Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 84
“พี่มีเรื่องอะไรเหรอครับ พี่ไม่กินเหล้าหนักขนาดนี้นะ”
มูคยอมหาข้ออ้างมาตอบ
“เห็นบอกว่าวันนี้การแข่งดำเนินไปได้ด้วยดีก็เลยอารมณ์ดีน่ะ”
“อ๋อ อย่างนั้นเหรอครับ ช่วงนี้พี่น่าจะอารมณ์ดีอยู่แหละครับ ก็ได้อยู่ทีมเดียวกันกับนักกีฬาคิมมูคยอมนี่นา”
“…งั้นเหรอ”
“ครับ พี่น่ะ ชอบนักกีฬาคิมมูคยอมสุดๆ ไปเลย”
ไม่รู้ทำไมแต่คำพูดนั้นก็ทำให้อารมณ์ของมูคยอมสงบลง ตอนได้ฟังเรื่องเล่าที่ร้านเหล้าเมื่อครู่นี้ ว่าฮาจุนมีใจให้เขาตั้งแต่สมัยอยู่มัธยมต้น และเล่นฟุตบอลพร้อมกับคอยมองดูเขาไปด้วย มูคยอมก็รู้สึกแค่เพียงปลาบปลื้มใจเท่านั้น แต่ยากที่เขาจะรู้เหตุผลว่าทำไมเรื่องนี้ถึงทำให้ความรู้สึกของเขาตอบสนองออกมาไม่เหมือนกัน
เมื่อจัดท่าจัดทางให้ฮาจุนได้นอนแล้วออกมาข้างนอก คุณแม่ของฮาจุนก็กำลังรอเขาอยู่ มูคยอมก้มหัวทักทาย
“สวัสดีครับ คุณแม่”
“ขอบใจที่พามาส่งนะจ๊ะ ไม่ใช่เด็กที่จะเมาจนสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นแบบนั้นแท้ๆ วันนี้มีเรื่องอะไรกันนะ”
มูคยอมกวาดตามองดูภายในบ้านแวบหนึ่ง ห้องนั่งเล่นเก่าและคับแคบถูกจัดข้าวของอย่างเป็นระเบียบ แต่ไม่ว่าจะเช็ดถูมากเท่าไร ความขัดสนและความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตก็ไม่เลือนหายไปและยังคงทิ้งร่องรอยไว้อยู่ทั่วทุกมุม ความรู้สึกนั้นเหมือนกับอันตรายที่ไม่รู้ตัวตนซึ่งเขารู้สึกได้จากอีฮาจุนอยู่บ่อยๆ
“เดือดร้อนอะไรกัน ไม่เลยครับ”
“ช่วยรอสักเดี๋ยวได้ไหมจ๊ะ ฉันจะชงชาให้สักแก้วนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ดึกมากแล้ว เดี๋ยวผมจะกลับเลยครับ”
ทันใดนั้น น้องๆ ก็พูดขึ้นราวกับเสียดาย
“กลับเลยเหรอครับ”
“ถ้ารู้ว่าปล่อยให้แขกกลับไปเฉยๆ พี่ต้องบ่นแน่เลยค่ะ”
‘…บรรยากาศเหมือนลูกนกนี่มันเอกลักษณ์เฉพาะครอบครัวหรือไงนะ’
เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วยืนอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น คุณแม่ของฮาจุนก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“นั่งรอสักเดี๋ยวแล้วกันนะ พวกลูกน่ะเข้าห้องไปได้แล้ว ยืนจ้องคนอื่นเขาแบบนั้นมันเสียมารยาท”
“หนูจะชงชาให้เองแม่ แม่ก็นั่งรออยู่ด้วยกันนะ”
เมื่อเด็กสาวรีบร้อนไปยืนหน้าอ่างล้านจาน เด็กหนุ่มก็กัดริมฝีปากเบาๆ ราวกับว่าช้ากว่าหนึ่งก้าว แล้วจึงหันตัวไปเหมือนตั้งใจจะกลับเข้าห้องก่อน
พอนั่งหันหน้าเข้าหากันกับคุณแม่ของฮาจุนโดยมีโต๊ะทานอาหารคั่นกลาง ก็ยากที่จะสู้ใบหน้าใจดีมีเมตตาซึ่งไม่ได้พูดอะไร
ทั้งที่เขาพูดคำพูดร้ายกาจสารพัดกับลูกชายแสนล้ำค่าและกำลังจะทำเรื่องไม่ดีก่อนพามาบ้าน แต่ครอบครัวกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย แถมยังต้อนรับเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณ การได้รับการดูแลแบบนี้ช่างน่าอึดอัดและประหม่า ถ้าฮาจุนตื่นขึ้น เขาก็อาจโดนหินปาใส่แล้วไล่ตะเพิดออกไปเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้ มูคยอมทนไม่ไหวพลางพูดออกมา
“คือว่า ถ้าไม่เป็นไร ผมขอเข้าไปอยู่ในห้องโค้ชอีสักครู่หนึ่งได้ไหมครับ”
“อ้อ จะเอาแบบนั้นเหรอจ๊ะ ได้สิ เป็นเพื่อนกัน แบบนั้นน่าจะสบายใจกว่านะ”
กระทั่งคำว่า ‘เพื่อน’ ก็ยังแทงใจดำ มูคยอมรีบลุกจากเก้าอี้พลางก้มหัวขอตัวแล้วเข้าไปในห้องฮาจุนอย่างกับจะหนี เขาปิดประตูลงแล้วถอนหายใจเบาๆ ออกมาก่อน จากนั้นจึงขยับสองสาวก้าวไปนั่งลงบนเตียงที่ฮาจุนนอนอยู่ ท่าทีหลับลึกกรนครอกๆ ดูสุขสบาย
‘ทำท่าหงุดหงิดบอกอยากกลับบ้านถึงขนาดนั้น เพราะที่บ้านฉันนอนหลับไม่สบายแบบนี้หรือไง’ มูคยอมคิดแบบนั้นขึ้นมากะทันหันแล้วทำปากเบ้หนึ่งที จากนั้นก็ลุกขึ้นไปดูรอบๆ ห้อง
ข้าวของอย่างพวกเตียง โต๊ะหนังสือ ตู้หนังสือ ตู้เสื้อผ้าเล็กๆ และราวแขวนถูกจัดวางเอาไว้ ไม่มีการประดับประดาอะไรเลย เป็นห้องที่บอกว่าไร้ซึ่งการตกแต่งจะถูกต้องกว่าบอกว่าตกแต่งอย่างเรียบง่าย บนโต๊ะรกระเกะระกะเกินคาด ต่างกับโต๊ะของฮาจุนซึ่งตั้งอยู่ในบ้านของเขาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
มูคยอมไล่มือหยิบสมุดโน้ตที่เก็บไว้ในชั้นหนังสือออกมาเปิดพึ่บพั่บดูด้านใน เหมือนกับว่าส่วนใหญ่เป็นสมุดโน้ตที่เคยใช้สมัยเรียน การจดบันทึกเกี่ยวกับการรักษาอาการบาดเจ็บด้านกีฬา โครงสร้างร่างกายมนุษย์ หรือไม่ก็เรื่องโค้ชชิ่ง ถูกจดเป็นระเบียบอยู่ในสมุดโน้ตหน้าตาเหมือนเล่มที่เจ้าตัวมักจะพกไปไหนมาไหนเสมอ
“น่าเบื่ออะไรแบบนี้”
คราวนี้มูคยอมเอาแฟ้มใสแฟ้มหนึ่งออกมาจากตรงชั้นล่างของสมุดโน้ตที่มองเห็นสันแฟ้มวางเรียงรายอยู่ หน้าตาของแฟ้มที่ใช้กระดาษเขียนตัวเลขแปะไว้เพื่อระบุเล่ม ดูเหมือนเป็นพวกแฟ้มเก็บรวบรวมข้อมูล มูคยอมพลิกดูหน้ากลางๆ ตามที่มือเปิดไปเจอ
‘คิมมูคยอม รางวัลนักกีฬา EPL ในปีนี้’
ตัวอักษรขนาดใหญ่ที่โผล่มาอย่างกะทันหัน ทำให้มูคยอมชะงักมือไป
มูคยอมย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยและยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับภาพวิดีโอที่ถูกกดหยุด เขาคีบหน้าหนึ่งไว้ระหว่างนิ้วแล้วพลิกหน้าหลังเพื่ออ่านดูอย่างละเอียด หนังสือพิมพ์กีฬาที่ถูกตัดส่วนของข่าวข่าวหนึ่งออกมา ถูกติดเก็บไว้อย่างเรียบร้อยบนกระดาษสีขาว ด้านในซองพลาสติกบางใส
มันเป็นข่าวที่มีรูปถ่ายมูคยอมสวมสูทและถือถ้วยรางวัลสมัยได้รับรางวัลนักกีฬาประจำลีกเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน ส่วนเนื้อหาข่าวก็ชัดเจนอยู่แล้ว
มูคยอมพลิกหน้าซองพลาสติกใสลื่นในมืออย่างเชื่องช้า จากนั้นความเร็วในการพลิกหน้าต่อไปก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเสียงพึ่บพั่บ
สิ่งที่ถูกรวบรวมไว้ด้านในไม่ได้มีเพียงข่าวหนังสือพิมพ์อย่างเดียวเท่านั้น ทั้งนิตยสาร บทสัมภาษณ์ตามสื่ออินเทอร์เน็ต ภาพถ่ายแบบแฟชั่นหรือภาพถ่ายโฆษณา เอกสารข่าวต่างประเทศที่พรินต์ออกมา แม้กระทั่งรูปถ่ายจากปาปารัสซีจำนวนหนึ่ง รวมถึงเอกสารวิเคราะห์แนวการเล่นของกรีนฟอร์ดซึ่งมีการแนบโน้ตอะไรบางอย่างที่เขียนด้วยตัวเองเอาไว้ด้วย ทุกอย่างที่พูดมาอัดแน่นอยู่เต็มเอี๊ยด
มูคยอมเก็บแฟ้มเข้าที่เดิมแล้วเอาแฟ้มอื่นออกมา เนื้อหาด้านในเป็นแบบเดียวกัน ถ้าหากจะบอกว่าแตกต่างกันก็มีเพียงแค่อย่างเดียว คือในแฟ้มก่อนหน้านี้รวบรวมข้อมูลเมื่อห้าปีก่อนเอาไว้ แต่แฟ้มที่เขาถืออยู่ตอนนี้อัดแน่นไปด้วยข้อมูลเมื่อสามปีก่อน ไม่มีเรื่องของนักกีฬาคนอื่นเลยสักนิด ทั้งหมดมีแต่เรื่องเกี่ยวกับมูคยอมเท่านั้น
“…”
‘ทั้งหมดนี่มันอะไรกัน’
มูคยอมเงยหน้าขึ้นเบนสายตาไปทางชั้นหนังสือ แฟ้มหลากสีที่ระบุเล่มด้วยกระดาษเขียนตัวเลข เรียงรายอยู่เต็มๆ สองช่องบนชั้น พอมองดูอย่างละเอียดจึงเห็นว่าสีของกระดาษก็แตกต่างกัน และถูกวางเรียงแถวไปโดยไล่ตั้งแต่สีซีดไปจนถึงอันที่ดูใหม่มากๆ มูคยอมมองดูสันแฟ้มพวกนั้นด้วยใบหน้าแข็งทื่อ เขายืนลังเลโดยไม่แม้แต่จะคิดเปิดดูแฟ้มไหนเพิ่มอีก
‘ก๊อกๆ’
ในตอนนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น มูคยอมสะดุ้งโหยงพร้อมกับหันตัวไปราวกับคนถูกจับได้ว่าขโมยอะไรสักอย่าง จากนั้นจึงรีบร้อนเก็บแฟ้มแล้วเปิดประตู
“ดื่มชาสักหน่อยสิคะ”
เป็นน้องสาวของฮาจุน ความวิงเวียนราวถูกฟาดลงมาด้านหลังศีรษะ โหมเข้ามาภายในหัวจนมูคยอมรู้สึกมึน แต่เขาก็หาข้ออ้างให้ปฏิเสธข้อเสนอนั้นไม่ได้ มูคยอมจึงตามเธอไป
เมื่อนั่งลงหน้าโต๊ะแล้วรอครู่หนึ่ง เด็กสาวก็ถือแก้วชามายื่นให้แม่ของตัวเองก่อน จากนั้นจึงยื่นให้มูคยอม แก้วชาที่มีหูเล็กจิ๋วอยู่ในมือของเขา
“อ๊ะ!”
มูคยอมจับตรงหูแก้วเล็กจิ๋วเพื่อรับมาถือไว้ แต่แล้วนิ้วของเขาก็ลื่นจนทำให้แก้วชาเอียงอย่างรุนแรง น้ำชาในแก้วหกรดเสื้อผ้า ของเหลวสีออกทองซึ่งไม่รู้ว่าเป็นชาดำหรือชาเขียว กระจายเป็นวงบนเสื้อเชิ้ตอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าจะทำเรื่องผิดพลาดโง่ๆ ต่อหน้าคนที่เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก แต่มูคยอมก็ทำเพียงก้มลงมองเสื้อที่ถูกย้อมไปด้วยน้ำชาอย่างมึนงงเท่านั้น
“จะทำยังไงดีล่ะทีนี้ เป็นน้ำชาก็เลยน่าจะจางไม่ได้ง่ายๆ ด้วยสิ”
แม่ของฮาจุนพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ มูคยอมตั้งใจจะบอกว่าไม่ต้องกังวล แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงทำไม่ได้แม้แต่จะพูดออกมาในทันที ต้องกลืนน้ำลายลงคอแห้งผากครู่หนึ่งก่อน เขาจึงสามารถตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่สงบลงได้
“ผมไม่เป็นไรครับ”
คุณแม่ของฮาจุนอ้าปากพะงาบสองสามครั้งแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีระมัดระวัง
“นักกีฬาคิม อย่าพูดแบบนั้นเลย ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค้างบ้านเราสักคืนดีไหมจ๊ะ ช่วงนี้ฮาจุนก็ไปค้างบ้านนักกีฬาคิมบ่อยๆ วันนี้นักกีฬาคิมก็นอนที่บ้านของพวกเราสักคืนแล้วกันนะ เป็นเพื่อนของฮาจุนแล้วยังเป็นแขกคนสำคัญอีก จะส่งกลับไปทั้งอย่างนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะจ้ะ อย่างน้อยพรุ่งนี้เช้า แม่จะเตรียมอาหารเช้าให้ ทานข้าวก่อนแล้วค่อยกลับนะ นะ?”
ทันใดนั้น น้องสาวของฮาจุนก็กระซิบขึ้นมาราวกับคิดไม่ตก
“แม่ แล้วจะให้นอนตรงไหนล่ะ”
“ฮาคยองนอนห้องนั่งเล่นสักคืนก็ได้นี่ ให้เขานอนในห้องฮาคยองก็ได้”
มูคยอมที่ฟังบทสนทนาของทั้งสองอย่างงุนงงอยู่ เอ่ยปากพูดขึ้น
“ถ้างั้น… ผมจะนอนในห้องโค้ชอีแล้วกันครับ”
“ห้องฮาจุนเหรอ ตอนนี้ฮาจุนหลับไปแล้ว จะปลุกให้ลงมาจากเตียงก็ยังไงๆ อยู่นะ”
“ไม่ครับ ผมจะนอนบนพื้นครับ”
“จะให้แขกนอนบนพื้นได้ยังไงกัน ทั้งที่คนในบ้านนอนกันปกติ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”
เธอรู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะเหมาะสมสักเท่าไร แต่ในที่สุดก็ยอมฟังคำพูดของมูคยอมซึ่งเป็นแขก กางเกงกับเสื้อยืดขนาดใหญ่เกินไปที่ซื้อมาผิดไซส์จึงยังไม่มีใครได้สวมถูกนำมาให้เขา
เมื่อออกมา เสื้อผ้าของฮาจุนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อฮาคยองจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ในขณะที่เขาล้างตัวแบบง่ายๆ ในห้องน้ำ มูคยอมรู้ว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วระหว่างคนในครอบครัว อีกทั้งก็รู้ว่าเขาไม่สามารถยืนกรานว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฮาจุนได้ แต่หว่างคิ้วของมูคยอมก็ยังย่นเข้าหากันเล็กน้อย
เมื่อน้องสาวเอาเครื่องนอนสำรองมาให้ ทางน้องชายก็ปูมันลงตรงด้านล่างของเตียงนอน ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะทำตามคำสั่งของแม่แต่สีหน้าก็ยังคงเคอะเขิน มูคยอมพอเข้าใจในความรู้สึกนั้น เป็นเรื่องน่าอายที่ทำให้เขาได้เห็นการเป็นอยู่ในบ้านหลังเก่า
ตอนนี้มูคยอมอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวขนาดสามร้อยพย็องและมีรถขับกว่ายี่สิบคัน แต่ตอนเด็กเขาก็เคยนอนรวมกับคนเป็นสิบคนในห้องเดียว และหลังจากออกมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กก็เคยปูผ้าห่มนอนในห้องเดี่ยวคับแคบที่ไม่มีแม้แต่ห้องครัวอยู่ทุกคืนวัน ความขัดสนไม่ได้เป็นเรื่องที่มูคยอมไม่คุ้นเคยหรือไม่สะดวกใจเลยแม้แต่น้อย ทว่าเด็กทั้งสองกลับไม่รู้ไปจนถึงเรื่องแบบนั้น
“ถ้างั้นก็ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
“ขอบใจนะ”
“คือว่า ให้ผมเรียกว่าพี่ได้ไหมครับ”
เด็กที่ชื่อฮาคยองรีบถามขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะปิดประตู มูคยอมหัวเราะหึ พร้อมกับพยักหน้า
“ได้สิ”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่มูคยอม!”
น้ำเสียงร่าเริงของเด็กที่บอกลาอย่างแข็งขันแล้วออกจากห้องไป ได้ยินอย่างชัดเจนแม้ประตูปิดลงแล้ว ตอนนั้นมูคยอมถึงผ่อนคลายความเกร็งลงได้ เขาพรูลมหายใจยาวออกมา
มูคยอมยืนนิ่งกลางห้องเหมือนคนหลงทางครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบไปทางเตียงที่เจ้าของห้องนอนอยู่แล้วไปยืนตรงด้านหน้าชั้นหนังสืออีกครั้ง แทนที่จะเอนตัวนอนลงบนผ้าห่มซึ่งถูกปูไว้ให้สำหรับแขก
…พอจะค้นแบบจริงจังก็รู้สึกผิดเพราะจิตสำนึกเล็กๆ แต่อย่างไรซะ เขาก็ลงมือทำเรื่องนี้ไปแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะปิดหูปิดตา มูคยอมลากเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าชั้นหนังสือ เขาเอาแฟ้มติดกระดาษที่ดูเก่าที่สุดจากด้านซ้ายสุดของชั้นล่างออกมาเป็นแฟ้มแรก
‘คิมมูคยอม นักเรียนมัธยมต้นผู้มีอนาคตไกล ในอนาคตจะได้เป็นนักฟุตบอลของเกาหลีไหมนะ?’
มันเป็นข่าวสมัยก่อนซึ่งไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของเขาเลย ถึงแม้ว่าเขาจะค่อนข้างเป็นคนตรวจสอบสื่อต่างๆ อย่างละเอียดก็ตาม เมื่อเห็นภาพตัวเองตอนอยู่ชั้นมัธยมต้น ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มจะถูกผู้คนพูดถึงกันเยอะและเริ่มจะได้เห็นหน้าค่าตาตามข่าวโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
จากมุมมองของตัวเองในตอนนี้ที่อายุยี่สิบหกปีแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีรังสีความอายุน้อยแต่กลับมีสีหน้าหยาบกระด้างกว่าตอนนี้เสียอีก เป็นเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนไม่ฟังใครพูดอะไรเลยจนน่าชัง ในรูปเด็กหนุ่มกำลังเตะลูกบอลอยู่
ช่วงนี้คงไม่มีเอกสารที่น่าเก็บมากมายนัก หรือไม่ก็คงไม่ใช่ตอนที่ฮาจุนตัดสินใจว่าจะรวบรวม ข้อมูลต่างๆ ในสมัยมัธยมต้นซึ่งถูกรวมมาไว้ด้วยกันจึงดูจบลงในเวลาไม่นาน มีแค่พวกบทสัมภาษณ์สั้นๆ หรือไม่ก็ภาพท่าทางมีชีวิตชีวาสมัยอยู่ทีมเยาวชน เขาจำไม่ค่อยได้ แต่ถ้าดูจากคำพูดของฮาจุนก็หมายความว่า ตอนที่อีกฝ่ายเจอกับเขาครั้งแรกก็เป็นช่วงประมาณนี้
สื่อต่างๆ ถูกตัดมาเก็บสะสมไว้อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ข้อมูลตั้งแต่ปีถัดจากนั้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และสื่อจำนวนมหาศาลถูกตัดมารวบรวมไว้ทั้งที่เป็นเวลาภายในเดือนเดียว
ทั้งเรื่องนักกีฬาวัยมัธยมปลายผู้มากด้วยพรสวรค์ เรื่องการแข่งกันยื่นข้อเสนอชวนเข้าทีมอย่างดุเดือดจากทีมมืออาชีพ เรื่องทีมแรกผู้โชคดีที่เคยเป็นทีมตกชั้นแต่พอมูคยอมเข้าสังกัดเพียงหนึ่งปีก็ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกหนึ่ง และปีถัดไป มูคยอมก็ไปสังกัดในกรีนฟอร์ดซึ่งเป็นต้นสังกัดในปัจจุบันอย่างประสบความสำเร็จ
เรื่องค่าตัวในการย้ายสังกัดซึ่งไม่มีใครเทียบได้จากในประวัติศาสตร์นักกีฬา ไม่ใช่แค่นักกีฬาประเทศเกาหลีแต่ทั่วทั้งเอเชีย สื่อที่ถูกรวบรวมมาในช่วงนั้นเริ่มมีข่าวเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของมูคยอมแทรกเข้ามาด้วย
ตอนให้สัมภาษณ์กับจุนซอง เรื่องคิมมูคยอมเผยความซาบซึ้งใจต่อผู้จัดการทีม ข่าวฉาวแรกที่มีการเผยแพร่รูปอันไม่น่ายินดีสักเท่าไร เนื่องจากเขาไม่สามารถรับมืออย่างเหมาะสมได้เพราะเพิ่งเคยเป็นครั้งแรก กระทั้งข่าวที่คาดคะเนว่าเขาจะสามารถปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างราบรื่นหลังย้ายสังกัดไปหรือไม่ ซึ่งมีทั้งคำสาปแช่งและคำพูดในแง่ดีปะปนกันไป
โดยเฉพาะข่าวนั้น มันถูกขีดเส้นใต้ในแต่ละย่อหน้าราวกับเจ้าตัวถือปากกาพร้อมกับอ่านไปด้วย สายตาของมูคยอมไล่มองข้อความสั้นๆ อยู่พักหนึ่ง ข้อความนั้นถูกเขียนหวัดๆ ไว้ราวกับจดโน้ตหรือไม่ก็แค่ขีดเขียนเล่นลงตรงที่ว่าง
[‘นายทำได้ คิมมูคยอม สู้เขา’]
แฮตทริกแรกตอนสังกัดกรีนฟอร์ด บทความเกี่ยวกับคิมมูคยอมซึ่งได้กลายเป็นผู้เล่นหลักประจำทีมอย่างเต็มตัว ตอนได้รับชัยชนะในเอเชียนเกมส์ ความขัดแย้งระหว่างเขากับผู้จัดการทีมคนใหม่ พิธีมอบรางวัล แล้วก็ข่าวฉาวอีกแล้ว โกล ตอนเป็นเรื่องวุ่นวายจากการทะเลาะกันเพราะเมาเหล้า โกล ภาพตอนโกรธเพราะได้รับใบแดง ปาร์ตี้กับข่าวน่าอับอาย โกล คิมมูคยอมผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลนานาประเภท แล้วก็อีกมากมายหลายอย่าง…
น่าจะเป็นข้อมูลที่ฮาจุนเองก็รวบรวมมาในขอบเขตที่ตัวเองสามารถหาได้ มูคยอมก็ตรวจสอบและเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่พอถูกรวบรวมเอาไว้ด้วยกันเข้าจริงๆ มูคยอมก็ถึงกับตกใจขึ้นมาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ว่าบนโลกนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขามากมายขนาดนี้เลยอย่างนั้นเหรอ
ตั้งแต่ช่วงราวๆ มัธยมสามจนถึงตอนนี้ ชีวิตของผู้ชายที่ชื่อว่าคิมมูคยอมถูกย่อส่วนแล้วเก็บรักษาไว้อย่างทะนุถนอมในห้องเล็กๆ ราวกับสมบัติที่ถูกนำมาจัดแสดงอย่างลับๆ ในพิพิธภัณฑ์โดยไม่มีใครรู้เลยแม้แต่คนเดียว ไม่สิ มองข้ามเรื่องชีวิตของคิมมูคยอมไป นี่ดูเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งในโลกที่คนที่ชื่อว่าอีฮาจุนสร้างขึ้นเป็นเอกเทศเลยด้วยซ้ำ
มูคยอมมองไปกลางอากาศพร้อมกับจมอยู่ในห้วงความคิดครู่หนึ่ง เขายกมือขึ้นเพื่อเอาแฟ้มสุดท้ายออกมา ตอนนั้น เขาก็พบกับแฟ้มที่มีเพียงหน้าเดียว ซึ่งบางเสียจนเมื่อครู่นี้ไม่เห็นอยู่ในสายตา มันแทรกอยู่ท่ามกลางแฟ้มพลาสติกใสเล่มหนาราวกับซุกซ่อนเอาไว้ มูคยอมเปิดมันออกดู
ด้านในไม่ใช่สื่ออย่างพวกข่าวหรือรูปถ่ายต่างกับที่เห็นมาจนถึงตอนนี้ แต่มีปึกเอกสารสีขาวดำถูกสอดเอาไว้ หากดูตามหัวข้อแล้วก็คงจะเป็นหนังสือสัญญา
‘Tours FC’
มูคยอมอ่านลายมือที่ปนอยู่กับข้อความซึ่งถูกเขียนไว้แถวบนสุด และถึงแม้ว่าไม่ได้อ่านเนื้อหา เขาก็รับรู้อย่างทะลุปรุโปร่งในทันทีว่าเป็นเอกสารอะไร สโมสรฟุตบอลตูร์ ชื่อทีมฟุตบอลของฝรั่งเศส
มูคยอมกวาดตาอ่านลงมาอย่างละเอียดแล้วเก็บมันกลับเข้าที่เดิมอย่างระมัดระวัง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่สั้นๆ จากนั้นก็ลุกจากที่แล้วเดินไปทางเตียงนอน
ฮาจุนนอนหันหลังใส่กำแพง มูคยอมก้มลงมองภาพด้านข้างของฮาจุนโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นจึงค่อยๆ ค้อมตัวราวกับจะนอนคว่ำ แล้วหนุนใบหน้าลงบนไหล่ของอีกฝ่ายซึ่งนอนตะแคงข้าง