น
ถึงจะไม่ได้ยกเรื่องไร้สาระพวกนั้นมาเป็นข้ออ้างในความสัมพันธ์ เขาก็มั่นใจว่าจะทำดีกับอีกฝ่ายจนพวกคู่รักทั่วไปเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย ดีกว่าพวกคนที่เอาแต่บอกว่ารักแค่ปากเปล่าอยู่ทุกวี่ทุกวันด้วย
ถ้าคิดซะว่าปัญหาที่เคยมีในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น และคอยอยู่ข้างกัน พร้อมทั้งให้เขากอดอย่างว่าง่าย เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายได้อยู่อย่างสุขสบายโดยไม่ขาดแคลนอะไรเลยสักอย่าง แต่อีฮาจุนยังไม่เคยเพลิดเพลินกับชีวิตแบบนั้นอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นก็ต้องไม่รู้อะไรแน่นอน
มูคยอมไม่รู้ว่าเมาแบบนั้นแล้วฮาจุนจะฟังเข้าใจหรือเปล่า แต่ก็อธิบายให้ฮาจุนได้รู้
“ทั้งนายทั้งฉันยังเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย เรื่องที่ฉันเคยเข้าใจนายผิดแล้วพูดไม่คิด แค่เรื่องนั้นเรื่องเดียวที่ฉันก้าวก่ายนายแบบผิดๆ แต่บอกไปแล้วไงว่าฉันผิดเอง ฉันจะอ้อนวอนนายมากแค่ไหนก็ได้จนกว่านายจะยกโทษให้ หรือฉันเหมือนพูดแบบโน้นทีแบบนี้ทีกับนายก็เลยสับสนเหรอ ตอนนี้จะไม่ทำแบบนั้นแล้ว ฉันจะทำตัวให้ดี ให้นายไม่รู้สึกไม่พอใจ ยังไงนายก็บอกว่ายังชอบฉันอยู่ ฉันแค่ชวนให้ทำตัวต่อกันเหมือนเมื่อก่อนเอง อะไรมันจะยากขนาดนั้นเชียว”
“…”
“หืม อีฮาจุน ช่วยฉันหน่อยเถอะ”
จนถึงตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีพวกคนที่ไล่ตามเขาพร้อมบอกว่าชอบอยู่เป็นปีๆ สิ่งที่ทุกคนต้องการก็คล้ายคลึงกันหมด
‘ก็ดี ยอมถอยให้สักก้าวแล้วคิดว่าเขาเองก็ชอบอีฮาจุนแล้วกัน แต่การชอบใครสักคนเนี่ย ถ้ามองเป็นรูปธรรมแล้วมันคืออะไรล่ะ ไม่ว่าจะคู่นอนหรือคู่รักต่างก็แบ่งแยกจากความสัมพันธ์อื่นด้วยเซ็กส์ และบทสรุปสุดท้ายก็ได้มีเซ็กส์เหมือนกัน น่าจะเพราะอย่างนั้น ฮาจุนถึงได้โอเคกับข้อเสนอให้เป็นคู่นอนของเขาในตอนแรก’
ในโลกนี้มากไปด้วยผู้คนที่เข้าใจผิดเรื่องความใคร่กับความรัก จะใครหน้าไหนก็เป็นเหมือนกันทั้งนั้น ยึดติดกับเรื่องความจริงใจแล้วพิสูจน์ความรู้สึกซึ่งไม่แม้แต่จะมองเห็นอยู่บ่อยครั้ง และถ้าพยายามจะรับเอาความรู้สึกนั้นมา ก็จะเกิดความปรารถนาอันไร้ประโยชน์และกำแพงป้องกันตัวเองก็จะพังทลาย อาจเป็นเวลาเพียงชั่วขณะเดียวก็ได้ที่คนจะกลายเป็นบ้าเพราะยึดติดและลุ่มหลงกับสิ่งที่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีมัน
เขาเกือบจะเป็นแบบนั้นกี่ครั้งแล้ว! ถ้าตอนนั้นคบกันแบบคู่รัก ใครจะไปรู้ว่าเขาอาจล้ำเส้นโดยใช้ฐานะนั้นเป็นข้ออ้างไปแล้วก็ได้ ฮาจุนเคยเป็นผู้ตั้งรับ เพราะฉะนั้นก็คงจะรู้ความสำคัญของแนวรับสุดท้ายยิ่งกว่าใคร
ทั้งหมดก็เพื่ออีฮาจุน แต่ฮาจุนกลับไม่รับรู้ถึงจิตใจของเขาและเอาแต่ยึดศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้
‘โอเค นายคงจะเข้าใจได้ยากใช่ไหมล่ะ แต่ฉันกำลังชวนให้ก้าวไปอย่างมั่นคงนะ’
“นายมันโหดร้าย…”
“อะไรนะ”
มูคยอมกดจมูกอยู่ตรงลำคออีกฝ่ายพร้อมทั้งจมอยู่กับกลิ่นกายและห้วงความคิด แต่จู่ๆ คำต่อว่าสั้นๆ ก็ถูกโพล่งออกมาข้างบนหัว มูคยอมจึงเงยหน้าขึ้น
ฮาจุนกำลังก้มลงมองมูคยอมด้วยดวงตาที่เหมือนกับทำให้แข็งกร้าวขึ้นอย่างยากลำบากในขณะที่ตัวอ่อนปวกเปียกไปหมด
“ทำสิ ทำเลย ขึ้นไปถึงบ้าน…เพื่อทำอะไรล่ะ ทำๆ ที่นี่ไปเลยสิ… นายชอบทำบนรถนี่นะ”
ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วจู่ๆ ก็ขยับแขนมาเลิกเสื้อยืดขึ้นพรวดเดียว ผิวขาวผ่องแยงตาเข้ามาอย่างกะทันหัน ที่นี่เป็นลานจอดรถส่วนตัวจึงจะไม่มีใครมองเห็นอยู่แล้ว แต่เพราะประตูรถอยู่ในสภาพถูกเปิดโล่ง มูคยอมก็เลยสังเกตรอบข้างโดยอัตโนมัติ
บางทีอีกฝ่ายอาจตั้งใจจะถอดออกไปเลย ทว่าเสื้อก็ผล็อยตกลงมาปกคลุมร่างกายตามเดิมเพราะมือไม่ได้จับเสื้อเอาไว้แน่น แต่สภาพของมันก็ยับยู่ยี่ไปแล้ว และคราวนี้ฮาจุนก็เอี้ยวตัวทำท่าจะถอดกางเกงออก เมื่อมูคยอมจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ฮาจุนจึงถึงกับถอนหายใจแรงพลางพูดขึ้นอย่างชวนทะเลาะ
“ยังไงวันนี้ ก็ตั้งใจจะบอกให้ทำอยู่แล้ว ตามที่นาย ต้องการ… ทำเลยสิ เอาเลย”
“นี่นายเมาจนขาดสติแล้วหรือไง”
“นายบอกว่าถ้าไม่ได้ทำกับฉัน… ก็คงจะเตะบอลไม่ได้นี่ ทำสิ สิ่งสำคัญคือคิมมูคยอมต้องเล่นฟุตบอลได้ดี ฉันจะไปสำคัญอะไร”
“นี่นายทำให้คนอื่นเขากลายเป็นไอ้ขยะอีกแล้วนะ ใครชวนนายให้ทำตอนนี้กัน ฉันมีเรื่องสงสัย แล้วนายเองก็เมา ฉันเลยบอกว่าให้ขึ้นไปพักแล้วค่อยกลับไปไง!”
สภาพร่างกายของมูคยอมในช่วงไม่กี่วันมานี้ดูราวกับว่า หากเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงจะตาย ทว่าเรื่องที่ฮาจุนยังคงเหลือเยื่อใยให้เขาอยู่ ทำให้เขารู้สึกเหมือนสภาพร่างกายฟื้นตัวดีขึ้นมาหน่อย แต่อีกฝ่ายกลับกำลังทำให้เสียเรื่องไปหมด แน่นอนว่าการกลับมามีความสัมพันธ์ทางกายกับฮาจุนอีกครั้ง เป็นเป้าหมายสุดท้ายก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้เขามีเรื่องสงสัยมากเกินไป และเขารีบร้อนอยากจะค้นหาเรื่องที่ซุกซ่อนไว้ในช่วงสิบปีของอีฮาจุนมากกว่า
ฮาจุนแค่นหัวเราะพร้อมกับมองมูคยอม ‘หัวเราะงั้นเหรอ’ มูคยอมขมวดคิ้วแล้วมองโต้ตอบอีกฝ่าย ฮาจุนพูดราวกับลังเลด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันที่น่าจะจินตนาการไม่ออกหากอยู่ในเวลาปกติ
“คิมมูคยอม…”
“…”
“ถ้านายเป็นฉัน… จะเชื่อคำพูดพวกนั้นไหม”
‘เฮอะ’
มูคยอมแค่นหัวเราะออกมาจากปากเพราะคำพูดนั้น เขาก้มลงมองฮาจุนนิ่งๆ แล้วจึงใช้มือข้างหนึ่งจับใบหน้าที่เอียงไปด้านข้างเล็กน้อยให้หันตรง ผิวขึ้นสีชมพูอ่อนทำให้มือรู้สึกร้อนวูบ
“โอเค ก็ดี ทำกันเถอะ ถึงนายไม่บอก ฉันก็อยากกระแทกเข้าไปข้างหลังนายจนคิดว่าช่วงนี้จะกลายเป็นบ้าไปซะแล้ว”
ริมฝีปากที่เผยอออกจนเห็นส่วนปลายของฟันกระต่ายเล็กน้อย ยั่วยวนเขามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ อีกฝ่ายเสนอตัวให้ถึงขนาดนี้ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องปฏิเสธ มูคยอมก้มหัวลงประกบริมฝีปากของตัวเองลงไปบนนั้น
ความรู้สึกนุ่มหยุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานานมากจริงๆ ลมหายใจร้อนผ่าวที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ปะปนอยู่ พรูเข้ามาด้านในริมฝีปากของมูคยอม ทำให้เส้นสติของเขาสั่นสะเทือนอย่างน่าเป็นห่วงว่ามันจะขาดสะบั้น ราวกับสายธนูที่ถูกดึงจนตึง ความร้อนที่อัดแน่นอยู่ตรงส่วนล่างและไม่จางหายไปไหนมานาน เดือดพล่านขึ้นมาอย่างฉับพลันจนรู้สึกเหมือนจะล้นทะลักออกมานอกร่างกาย
“ฮ้า” เขาพรูลมหายใจออกมาพร้อมกับยกแขนข้างหนึ่งตวัดโอบรอบลำคออีกฝ่าย มือข้างหนึ่งแหวกเข้าไปในเส้นผมนุ่ม ในขณะเดียวกันก็สอดลิ้นเข้าไปในริมฝีปากที่อ้าออกอย่างไร้เรี่ยวแรง เนื้อเยื่อด้านในที่ทั้งลื่นและชุ่มชื้น ห่อหุ้มกระทั่งผู้ที่บุกรุกเข้ามาอย่างไร้มารยาท ส่วนลิ้นนุ่มนิ่มก็เหมือนจะทำให้เขาละลายเพียงแค่ได้สัมผัสกัน
คนเราจะหวานหอมได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ ผลไม้ชนิดไหนก็ตามที่เคยลิ้มรสมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมอบรสชาติอันแสนประทับใจแบบนี้ให้ได้เลย เขาประเมินตัวเองสูงไปว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ละเลียดสิ่งนี้ มอบรสชาติแบบนี้ให้เขาแล้วจะแย่งชิงมันกลับไปเนี่ยนะ จะไม่มีทางให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่
มูคยอมแลบลิ้นยาวแล้วสอดแทรกเข้าไปด้านในซึ่งร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม จนถึงจุดลึกบริเวณช่องคอที่ฮาจุนโปรดปราน ถ้าหากไล้เลียตรงนั้น ฮาจุนก็มักจะส่งเสียงคราง และไหล่สั่นระริก
“ฮื้อ อึก…”
เป็นไปตามที่คาด เสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างริมฝีปากของฮาจุน พอเอียงศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อกดริมฝีปากให้แนบชิดจนสอดลึกเข้าไปมากขึ้นอีกหน่อย ‘วื้ดด’ เสียงเข็มขัดนิรภัยที่ปลดออกแล้ว ถูกดึงกลับเข้าที่เดิมของมันก็ดังขึ้นข้างหู มือของฮาจุนปล่อยเข็มขัดแล้วจับตรงด้านหลังของเขาไว้แน่น
เรี่ยวแรงและแรงกดเบาๆ นั้นทำให้สติพร่าเลือนมากขึ้น จนมูคยอมเองก็ออกแรงที่แขนของตัวเองมากขึ้นไปด้วย เขากอดฮาจุนด้วยความรู้สึกที่ชวนให้ย้อนกลับไปในวันวานเมื่อครั้งที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน แต่มือของฮาจุนที่เหมือนจะเคยโอบรอบแผ่นหลังกลับดึงรั้งชายเสื้อเชิ้ตด้านหลังของเขาไว้ มือที่อ่อนแรงกว่าในตอนปกติไม่ได้มีพลังมากมายอะไรขนาดนั้น แต่การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายกำลังสื่อคำพูดหนึ่งอย่างชัดเจน
‘ถอยไป’
คางของมูคยอมเกร็งทื่อขึ้นมาในระหว่างที่กำลังจูบอยู่
มูคยอมหดลิ้นกลับแล้วใช้ฟันขบริมฝีปากล่างของฮาจุน ฮาจุนเอนหัวขึ้นด้านบนทั้งที่ยังถูกกัดริมฝีปากชุ่ม
“ปล่อย นะ… ยะ อย่าทำ…”
สติพร่าเลือนเพราะความเมามายอยู่แล้ว อีกทั้งกระทั่งริมฝีปากก็ยังถูกขบรั้งเอาไว้ ฮาจุนจึงพยายามผลักไสอีกฝ่ายออกด้วยน้ำเสียงที่อู้อี้จนฟังไม่ชัดเจน มูคยอมกัดฟันพลางเงยหน้าขึ้น
“เป็นอะไร โวยวายบอกให้ทำกัน พอมาตอนนี้แล้วนายจะกลับคำทำไมอีก”
“จูบ ฉันไม่ทำ ไม่เอา…”
ฮาจุนเป็นอิสระจากมูคยอมแล้วจึงหันหน้าหนีไปด้านข้างพลางหอบหายใจ ‘ล้อคนอื่นเขาเล่นหรือไงกัน’ มูคยอมแค่นหัวเราะแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับแก้มอีกฝ่ายอีกครั้ง จากนั้นก็บังคับให้ใบหน้าหันมาทางเขา
“ไอ้ไม่เอาน่ะ ไม่เอาอะไร นายชอบให้สอดเข้าไปถึงคอนี่ หรือว่านาย ขอไม่เอาลิ้น แต่ให้สอดท่อนฉันเข้าไปแทน”
เมื่อขยับริมฝีปากเข้าไปอีกครั้ง ฮาจุนก็ส่ายหน้าราวกับสั่นกลัว การต่อต้านที่ดูไม่ต้องการจากใจจริง ทำให้คราวนี้ มูคยอมเองก็พลอยขมวดคิ้วพร้อมถอยหลังออกไป
หัวของเขากำลังจะร้อนรุ่มขึ้น มูคยอมก้มลงมองฮาจุนแล้วซุกใบหน้าลงตรงคอของอีกฝ่ายอีกครั้ง จากนั้นก็กัดเนื้อนุ่มนิ่มอย่างแนบแน่น เมื่อฝังเขี้ยวลงราวกับกลายเป็นผีดูดเลือดแล้วใช้ลิ้นกดเลียผิวคอบริเวณที่ถูกกัดไม่ปล่อยตรงจุดๆ หนึ่ง ไหล่ของฮาจุนก็ห่อเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
“ฮา อื๊อ ไม่เอา ไม่…!”
“ถ้าไม่เอาไปหมดแล้วนายจะให้ฉันทำยังไง นายล้อฉันเล่นอยู่เหรอ”
มูคยอมปล่อยคอของฮาจุนไปอย่างแรง ราวกับคว้าคอเสื้อแล้วปล่อยออก พลางดันตัวที่เคยก้มลงให้กลับขึ้นมา ฮาจุนสูดหายใจลึกแล้วหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พรูมันออกมาแล้วจึงพูดต่ออีกครั้งด้วยเสียงที่สงบลงและขาดๆ หายๆ
“มะ มันเหมือนจะทำ… ได้นี่…”
“…”
“คราวหน้าจะทำนะ”
คำพูดนั้นทำให้มูคยอมเอียงหัวอีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากของเขาเหยียดโค้งขึ้นไปตามสันกรามคมชัดได้รูป เมื่อแยกเขี้ยวใส่ ไหล่ของฮาจุนก็สั่นเทา มูคยอมพุ่งพรวดเข้าไปอย่างแรงราวกับตั้งแต่จะกัดกระชากบริเวณบนนั้น แต่แล้วก็ ‘จุ๊บ’ เขาทิ้งไว้เพียงจุมพิตแผ่วเบาแล้วขยับริมฝีปากไปชิดใบหู ลมหายใจหนักหน่วงกับเสียงพูดดังออกมาผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
“คราวหน้าเหรอ เฮ้อ… เมื่อไร ยั่วคนอื่นจนทำให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ จากนั้นก็ตั้งใจจะยื่นใบลาออกหนีไปอีกหรือเปล่า นายวางแผนจะทำให้คนอื่นเฉาตายใช่ไหม”
“ไม่ใช่… วันนี้ฉันตั้งใจจะมาบอก ว่าให้มาทำอีกครั้งกัน ฉันตั้งใจจะมาพูดจริงๆ”
“…”
“พรุ่งนี้ พรุ่งนี้จะทำ… สัญญา”
ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นการเล่นละครโกหกกัน
เมื่อมูคยอมกัดใบหูอย่างแผ่วเบา ฮาจุนก็ส่ายหน้าอย่างเชื่องช้าพลางขยับหนีริมฝีปากของเขา มูคยอมรู้สึกได้เพียงอย่างเดียวคือคำพูดและท่าทางของอีกฝ่ายช่างแตกต่างกัน จนหัวใจของเขาบีบรัดตัวเพราะความสงสัยอย่างหนักมากยิ่งขึ้น
“ทำไมวันนี้ไม่ได้ จะวันนี้หรือพรุ่งนี้มันต่างกันตรงไหน”
“ตอนนี้… ไม่อยากทำทั้งแบบนี้…”
คำพูดนั้นทำให้คำถามที่โพล่งขึ้นราวกับชวนทะเลาะ ถูกกลืนกลับลงไปในคอของมูคยอม
เมื่อมองสีหน้าเหยเกอย่างไร้กำลังอยู่ตรงหน้า หัวใจของมูคยอมก็เจ็บแปลบเหมือนกับตอนหาวิดีโอที่มีภาพสมัยก่อนของฮาจุนดู และเหมือนกับตอนได้ฟังเรื่องการบาดเจ็บของฮาจุนจากจองคยู เสียงของอีกฝ่ายสั่น และคงเป็นเพราะเหล้า หรือไม่ก็อาจจะด้วยเหตุผลอื่น หยาดน้ำใสตรงขอบตาแดงช้ำจึงดูเหมือนจะหยดลงมาให้ได้เสียตอนนี้
ภายในใจของเขามีเพียงคำสบถดังออกมา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคำสบถใส่ใคร ถ้าหากอีกฝ่ายฟังที่เขาพูดอย่างว่าง่ายตั้งแต่แรกก็คงไม่มีเรื่องที่ทำให้โมโหถึงขนาดนี้
“ก็นั่นไง แล้วทำไมถึงต้องยั่วยุอารมณ์คนอื่นด้วย”
‘ฟู่ว’ เมื่อมูคยอมพรูลมหายใจยาวเพื่อทำให้ใจเย็นลงแล้วจิ๊ปาก ฮาจุนก็พึมพำเสียงแผ่วด้วยน้ำเสียงอ่อนลงระดับหนึ่ง
“ขอโทษ…”
“… โอ๊ย ให้ตายสิ ขอโทษทำไม”
คิดว่าแย่ไปกว่านี้ไม่ได้แล้วแท้ๆ แต่กลับรู้สึกกลายเป็นคนเลวที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาเลย
“ที่บอกว่าชอบฉันน่ะจริงหรือเปล่า นายน่ะ”
แม้ยังพูดแบบติดขัดได้อยู่ขณะเมาเหล้า แต่ฮาจุนก็ไม่ตอบคำถามนั้นมาง่ายๆ ถึงแม้ว่าจะต้องถามตลอดคืน ถึงแม้ว่าต้องถามเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เขาก็ยังอยากถาม ทว่าน้ำเสียงของฮาจุนกลับยานคางขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ายังเมาไม่สร่าง บรรยากาศเหมือนกับว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่นานก็คงจะผล็อยหลับ เพราะอย่างนั้นมูคยอมจึงยอมแพ้แล้วดันตัวขึ้น
เขาคาดเข็มขัดให้อีกฝ่ายอีกครั้งแล้วกลับมานั่งตรงที่นั่งคนขับ เขาไม่ได้เต็มใจที่จะเชื่อมั่นคำสัญญาว่า ‘คราวหน้า’ ทั้งที่ไม่มีการรับรองใดๆ แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ยังลังเลและสตาร์ตรถไม่ลง สุดท้ายเขาก็ตบพวงมาลัยหนึ่งครั้ง กลืนคำสบถเอาไว้ในปากพร้อมกับสตาร์ตรถ เวลากลางดึก รถยนต์เปลี่ยนจุดหมายปลายทางอีกครั้ง ถ้ายกเอาเรื่องรถติดมาเป็นข้ออ้างได้ก็คงจะดี แต่เส้นทางที่ไม่ได้ขับมาเสียนานกลับว่างโล่งเสียอย่างนั้น
เมื่อรถหยุดลงตรงลานจอดรถในย่านอะพาร์ตเมนต์เก่า ฮาจุนที่เคยเอาแต่พูดว่า ‘ไม่เอา’ ซ้ำๆ ก็สติหลุดลอยไปอีกครั้งเรียบร้อย มูคยองลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ลงจากรถไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ
แทนที่จะประคองเดินไป แบกไปน่าจะดีกว่า ดังนั้นเมื่อปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นขึ้นมา คราวนี้จึงทิ้งตัวลงบนแผ่นหลังเขาอย่างนุ่มนวล ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้สติแต่คงรู้ว่ามาถึงบ้านแล้ว ฮาจุนจึงไม่ขัดขืนเหมือนเมื่อครู่นี้
“เอาแขนเกาะให้ดีๆ สิ”
เมื่อตั้งใจจะให้คนเมาขี่หลังด้วยตัวคนเดียว มันจึงติดขัดตั้งแต่แรกเริ่ม ถึงอย่างนั้นก็พอจะทำให้ฮาจุนพาดแขนมาตรงด้านหน้าไหล่ของตัวเองได้สำเร็จ มูคยอมจึงลุกขึ้น
ว่ากันว่าคนเมาเหล้าจนตัวอ่อนปวกเปียกแล้วตัวก็จะหนัก แต่มูคยอมก็ไม่คิดว่าหนักสักเท่าไร น้ำหนักกับอุณหภูมิร่างกายที่รู้สึกได้บนหลังเพียงแค่ทำให้เขาอบอุ่นและรู้สึกดีจนอยากจะแบกตลอดไป
มูคยอมขึ้นลิฟต์เพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านของฮาจุน เวลาเลยห้าทุ่มเข้าไปแล้ว เป็นเวลาดึกเกินกว่าจะไปเยี่ยมบ้านใครสักคน แต่เมื่อกดกริ่งหน้าบ้าน ไม่นานก็ได้ยินเสียงใครบางคนรีบเดินเข้ามาจากด้านในทันที
“พี่เหรอ”
ประตูเปิดโผงออกก่อนมูคยอมจะทันได้ตอบ ทั้งที่ยังไม่ได้ยืนยันให้ชัดเจนว่าเป็นใคร มูคยอมพูดทักทายโดยคิดแค่ว่าคราวหน้าจะต้องเตือนกันสักหน่อยว่าแบบนี้เป็นนิสัยที่ไม่ดี
“สวัสดี”
เด็กสาวตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งแล้วตะโกนเพียงชื่อของเขาออกมาโดยไม่มีคำนำหน้าชื่ออื่นๆ เช่นเดียวกับตอนเจอกันครั้งแรก
“…อ๊ะ คิมมูคยอม!”
ทันใดนั้น มูคยอมก็รู้สึกได้ว่ามีใครบ้างคนกำลังวิ่งตึงตังมาจากด้านหลัง เด็กหนุ่มผู้คล้ายคลึงกับเด็กสาวเป็นอย่างมาก ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเบิกตากว้าง
มูคยอมรู้สึกเหมือนพาหัวหน้ากระต่ายมาส่งคืนโพรงกระต่ายเลย เขาเองก็ยืนมองเด็กทั้งสองอย่างนิ่งงัน แต่แล้วเด็กสาวตรงหน้าก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ
“ทำไมพี่ของหนูเป็นแบบนั้นล่ะคะ”
เด็กสาวสังเกตดูด้านหลังมูคยอมราวกับเพิ่งจะเห็นสภาพของพี่ชายในตอนนั้น มูคยอมลดเสียงลงอธิบาย
“วันนี้พี่ชายเราดื่มเหล้าเยอะไปหน่อยน่ะ ให้ฉันพาเข้าไปได้ไหม”
“ค่ะ ได้ค่ะ เชิญเข้ามาเลยค่ะ”
เด็กสาวรีบหลบทาง มูคยอมก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อลอดผ่านประตูเข้าไปไม่ให้ศีรษะชน ในระหว่างนั้น คุณแม่ของฮาจุนที่เคยกล่าวทักทายทางโทรศัพท์ก็ออกมาตรงห้องนั่งเล่นแล้วเงยหน้ามองแขกยามค่ำคืนที่มาเยือนอย่างกะทันหันด้วยความงุนงง
“ทางนี้ครับ ห้องพี่อยู่ทางนี้”
เด็กชายเปิดประตูห้องด้านหนึ่งออกกว้าง เมื่อมูคยอมเข้าไปด้านในแล้วยืนข้างเตียง เด็กชายก็รีบเข้ามาใกล้แล้วช่วยจับฮาจุนนอนลงบนนั้น เขาไม่ได้ชอบใจนักที่เด็กน้อยเข้ามายุ่งในเรื่องที่พอจะทำคนเดียวได้ แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เช่นกัน
เมื่อขยับหมอนมารองใต้ศีรษะให้ ฮาจุนก็ละเมอออกมาเบาๆ พร้อมกับเอนศีรษะหนุน ผิวที่ยังคงแดงก่ำไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปเป็นสีเดิมง่ายๆ
มูคยอมมองหาสีหน้าที่เคยปฏิเสธเขาเมื่อครู่นี้ จากใบหน้าที่หลับใหลอย่างสบายใจไม่เจอเลย มูคยอมก้มลงมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอยแต่แล้วสติก็กลับคืนมาเมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่ม