Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 87
‘ปวดหัวชะมัด…’
เป็นความคิดแรกของฮาจุนในทันทีที่ลืมตาตื่น นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่เขาดื่มเหล้าหนักขนาดนี้ สมัยเพิ่งเข้ามาใหม่ พวกรุ่นพี่เคยจ้องตาเป็นมัน บีบบังคับให้ดื่มเหล้าเพื่อจะทำให้เขาเมา แต่เขาก็ประจบรุ่นพี่พวกนั้นแล้วหนีรอดออกมาได้
นี่คืออาการเมาค้างอย่างนั้นเหรอ
แม้ว่าจะนอนนิ่งอยู่ แต่ในหัวกลับสั่นสะเทือนเหมือนมีใครใช้กำปั้นทุบตึงๆ แค่ไม่พูดเรื่องคิมมูคยอมขึ้นมาก็คงไม่ดื่มเหล้าเป็นน้ำถึงขนาดนั้นแล้วแท้ๆ เมื่อวานเขาตระหนักได้ถึงความรู้สึกที่ว่า ดื่มนิดเดียวไม่มีอยู่จริงขึ้นมาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ที่เขายกแก้วกระดกเข้าปากโดยไม่สนใจความตั้งใจของตัวเอง
ความทรมานอันไม่คุ้นเคยทำให้ความขุ่นเคืองพลุ่งพล่านขึ้นมา คิมมูคยอมคือตัวร้าย อาการปวดหัวนี่ก็เป็นเพราะคิมมูคยอมทั้งนั้น ฮาจุนตะแคงข้างแล้วยกมือขึ้นตบปุๆ ลงตรงที่ว่างด้านข้างของเตียงที่นอนคนเดียวอย่างไร้เหตุผล เตียงเดี่ยวที่มักจะนอนคนเดียวอยู่เสมอ ในวันนี้กลับรู้สึกว่ามันโล่ง เป็นความรู้สึกว่าสิ่งที่ควรจะต้องอยู่ตรงนี้กลับหายไป
“…”
ฮาจุนไม่สามารถแยกแยะอย่างชัดเจนได้ว่าตั้งแต่ตรงไหนถึงตรงไหนคือความจริงและความฝัน เรื่องที่มูคยอมมาที่ร้านเป็นความจริงหรือเปล่านะ
เขาจำได้ว่าจองคยูพูดแก้ตัวอย่างลุกลี้ลุกลน เพราะรู้สึกเหมือนหลงกลไปตามแผนที่อีกฝ่ายวางไว้ เขาจึงลุกขึ้นจากโต๊ะโดยไม่แม้แต่จะบอกลา แล้วตั้งใจจะออกไปนอกร้าน แต่รู้สึกว่าตัวเองจะล้มลงไป… เขาถูกพาตัวขึ้นรถมูคยอมแล้วไปที่บ้านของเจ้าตัว จนถึงตอนนั้นเป็นความจริงอย่างแน่ชัด ความทรงจำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หมุนติ้วตีกันจนสับสนไปหมด
เขามาจนถึงบ้านได้ยังไงนะ เมื่อคืนก็เหมือนจะฝันว่ามูคยอมอยู่ในห้องด้วย เมื่อมองดูเวลาจึงพบว่าอีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่มินคยองจะเข้ามาปลุกเขาแล้ว ฮาจุนดันตัวลุกขึ้นด้วยความรู้สึกคอแห้งแล้วจึงเปิดประตู
“พ่อคุณ ทำไมถึงได้ม้วนไข่ได้สวยขนาดนี้ล่ะเนี่ย เก่งกว่าแม่อีกนะ”
“ผมค่อนข้างจะมีฝีมืออยู่บ้างน่ะครับ”
“เฮ้อ ฮาจุนน่ะทำอะไรแบบนี้ไม่ได้เลย นักกีฬาคิมดูไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ฝีมือก็ดูละเอียดประณีตดีจริงๆ”
‘ยังฝันอยู่อีกเหรอ’
ฉากในห้องครัวที่เข้ามาสู่สายตามันผิดปกติมากจนเกินไป แม้เปิดประตูห้องออกแล้ว แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถก้าวเท้าออกมาได้ เมื่อยืนอยู่หลังกรอบประตูอย่างมึนงง ฮาคยองซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวก็ส่งเสียงทักทายยามเช้ามาให้
“พี่! ตื่นแล้วเหรอ โอเคดีไหม”
ในขณะที่ฮาจุนได้แต่ทำตาโตและไม่สามารถแม้แต่จะตอบออกมาได้
มูคยอมก็หันหลังมามอง ส่วนแม่ก็หันมาตามกัน
“ฮาจุน ท้องไส้โอเคใช่ไหม เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ลูกถึงได้ดื่มเยอะขนาดนั้น”
“…อ้อ เปล่าครับ ไปๆ มาๆ มันก็เพลิน”
“เมื่อวานนักกีฬาคิมแบกลูกมาส่งนะ แม่จะให้กลับไปเฉยๆ ก็ไม่สบายใจ
เลยรั้งไว้ให้นอนอยู่บ้านเราหนึ่งคืน ตั้งใจว่าจะทำอาหารเช้าให้กินสักมื้อแล้วค่อยกลับ แต่ไปๆ มาๆ นักกีฬาคิมดันได้ช่วยเตรียมมื้อเช้าไปด้วยซะงั้น”
เธอหัวเราะราวกับเคอะเขิน แต่ก็เหมือนจะเพลิดเพลินไปกับสถานการณ์ที่มีคนดังมาทอดไข่ม้วนอยู่ในห้องครัวบ้านตัวเอง ฮาจุนพอจะเข้าใจความรู้สึกนั้น
แต่กลับส่งยิ้มหรือตอบกลับไปไม่ได้ง่ายๆ
“เอ้า พี่ ดื่มนี่สิ”
“อ้อ อือ ขอบใจนะ”
ฮาคยองยื่นแก้วที่บรรจุน้ำเต็มปริ่มมาให้ ฮาจุนรับมาดื่มในทันทีเพราะคอแห้งอยู่พอดี น้ำเย็นสดชื่นและหวานหอมไหลอึกๆ ลงคอไป
‘ฮ้า’ เมื่อเขาพรูลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วดื่มหมดทั้งแก้วในชั่วพริบตา
ฮาคยองก็รับแก้วกลับมาอีกครั้งพร้อมพูดขึ้น
“เมื่อกี้พี่มูคยอมชงน้ำผสมน้ำผึ้งไว้ให้ บอกว่าเอาไว้ให้พี่ดื่มตอนตื่นแล้วน่ะ”
“…พี่ไปอาบน้ำแล้วเดี๋ยวออกมานะ”
ความรู้สึกดีที่ได้ดับกระหาย แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกราวกับดื่มยาพิษในชั่วพริบตา
ฮาจุนเข้ามาในห้องน้ำอย่างว่องไวแล้วเริ่มแปรงฟันเป็นอย่างแรกเพื่อตั้งสติ เขารีบอาบน้ำจนเสร็จ จากนั้นก็วักน้ำเย็นล้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่พักใหญ่ ฮาจุนจ้องมองใบหน้าที่มีน้ำหยดติ๋งๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในกระจก เขาไม่สามารถทำอะไรกับแก้มที่ร้อนวูบวาบแม้ล้างน้ำเย็นไปแล้วได้ ในที่สุดจึงยกสองมือขึ้นปิดมันไว้
ถึงแม้ว่าในความทรงจำจะยังคลุมเครือราวกับมีม่านมาบังไว้ แต่ฮาจุนก็นึกคำพูดบางส่วนที่ได้ยินและพูดเมื่อคืนขึ้นมาได้ทีละนิด
‘ทำสิ ทำเลย ขึ้นไปถึงบ้าน…เพื่อทำอะไรล่ะ ทำๆ ที่นี่ไปเลยสิ’
‘ตามที่นาย ต้องการ… ทำเลยสิ เอาเลย’
“เฮ้อ…”
ลมหายใจหนักๆ ถูกพ่นออกมาราวกับโลกจะแตก ฮาจุนรู้สึกอยากขังตัวเองไว้ในห้องน้ำตลอดไป แต่เวลาเข้างานอันไม่น่าพอใจกลับใกล้เข้ามาทุกชั่วขณะ ฮาจุนสวมเสื้อผ้าแล้วออกมานอกประตู
ในระหว่างอาบน้ำ กระทั่งมินคยองก็มารวมตัวในนั้นแล้วด้วย คนถึงสี่คนรวมชายหนุ่มรูปร่างใหญ่กว่าเกณฑ์ไม่น้อย อัดกันอยู่ในครัว ทำให้ห้องครัววุ่นวายกว่าปกติสองสามเท่า จนเขาไม่กล้าที่จะไปแทรกกลางวงนั้นเลย จู่ๆ มินคยองก็พูดขึ้นกับมูคยอทราวกับนึกขึ้นมาได้
“จริงสิ นักกีฬาคิมมูคยอม ครั้งก่อนขอบคุณสำหรับของขวัญนะคะ”
“ของขวัญเหรอ”
“ตุ๊กตาน่ะค่ะ พี่บอกว่านักกีฬาคิมมูคยอมเป็นคนให้นะ”
มูคยอมทำสีหน้าประหม่า ถึงไม่ใช่อย่างนั้นก็ทั้งปวดหัวแล้วก็อับอายจะแย่อยู่แล้ว หัวข้อสนทนาที่ได้ยินทันทีที่ออกมาจากห้องน้ำยังจะช่วยเสริมทัพเข้าไปอีก
“มินคยอง ต้องรีบไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ รีบกินข้าวกันเถอะ”
หากปล่อยให้คุยกันต่อไปก็จะมีเรื่องอะไรถูกยกมาพูดบ้างก็ไม่รู้ ฮาจุนจึงเดินเข้าไปตัดบทสนทนา
“พี่ วันนี้จะไปทำงานได้เหรอ ทำไมดื่มเหล้าเยอะขนาดนั้นล่ะ”
“พอได้ทำงานไปเรื่อยๆ ก็จะมีวันแบบนั้นบ้างแหละน่า”
อาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้ถูกยกขึ้นมาวางเรียงบนโต๊ะ ในระหว่างนั้น แม่ก็ตักข้าวไปพร้อมๆ กับคะยั้นคะยอมูคยอม
“นักกีฬาคิม คราวนี้มานั่งตรงนี้สิ แม่ตั้งใจจะเตรียมอาหารเช้าให้แท้ๆ แต่ดันให้นักกีฬาคิมทำงานหนักซะได้”
อาหารเช้าถูกจัดขึ้นโต๊ะอย่างเพียบพร้อมกว่าในเวลาปกติ แบบที่มองดูก็รับรู้ได้ว่ามีแขกมา มูคยอมจับช้อนขึ้นแล้วเริ่มทานอาหาร ฮาจุนลืมความอับอายไปชั่วขณะแล้วจ้องมองมูคยอมซึ่งกำลังทำแบบนั้น
“เป็นไงบ้างจ๊ะ ถูกปากไหม”
“อร่อยครับ ช่วงนี้ผมไม่อยากอาหารก็เลยกังวลอยู่นิดหน่อย แต่เพราะคุณแม่ก็เลยดูเหมือนว่าจะกลับไปเป็นปกติเต็มร้อยเลยครับ”
“ปากหวานเหมือนกันนะเนี่ย ทานเยอะๆ นะจ๊ะ”
‘แม่ว่าใครปากหวานนะ’ ฮาจุนตะลึงจนเกือบจะหัวเราะออกมา บอกว่าไม่ชอบการใช้มารยาขึ้นสมองแล้วก็ว่านู่นนี่อยู่ทุกครั้ง แต่วันนี้กลับสวมบทผู้เชี่ยวชาญในการใช้มารยาเฉยเลยนะ
ยังไงก็ตาม ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คำที่พูดไปตามมารยาท อีกฝ่ายกำลังกินอาหารได้ดีเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ เพราะรู้ว่าเรื่องที่อีกฝ่ายกินอะไรไม่ได้ในช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก ฮาจุนถึงถอนหายใจด้วยความผ่อนคลายขึ้นมาในใจเพราะท่าทางนั้นด้วย
“ฮาจุนกินข้าวไหวไหม ซดน้ำซุปสักช้อนสิ”
“อื้อ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกิน”
แม้พูดแบบนั้นแต่ท้องไส้ก็ปั่นป่วนเพราะอาการเมาค้าง ฮาจุนจึงแกล้งทำเป็นค่อยๆ กินพร้อมกับกวาดตามองดูสถานการณ์บนโต๊ะไปด้วย เห็นได้ชัดว่าครอบครัวทุกคนชอบมูคยอมกันหมด
คิดดูแล้ว คิมมูคยอมกับแม่ก็เคยคุยโทรศัพท์กันสองสามครั้ง มินคยองซึ่งได้รับตุ๊กตามาเป็นของขวัญก่อนจะได้ทักทายกันอย่างจริงจังย่อมเป็นมิตรกับมูคยอมอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดอะไร ส่วนฮาคยองก็ต้องเริงร่าอย่างแน่นอน เพราะเจ้าตัวมีความสนใจกับนักกีฬาดาวเด่นเป็นอันดับหนึ่ง
แทบจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจอธิบายได้ ว่ามูคยอมก็น่าจะไม่ได้ตั้งใจแต่สถานการณ์กลับกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน ความเวิ้งว้างท่ามกลางกลุ่มคนมากมายหมายถึงความรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ
“ไปแล้วนะคะ”
“พี่มูคยอม! คราวหน้าก็มาเล่นอีกนะครับ”
เมื่อส่งสองแฝดไปแล้ว ฮาจุนก็ยืนอยู่ข้างมูคยอมตรงทางเข้าบ้าน ไม่ได้ไปทำงานพร้อมกันเป็นครั้งแรก แต่พอสถานที่ที่จะออกไปทำงานไม่ใช่บ้านของมูคยอม แต่เป็นบ้านของตัวเอง ฮาจุนจึงรู้สึกเขินอายอย่างประหลาด แม่ออกมาบอกลาถึงตรงประตูบ้าน
“ไปดีๆ นะจ๊ะ ไว้มาใหม่ละ”
“ครับ ไว้พบกันอีกนะครับ”
‘อีกที่ว่านั่นน่ะคือตอนไหน เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองแล้ว’
ถึงแม้จะคร่ำครวญอยู่ในใจแต่ฮาจุนก็ทำเป็นไม่ได้รู้สึกอะไรพร้อมกับก้าวเดินออกมา พวกเขายืนเรียงกันในลิฟต์ ฮาจุนก้าวออกจากลิฟต์โดยจ้องมองไปทางด้านหน้าเพียงด้านเดียวเท่านั้น เมื่อเขาหมุนตัวเดินไปตรงทางลัดที่จะทะลุไปเจอป้ายรถบัส มูคยอมจึงพูดขึ้น
“ฉันจอดรถไว้ตรงลานจอดรถด้านโน้น”
“นายขับรถไปเถอะ”
ฮาจุนเร่งฝีเท้าโดยไม่แม้แต่จะหันมามองด้านหลัง เขาเดินไปตามทางที่มักไปเป็นประจำแล้วหยุดยืนอยู่ตรงป้ายรถบัส ผ่านไปได้ไม่นานก็มีเงาคนสูงใหญ่ปกคลุมลงมาด้านข้างอย่างฉับพลัน เมื่อหันหน้าไป คิมมูคยอมที่เขาคิดว่าน่าจะขับรถหรูไปทำงานแล้ว กลับยืนอยู่ข้างๆ และเหลือบตาลงมองมาทางเขาราวกับรับรู้ถึงสายตาของเขาด้วย
ฮาจุนขมวคิ้ว วันนี้รถบัสมาถึงตรงเวลาพอดิบพอดีโดยไม่ล้าช้าเลยแม้แต่วินาทีเดียว เมื่อฮาจุนยืนกลุ้มใจอยู่ว่าจะขึ้นดีไหม คนขับรถที่เจอกันทุกเช้าก็เร่งเขา
“ไม่ขึ้นเหรอครับ”
“…ขึ้นครับ”
ฮาจุนขึ้นไปยืนบนรถบัสพลางสแกนบัตรโดยสาร รถบัสสายที่ฮาจุนนั่งไปทำงานว่างโล่ง เมื่อมูคยอมตามหลังขึ้นมา คนขับก็เบิกตากว้างแล้วกะพริบตาปริบๆ เพราะคิดว่าตัวเองมองถูกหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงดังวุ่นวายอะไรขึ้นมาเป็นพิเศษ
ชายหนุ่มผู้ดูเหมือนกับชิ้นส่วนที่ถูกจับมาวางอย่างไม่เข้ากันบนรถโดยสารประจำทาง ก้าวฉับๆ ในท่าทางที่เหมือนหัวจะชนกับเพดานรถ มานั่งลงตรงที่นั่งด้านหลังของฮาจุนผู้ซึ่งนั่งอยู่บนเบาะสำหรับนั่งคนเดียว ฮาจุนเพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่างเท่านั้น ไม่แม้แต่จะหันไปมองอีกฝ่าย ราวกับคนที่ขึ้นรถมาเป็นเพียงคนไม่รู้จัก ‘บรื้นนน’ รถบัสเคลื่อนตัวออกไปพร้อมกันกับเสียงเครื่องยนต์กระหึ่ม
ทิวทัศน์ที่มองเห็นนอกหน้าต่างรถ เป็นเฉกเช่นเดิมจนน่าเบื่อ แต่เพราะชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงเบาะด้านหลัง รถบัสที่นั่งไปทำงานจึงกลายเป็นพื้นที่ที่ขัดกับชีวิตประจำวันของเขาไปโดยสิ้นเชิง เมื่อขับผ่านเขตที่มีร่มเงา นอกหน้าต่างก็มืดลง แล้วกระจกที่ดำมืดขึ้นก็สะท้อนให้เห็นภาพภายในรถโดยสาร ฮาจุนตั้งใจว่าจะไม่ทำแบบนั้นแต่สายตาของเขากลับเหลือบไปมองด้านหลังโดยไม่รู้ตัว และสบตาเข้ากับมูคยอมซึ่งกำลังมองมาข้างหน้าผ่านหน้าต่างเช่นเดียวกัน
เขาชะงักไปด้วยความตกใจแล้วหันกลับมาด้านหน้าดังเดิม ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องหลบตามูคยอมราวกับคนมีชนักติดหลังแบบนี้ แต่ความขัดเขินกลับถาโถมเข้ามาอยู่เรื่อยก็เลยช่วยไม่ได้
แค่ตอนกินอาหารเช้า ฮาจุนก็นึกถึงชิ้นส่วนความทรงจำของเมื่อคืนวาน ที่ส่วนใหญ่เคยพร่าเลือนและกระจัดกระจาย ขึ้นมาในหัวได้ทีละนิด
‘ถ้างั้น… ชอบนะ’
‘อีฮาจุน ฉันชอบนาย ชอบจริงๆ มากๆ’
…ไม่หรอกน่า มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ
พอคิดได้แบบนั้นความรู้สึกตื้นเขินก็เพิ่มมากขึ้น คิมมูคยอมทำถึงขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ท่ามกลางความฝันที่ได้ยินว่าชอบจากเขา ไม่เคยไม่ชอบที่มีคนมาบอกว่านิสัยดีนะแต่ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ใช่ว่าข้างในจะไม่รู้สึกอะไร น่าอายชะมัด
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงที่เขานอนห้องเดียวกันกับมูคยอม แต่ไม่มีทางที่มันจะเป็นความจริงทุกเรื่องไปได้หรอก
ในขณะที่กำลังคิดอย่างใจลอย เขาก็ลืมที่จะกดกริ่งลงรถ ฮาจุนตกใจไม่น้อยอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วยกมือขึ้นมา แต่มือใหญ่กลับโฉบลงบนกริ่งก่อน
ผ่านไปไม่นาน รถบัสก็หยุดตัวลง คราวนี้ฮาจุนก็ลงมาจากรถอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่ามูคยอมกำลังตามมาด้านหลังโดยห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากพูดด้วยหรือหันกลับไปมองราวกับเดินอยู่กับมนุษย์ล่องหน แล้วดึงดันที่จะมองไปเพียงแค่ด้านหน้าพร้อมทั้งเร่งฝีเท้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามฝึกซ้อม
“ฮาจุน!”
ทันทีที่เข้ามาในตึก ชายร่างสูงก็รีบร้อนเข้ามาหาฮาจุนราวกับกำลังรออยู่ตลอด
วันนี้ถึงแม้จะเห็นจองคยูแต่ฮาจุนก็ไม่มีรอยยิ้มใจดี เมื่อเหลือบตามองด้วยสีหน้าบึ้งตึง จองคยูจึงประกบมือเข้าหากันด้วยสีหน้าพะวักพะวน
“ฮาจุน ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นนะ แค่อยากให้เราสามคนได้นั่งใช้เวลาด้วยกันสักครั้งเท่านั้นเอง ไม่มีมีความตั้งใจอย่างอื่นเลย”
เมื่อวานเขาโกรธเพราะรู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ย แต่เมื่อสร่างเมาและสติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วนเหมือนในตอนนี้ เขาก็รับรู้ได้โดยที่จองคยูไม่ต้องบอกอยู่แล้วว่าเจ้าตัวไม่มีทางที่จะจงใจทำแบบนั้น เพราะก่อนจะไปนั่งดื่มเหล้าด้วยกัน จองคยูไม่รู้เรื่องที่เขาชอบมูคยอม
ถึงอย่างนั้น ที่เขาทำท่าทีบึ้งตึงอยู่เรื่อยไม่ได้เป็นเพราะโกรธแค้นจองคยูหรือมูคยอม แต่เป็นเพราะเขาอายมากกว่า อย่างแรกเลยคือ เขาไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ที่แสดงภาพลักษณ์ตอนเมาถึงขนาดนั้นให้คนอื่นเห็น
มูคยอมเองก็คงเข้ามาตรงทางเข้าแล้ว สายตาของจองคยูจึงมุ่งตรงไปทางด้านหลังของฮาจุน จากนั้นก็ถามขึ้น
“สองคนมาด้วยกันเหรอ”
“ทั้งสองคนรีบไปเปลี่ยนเสื้อแล้วออกมานะ”
ฮาจุนอึดอัดกับการอยู่ตรงกลางระหว่างผู้ชายตัวโตอย่างกับสัตว์สองคน เพราะอย่างนั้นจึงรีบจบบทสนทนาแล้วเดินตรงไปยังออฟฟิศอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ปิดประตูลง ฮาจุนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาโดยอัตโนมัติ เขาเดินโซเซไปเตรียมของที่ต้องใช้ในการฝึกซ้อมตรงที่ของตัวเองด้วยความรู้สึกเหมือนกลายเป็นซอมบี้
ความร้อนบนใบหน้าที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากความอับอายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากอาการเมาค้างที่ประสบครั้งแรกในชีวิต ไม่ยอมที่จะเย็นลงง่ายๆ ในหัวก็ตื้อไปหมด ส่วนร่างกายก็รู้สึกวิงเวียนอ่อนๆ อยู่ตลอดจึงรู้สึกตัวหนักอึ้งราวกับบวมน้ำ ฮาจุนสาบานว่าต่อจากนี้จะไม่ดื่มเหล้าหนักเกินไปอีกเป็นอันขาด
เป็นครั้งแรกที่ตระหนักขึ้นมาว่าอากาศแจ่มใสกับพระอาทิตย์สว่างเจิดจ้าไม่สามารถทำให้เขาทรมานได้ ถ้าเป็นตอนปกติ ฮาจุนจะรู้สึกว่าแสงแดดสดใสมันร้อนเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว ราวกับพิษร้ายที่ถูกดูดเข้าร่างกายของผีดูดเลือดที่ออกมาข้างนอกในตอนกลางวัน ในขณะที่พวกนักกีฬากำลังวิ่งอยู่ ฮาจุนก็รอให้พวกเขาวิ่งเสร็จไปพร้อมกับๆ กับอ่านโน้ตที่ไม่มีอะไรจะจดบันทึกแล้ว จากนั้นช่วงเวลาที่น่าหนักใจที่สุดก็เวียนกลับมา
“อ้าขาออก”
เมื่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง มูคยอมก็นั่งอ้าขา ฮาจุนเองก็นั่งหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายแล้วจับมือดึงมา เสียงนับเลขที่ไม่จริงจังนัก ถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงไร้โทนสูงต่ำ ราวกับกราฟที่ถูกเขียนเป็นเส้นตรงในแนวนอน
“หนึ่ง สอง สาม สี่”
“โค้ชอี”
“เงียบซะ ห้า หก เจ็ด แปด”
ถัดจากนั้น ฮาจุนก็อ้อมไปด้านหลังอีกฝ่ายแล้วดันบริเวณเอวไปด้านหน้า แล้วก็ให้อีกฝ่ายนอนลงพร้อมคลายกล้ามเนื้อขา อีกทั้งยังพลิกตัวแล้วคลายกล้ามเนื้อแขนกับไหล่ด้วย
มูคยอมกินอาหารเช้าได้อย่างเหมาะสม วันนี้จึงดูเหมือนว่าน่าจะเพิ่มการออกกำลังกล้ามเนื้อได้หน่อย ฮาจุนสั่งให้อีกฝ่ายออกกำลังกล้ามเนื้อด้วยมือเปล่าอย่างเช่นวิดพื้นหรือวิ่งอยู่กับที่แบบเต็มจำนวน เดิมทีมูคยอมเป็นคนเรี่ยวแรงดีอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้น ต่อให้ร่างกายอ่อนเปลี้ยอยู่พักหนึ่ง แต่ความแข็งแรงของร่างกายโดยพื้นฐานก็คงไม่ได้ลดน้อยลงไปมากมายเท่าไรนัก ค่อยโล่งอกหน่อย
ถึงเวลาพักกลางวันแล้ว แต่ฮาจุนยังคงรู้สึกพะอืดพะอมอยู่นิดหน่อยจึงไม่อยากอาหาร ฮาจุนไม่ไปกินข้าวแล้วนั่งอยู่ตรงโต๊ะในออฟฟิศ เขามองเหม่อไปตรงกำแพง จากนั้นก็เอนศีรษะพิงพนักแล้วหลับตาลง
…ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวมันเป็นอะไรยังไง และเขาต้องทำอะไรยังไง
คิดดูแล้ว เขาตั้งใจจะบอกมูคยอม ว่าให้เรากลับมามีความสัมพันธ์แบบคู่นอนตามที่มูคยอมต้องการ เมื่อนึกถึงการตัดสินใจนั้น ชิ้นส่วนความทรงจำบางอย่างของเมื่อคืนนี้ ที่เคยถูกบดบังไว้ด้วยม่านที่สร้างขึ้นจากแอลกอฮอล์ ก็โผล่พรวดขึ้นมาอีกครั้ง
‘คราวหน้าเหรอ เฮ้อ… เมื่อไร ยั่วคนอื่นจนทำให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ จากนั้นก็ตั้งใจจะยื่นใบลาออกหนีไปอีกหรือเปล่า’
‘ทำไมวันนี้ไม่ได้ จะวันนี้หรือพรุ่งนี้มันต่างกันตรงไหน’
ฉากนี้ไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน เพราะเขาจำความทรงจำนี้ได้อย่างแจ่มชัด ว่ามูคยอมตั้งใจจะพาตัวเขาผู้ซึ่งเมาเหล้าขึ้นไปบนบ้าน แต่เขาร้องขอว่าเอาไว้ทีหลังพร้อมทั้งอ้อนวอนให้อีกฝ่ายไปส่งที่บ้านของตัวเอง
คิมมูคยอมผู้ซึ่งตั้งใจจะลากตัวคนเมาเหล้าขึ้นบ้านอย่างไร้ยางอายโดยมีเจตนาแฝง กับคิมมูคยอมผู้กระซิบบอกชอบเขาอย่างอ่อนโยน สองคนนี้จะปรากฏตัวขึ้นมาในคืนเดียวกันได้ยังไง หมายความได้แค่อย่างเดียวคือคนใดคนหนึ่งจะต้องเป็นของปลอม
“ดื่มนี่สักหน่อยสิ”
ฮาจุนกำลังหลับตาและจมอยู่ในห้วงความคิด แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงของใครคนหนึ่งซึ่งไม่คิดว่าจะเข้ามาใกล้ เขารีบจัดท่าจัดทางทันที ใครคนหนึ่งเข้ามาในออฟฟิศที่เคยว่างเปล่าแล้วยืนอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ฮาจุนทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างโดยไม่รู้ตัว
“เวลาเข้ามาในออฟฟิศก็เคาะประตูด้วย”
“เคาะแล้ว”
‘ไม่เห็นจะได้ยินเลย’
ฮาจุนนิ่วหน้า แล้วมูคยอมก็วางของที่ดูเหมือนกระบอกอะไรบางอย่างลงบนโต๊ะ เมื่อเขาก้มลงมองทั้งหน้ามุ่ย มูคยอมก็เท้ามือลงบนโต๊ะพร้อมกับพูดขึ้น
“ฉันอดทนผ่านช่วงที่กินอะไรไม่ได้มาด้วยเจ้านี่แหละ ตอนเมาค้างก็พอกินได้เหมือนกัน”
“…ไม่เป็นไร ฉันไม่ใช่นักกีฬา อดข้าวเที่ยงไปสักมื้อก็ไม่เป็นไรหรอก”
ถึงแม้รู้สึกว่ามูคยอมจับจ้องมายังตน แต่ฮาจุนก็ทำเพียงก้มลงมองโต๊ะไม่เลิก มูคยอมปริปากพูดขึ้นมาก่อนโดยทำเป็นนอบน้อมไม่น้อย เหมือนที่เคยทำในวันแรกที่เขากลับมาทำงานหลังหยุดพักร้อน
“โค้ชอี”
“…”
“ฝึกซ้อมเสร็จแล้ว ช่วยแบ่งเวลามาให้ผมสักครู่หนึ่งหน่อยนะครับ”
ไม่กล้ามองหน้าอย่างที่คิดไว้จริงๆ ฮาจุนตอบกลับโดยที่ไม่เบนสายตามอง