Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 89
“นายไม่เป็นไรใช่ไหม”
“…อะไร”
มูคยอมไม่อธิบายว่าถามเกี่ยวกับเรื่องอะไรและเพียงแค่ก้มลงมองฮาจุนเท่านั้น ฮาจุนจ้องอีกฝ่ายกลับโดยทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับจับจ้องใบหน้าเขาเขม็งมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกินต้าน ในที่สุดฮาจุนก็ทนไม่ไหว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหันหน้าไป
‘ฟู่’ ในขณะที่ฮาจุนพรูลมหายใจพร้อมกับจ้องเขม็งไปยังกำแพงที่มีคราบไคลเปรอะเปื้อนทับบนสีทาผนัง ท่ามกลางความเงียบงันชั่วขณะ จู่ๆ น้ำตาที่เอ่อขึ้นก็ไหลลงมาตามแก้มหยดหนึ่งทั้งที่ไม่มีวี่แววและไม่มีลาดเลามาก่อน ฮาจุนรีบยกข้อมือด้านในเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มด้วยความสับสน
“อีฮาจุน”
มูคยอมตกใจและทำท่าจะเข้ามากอดเขา แต่ฮาจุนก็โบกมือห้ามไว้ โชคดีที่น้ำตาที่ล้นปริ่มออกมา หยุดไหลในทันทีและไม่มีทีท่าว่าจะไหลออกมามากกว่านี้
ไม่คิดจะร้องไห้เลยแท้ๆ
ไม่ได้ร้องเพราะเศร้า ไม่ได้ร้องเพราะโกรธ แต่ใจของเขากำลังเจ็บช้ำเพราะอะไรบางอย่าง
“ไม่ใช่เพราะนายหรอก ฉันไม่เป็นไร”
พอร้องไห้ให้เห็นเหมือนคนโง่ก็เลยกลายเป็นว่าไม่สามารถขึ้นบ้านไปเสียเฉยๆ ได้ มูคยอมทำสีหน้าลุกลี้ลุกลน ฮาจุนสบตากับมูคยอมอีกครั้งแล้วลังเลว่าจะพูดอะไรออกมาอยู่ครู่หนึ่ง
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้”
ฮาจุนเรียบเรียงความคิดแล้วกลืนน้ำลายลงลำคอที่แข็งเกร็งขึ้นมา
“ใช่แล้ว ถูกแล้วล่ะ ฉันยังชอบนาย ที่นายพูดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกขอบคุณ แต่ว่า”
“…แต่ว่า”
“ในตอนที่ชอบนาย ฉันไม่ค่อยจะเหนื่อยสักเท่าไรเลยนะ กลับตรงกันข้ามซะอีก ตอนนี้นายก็น่าจะรู้แล้ว เพราะนายเป็นคนที่เหมือนกับไอดอลสำหรับฉัน สำหรับฉันน่ะนะ… มันคล้ายกับการหายใจเลย ถ้าตอนนี้ฉันจินตนาการว่าตัวเองไม่ชอบนาย ฉันก็เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองจนรู้สึกฝืนเลยล่ะ”
ฮาจุนสูดหายใจเฮือกหนึ่งพร้อมกับปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ
“พวกแฟ้มที่นายเห็นไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอก ฉันสะสมมานานก็เลยดูเยอะ สำหรับฉันมันก็เป็นแค่ความสนุกเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกับงานอดิเรกนั่นแหละ ถึงจะไม่รู้ว่าในสายตาคนอื่นดูเป็นยังไงก็เถอะ”
“…”
“ตอนใช้เวลากับนายเหมือนเมื่อก่อนก็… นั่นแหละ พูดตามตรงว่าฉันเสียใจหลายครั้งเหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นไร ยังไงก็ได้อยู่ใกล้ๆ คนที่ตัวเองชอบ แล้วจะรู้สึกไม่ดีได้ไงล่ะ ฉันตัดสินใจเองว่าจะทำ เคยเลิกคาดหวังไปครั้งหนึ่งแล้วก็โล่งใจขึ้นด้วย ฉันสบายใจจนถึงก่อนที่จะทะเลาะกับนายแบบนั้น”
น้ำตาที่เคยหยุดไหลกลับร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง มูคยอมตกใจแล้วขยับไหล่โดยอัตโนมัติ แต่ก็ไม่สามารถแตะต้องตัวของฮาจุนได้ในทันที
“แต่ว่า… พอคิดว่าจะได้อยู่ข้างๆ นายอีกครั้ง ทำไมฉันถึงเหนื่อยขนาดนี้นะ…”
ท้ายประโยคแผ่วเบาลง ในขณะเดียวกัน หยาดน้ำตาก็ไหลออกมามากกว่าเมื่อครู่นี้ ฮาจุนยกมือข้างหนึ่งปิดน้ำตาไว้ ครั้งนี้เขาก็ควบคุมมันไม่ได้ เหมือนตอนที่ร้องไห้ไม่หยุดราวกับคนโง่ในอ้อมกอดของมูคยอม
ตอนสารภาพรักกับมูคยอมว่าชอบ ถ้าอีกฝ่ายตอบเขากลับมาเช่นเดียวกับตอนนี้ เขาจะดีใจได้ในทันทีไหมนะ ถ้าเป็นตอนก่อนที่มูคยอมจะเข้าใจผิดจนเราสองคนมีปากเสียงกัน มันจะแตกต่างจากเดิมหรือเปล่านะ
คำพูดที่เคยเฝ้ารออยู่ภายในใจ น่าจะเป็นคำที่ควรต้องรับฟังอย่างสุขใจแท้ๆ แต่หัวใจของฮาจุนกลับหนักอึ้ง ความจริงข้อนั้นทำให้หัวใจของเขาเจ็บช้ำ
เขาตั้งใจจะยินยอมทำตามที่มูคยอมชวนให้กลับมาเป็นคู่นอน เขาตัดสินใจว่าจะปฏิบัติตัวตามที่อีกฝ่ายต้องการจนกว่าฤดูกาลจะจบลง และถ้ามูคยอมกับไปลอนดอนเมื่อไรก็ตัดสินใจว่าจะลืมทุกอย่างไปให้หมด ยังไงก็เหลืออีกแค่ไม่กี่เดือนแล้ว เพราะอย่างนั้นถ้ายอมอ่อนให้มูคยอมอย่างพอสมพอควร ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก
ยังไงเขาก็ไม่เคยไม่ชอบเซ็กส์กับมูคยอม ร่างกายเขาไม่ได้ต้องหวงแหนอะไรขนาดนั้น คิดยังไง ฮาจุนก็รู้สึกว่าฟุตบอลของคิมมูคยอมซึ่งส่งผลต่อสิ่งต่างๆ มากมาย สำคัญกว่าความรู้สึกของเขาคนเดียว ฮาจุนตัดสินใจที่จะคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำมาเป็นเหนียมอายแล้วบอกปฏิเสธ เหมือนที่อีกฝ่ายเคยพูดกับเขา
แต่จู่ๆ ดันมาชอบเขาในเวลาเพียงคืนเดียวเนี่ยนะ
หัวใจที่ถูกย่ำยีอย่างไร้ค่าจนเหนื่อยล้า ไม่สามารถไล่ตามระยะห่างนั้นได้ทัน ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องราวมากเกินกว่าจะแค่รู้สึกดีใจกับคำพูดนั้น ยังคงมีจิตใจด้านอื่นแยกออกต่างหากกับจิตใจที่รู้สึกรักใคร่มูคยอมอย่างลึกซึ้ง
มูคยอมบอกว่าชอบเขา แต่ในวินาทีที่เขาควรต้องรู้สึกเหมือนฝัน กลับมีคำพูดอื่นโผล่ขึ้นมาอยู่เรื่อย
ทั้งที่เคยบอกว่าเขาเป็นจอมหลอกลวงที่หัวเราะฮิฮะกับผู้หญิงโดยที่ด้านหลังถูกผู้ชายขย่ม ทั้งที่เข้าใจคนอื่นผิดไปเองแล้วพูดแจกแจงเป็นฉากๆ แถมยังบอกเขาว่าจะเข้าใจผิดหรือไม่ก็ช่างเพราะฉะนั้นอย่ามาพะเน้าพะนอใกล้ๆ อีก
ทั้งที่ถามเขาว่า ไม่ใช่ว่าทำงานเป็นโค้ชเพื่อที่จะเสนอตัวให้หลายๆ คนแล้วปรนเปรอร่างกายให้เหรอ พูดแบบนั้นออกมาแล้วดันบอกขอโทษ เซ้าซี้จะให้กลับไปเป็นคู่นอนกันอีกครั้งให้ได้ อีกทั้งยังเคยเย้ยหยันกระทั่งคำสารภาพรักที่เขารวบรวมความกล้าพูดออกไป
ไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายบอกชอบเขา เพราะประทับใจในคำพูดที่เขาบอกว่าชอบมาสิบปี หรือประทับใจไปชั่วขณะกับแฟ้มรวบรวมข้อมูลที่เขาเก็บไว้ในห้องหรือเปล่า แต่ความรู้สึกชื่นชมนั้นจะไปได้ไกลสักแค่ไหนกัน เขาเคยเป็นคนที่ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับอีกฝ่าย เคยรู้สึกราวกับถูกผลักลงพื้นอย่างไม่สนใจไยดีอยู่หลายครั้ง ถ้าจับคำพูดนั้นไว้แน่นๆ เพื่อลุกขึ้นไปแล้วถูกผลักกลับลงมาอีก ตอนนั้นเขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้
เขาชินกับการเป็นฝ่ายเฝ้ามองเพียงคนเดียวมากเกินไปหรือเปล่านะ ทุกช่วงเวลาที่ได้เผชิญหน้ากับมูคยอม ในตอนนี้กลับน่ากลัวตั้งแต่ยังไม่ทันเข้ามาใกล้เสียอีก ความรักของเขาทั้งขี้กลัว ทั้งอ่อนแอ อีกทั้งยังไม่ชำนาญแบบนี้ ถึงอย่างนั้นก็คิดว่าพัฒนาขึ้นมากแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีจุดที่เปลี่ยนแปลงไปจากตอนเด็ก ที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปใกล้เพราะกลัวว่าจะโดนเกลียดเลยแม้แต่น้อย
ฮาจุนเอามือที่บดบังการมองเห็นลง มูคยอมกำลังจ้องมองฮาจุนโดยทำตาโตและอ้าปากเล็กน้อย สีหน้าของเจ้าตัวบ่งบอกว่าไม่รู้ว่าควรจะต้องพูดอะไร ฮาจุนเข้าใจความสับสนของอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็ทำอะไรไม่ถูกกับตัวเองในตอนนี้เช่นเดียวกัน
“อีฮาจุน… ฉัน…”
มูคยอมเรียกชื่อเขาอย่างกระอึกกระอักด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง แม้จะการแก้ตัวกอปรกับบรรยากาศที่เป็นใจแต่สำหรับมูคยอมแล้วก็ไม่สามารถพูดจาฉะฉานได้อย่างเคย คิ้วของมูคยอมค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน แขนยกขึ้นมาราวกับตั้งใจจะดึงร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าเข้าไปกอด แต่แล้วก็หยุดชะงัก ฮาจุนไม่คุ้นเคยกับท่าทีลังเลโดยที่อีกฝ่ายทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะกอดเขาเลย
ทว่าถึงแม้จะลังเล แต่ในที่สุด มูคยอมก็โอบตัวฮาจุนเข้ามากอด แรงโอบรัดอันแสนอ่อนโยนของแขนที่กกกอดเขาไว้อย่างระมัดระวังในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ฮาจุนเองก็หลับตาลงโดยไม่พยายามที่จะขืนตัวหรือสะบัดให้หลุด
เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายทำตัวไม่ถูกถึงขนาดนี้ คำขอโทษที่ไม่รู้สึกว่าเป็นคำโกหกเลยแม้แต่น้อย ดังกระทบบนใบหูราวหยาดน้ำฝน
“ฉันขอโทษ จริงๆ นะ… ขอโทษจริงๆ ฉันขอโทษ ขอโทษนะ”
เสียงของมูคยอมสั่น แขนที่โอบรัดบีบกระชับเข้ามา แล้วเสียงท้ายประโยคที่รีบร้อนขึ้นก็แหบเครือราวกับถูกบีบรัดอย่างแรง
ฮาจุนไม่ตอบ เขาได้ยินคำว่าขอโทษมามากเกินพอ ไม่อยากจะคิดเลยว่าคำขอโทษของเขาจะเป็นเรื่องโกหก เขาไม่ได้ต้องการจะรับคำขอโทษจากอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ และไม่ต้องการบีบบังคับให้อีกฝ่ายร้องขออภัยในความผิด เห็นเคยบอกว่าถ้าต้องการก็จะคุกเข่าให้หรือเปล่านะ ภาพคิมมูคยอมคุกเข่า เขาเองก็ไม่อยากเห็นเป็นอันขาดด้วยเหมือนกัน
ฮาจุนคิดว่าทุกอย่างดีขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องเสแสร้งหรือเปล่าแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ว่ากันว่าถ้าแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเด็กที่หกล้มแล้วปล่อยไว้อย่างไม่สนใจ เด็กก็จะไม่ร้องไห้ แต่ถ้าให้ความสนใจเมื่อไรก็จะร้องไห้ออกมา เป็นเรื่องที่น่าขำ ตอนมูคยอมทำตัวหยาบกระด้าง เขาเคยยืนหยัดอยู่ในความคิดของตัวเองว่าไม่อยากหลงเข้าไปพัวพันอีกฝ่าย เพราะอย่างนั้นจึงนึกว่าตัวเองปล่อยผ่านความเจ็บปวดไปได้ เพียงแค่ลูบมันหนึ่งครั้ง แต่เมื่อได้กับการปลอบโยนจากฝ่ายนั้น กลับกลายเป็นว่าเขารู้สึกเหมือนเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม
“ต้องทำยังไง ยังไง…”
เสียงกระซิบของมูคยอมแผ่วเบาลงไปเมื่อไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อจากนั้น
‘ต้องทำยังไง นายถึงจะชอบฉันอีกครั้ง’ ถ้าถามแบบนั้น ฮาจุนก็จะตอบว่าฉันยังชอบนายอยู่
‘ต้องทำยังไง นายถึงจะยกโทษให้ฉัน’ ถ้าถามแบบนั้น ฮาจุนก็จะตอบว่าฉันยกโทษให้นานแล้ว
“ต้องทำยังไง… นายถึงจะอยู่ข้างฉันอีกครั้ง”
ฮาจุนไม่ตอบกลับมา ร่างกายที่ถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนขยับอย่างแผ่วเบา ราวกับว่าอีกฝ่ายเองก็หาคำตอบไม่เจอเหมือนกัน มูคยอมกัดฟัน
ทุกอย่างเป็นความผิดของเขา ตอนฮาจุนมอบร่างกายให้เขาอย่างเต็มใจ ตอนเผยความรู้สึกให้เขารับรู้โดยบอกว่าชอบ ไม่สิ อย่างน้อยในตอนที่ฮาจุนกลับมาหลังพักร้อนแล้วเขาไปขอโทษฮาจุนเป็นครั้งแรก ถ้าเขาซื่อสัตย์มากกว่านี้ มันก็คงจะไม่มาถึงตรงนี้หรอก
‘โอกาสมีอยู่มากมายจนเกลื่อนแท้ๆ’ ในตอนที่มูคยอมกำลังโทษตัวเอง ก็ได้ยินเสียงแหบพร่าของฮาจุนผู้ซึ่งน้ำตาหยุดไหลแล้ว
“ฉันไม่ได้บอกว่าจะเลิกมีความสัมพันธ์กับนายนะ อย่างน้อยก็เพราะสภาพร่างกายของนาย ฉันจะไม่ทำแบบนั้น”
ฮาจุนไม่ได้ใช้คำพูดตรงไปตรงมา แต่ก็เหมือนจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดจนนึกไม่ชอบใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำตอบซึ่งพูดอ้อมๆ เหมือนไม่ได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ภายในหัวของมูคยอมรู้สึกราวกับถูกแผดเผา มูคยอมจ้องฮาจุนเขม็งอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกัดฟันกรอดอยู่ข้างในปาก
แน่นอนว่าการครอบครองร่างกายฮาจุนนั้นไม่ยากเลย เพราะยังไงซะ แค่ตอนเมื่อครู่นี้ อีฮาจุนก็ขึ้นมาบนรถของเขาด้วยความคิดที่ว่าจะมอบร่างกายให้ ถึงจะเป็นตอนนี้ แต่ถ้าบอกให้ถอดก็คงถอด ถ้าบอกให้นอนลงก็คงจะนอนแน่ๆ
แต่นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เมื่อคืนก่อนยังคิดว่าแค่ได้ครอบครองเรือนร่างของอีกฝ่าย ทุกอย่างก็คงจะคลี่คลาย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า แค่เรื่องนั้นเรื่องเดียวไม่สามารถทำให้เขาพอใจได้แล้ว ต่อให้ขังฮาจุนไว้ในบ้านแล้วให้อีกฝ่ายเจอแค่เขาคนเดียว เหมือนจินตนาการที่เคยครอบงำภายในหัว ความรู้สึกกระหายซึ่งยอมรับไปแล้วครั้งหนึ่งนี้ ก็คงจะยังไม่ทุเลา
ฮาจุนถามขึ้นอย่างแผ่วเบา
“กลับไปที่รถนายอีกทีไหม บ้านนายก็ได้นะ บ้านฉันก็ไม่มีคนจนถึงดึกวันนี้แหละ แต่ทำในบ้านฉันมันก็ยังไงๆ อยู่”
ลูกแก้วที่เคยเล่นทิ้งๆ ขว้างๆ ราวกับก้อนหินที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น เมื่อเจ้าของของมันเก็บขึ้นมาครั้งหนึ่งจึงพบว่ามันล้ำค่าเกินกว่าจะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ
มูคยอมกระชับอ้อมแขนที่กอดฮาจุนให้แน่นขึ้น เขาหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ทั้งที่ยังขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขามีพลัง
“ข้อเสนอให้เป็นคู่นอนน่ะ ฉันยกเลิก”
“…”
“ตอนนี้ถ้าไม่ใช่แฟนนาย ฉันไม่เอา”
ทั้งกลิ่นหอมที่โชยมาจากเส้นผมเงางาม และรูปร่างของคนในอ้อมแขน กระทั่งอุณหภูมิร่างกาย ไม่มีสิ่งไหนเลยสักอย่างเดียวที่ไม่ทำให้สติของเขาแตกกระเจิง
ในหัวของมูคยอมมีเสียงตะโกนแว้ดๆ ขึ้นมาว่า ปล่อยไว้แบบนี้เดี๋ยวจะหลุดมือเข้าจริงๆ เพราะฉะนั้นอย่างน้อยตอนนี้ก็มัดเอาไว้ซะ แถมยังได้ยินเสียงบอกว่า ตอนอีกฝ่ายบอกไม่เป็นไรก็กอดอีกสักครั้งซะ อย่าทำให้ตัวเองเสียดายทีหลัง แต่มูคยอมก็ตะโกนบอกศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของเขาว่าให้หุบปาก
แรงที่แขนคลายออกแล้วร่างกายก็ผละออกจากกันเล็กน้อย น้ำตาหยุดไหลแล้ว แต่ขอบตาของฮาจุนยังคงแดงเรื่อ มูคยอมจ้องมองดวงหน้าขาวของอีกฝ่ายแล้วกัดฟันเบาๆ จากนั้นก็กดริมฝีปากลงบนแก้ม
“พรุ่งนี้เจอกันที่สนามฝึกนะ”
มูคยอมสวมหน้ากากบอกลาอย่างว่าง่าย แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองเค้นเสียงพูดลอดไรฟันออกมาทีละตัว ทีละตัว ฮาจุนมองมูคยอมผู้ทำแบบนั้นด้วยดวงตาอ่อนล้า จากนั้นก็หลุบตาลงเล็กน้อย
“นายบอกว่าถ้าไม่ทำ สภาพร่างกายนายจะไม่ดีขึ้น”
มูคยอมยิ้มพร้อมกับยักไหล่
“นายบอกว่ายังชอบฉันอยู่ก็เลยพอจะทนไหว …ในตอนนี้น่ะนะ”
“…”
ทว่าไม่นาน เสียงถอนหายใจที่สูญสิ้นความสบายใจก็ดังลอดออกมา
“โอเค ฉันอยากอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าทำแบบนั้น พูดตามตรงว่าฉันไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำอะไรลงไปบ้าง ฉันมันเป็นคนใจต่ำ”
“บอกว่าทำได้ไง เป็นอะไรของนาย”
“อย่าพูดแบบนั้นบ่อยๆ นะ เพราะฉันจะบ้าแล้วจริงๆ”
มูคยอมสะกดกลั้นลมหายใจที่พรูขึ้นมาจากในท้องกลับลงไปอย่างยากลำบาก ฮาจุนคงรู้สึกค้างคาใจจึงไม่ยอมก้าวเท้าไปง่ายๆ แต่ท้ายที่สุดเมื่อส่งอีกฝ่ายขึ้นไปจนได้ มูคยอมก็กลับหลังหัน เขารู้สึกว่าระยะห่างจากตัวตึกจนถึงด้านหน้าย่านอะพาร์ตเมนต์ที่จอดรถไว้ช่างห่างไกล ถนนแห้งๆ กลับให้ความรู้สึกราวกับหนองน้ำ
มูคยอมลากเท้าที่รู้สึกเหมือนจมมิดอยู่ในพื้นดินไปขึ้นรถด้วยความยากลำบาก แล้วเอนร่างกายท่อนบนพิงกับพวงมาลัยราวกับหมดกำลัง ตอนนี้คำสบถปะปนกับเสียงถอนหายใจถึงได้เล็ดลอดออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
“อา… บ้าเอ๊ย…”
มูคยอมมีจิตสำนึก เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะดีใจจนกระโดดโลดเต้น แต่ปฏิกิริยาตอบสนองนี้หลุดออกจากขอบเขตของสิ่งที่คาดการณ์ไว้ไปไกลเหมือนกัน ตามที่อิมจองคยูพูด ตั้งแต่หนึ่งถึงพัน ทั้งหมดเป็นความผิดของเขา เขาจึงไม่สามารถนึกขุ่นเคืองคนอื่นได้เลยแม้แต่น้อย
อันที่จริง ตอนไล่ตามไปบีบบังคับอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮาจุนไม่เคยให้เขาเห็นน้ำตาเลย แถมยังตอบกลับเขาอย่างฉะฉานโดยไม่ตกหล่นไปแม้แต่คำเดียวด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้นเขาเลยไม่นึกว่าจะเป็นถึงขนาดนี้จริงๆ มูคยอมไม่รู้ว่าความเจ็บช้ำจะแผ่ลามอยู่ภายในจิตใจของฮาจุน อีกทั้งการกระทำของเขาดันเป็นการติดปลาสเตอร์ปิดแผลลงบนผิวของอีกฝ่ายแล้วจบเรื่องโดยถามว่าก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ
ฮาจุนยังชอบเขาและให้อภัยเขาแล้ว แต่คงยากที่จะได้เป็นคนรัก
เหมือนสำนวนที่ว่า ขว้างบูมเมอแรงไปยังไง มันก็จะย้อนกลับมาแบบนั้น พูดแบบสรุปก็คือ คำตอบที่เขาได้รับมาจากฮาจุนก็เหมือนกับคำพูดที่เขาเคยใช้บดขยี้จิตใจของอีกฝ่ายไม่เลิก มูคยอมตอกหัวลงกับพวงมาลัย จากนั้นก็จ้องมองไปบนท้องฟ้าแล้วตั้งคำถามขึ้นมาอย่างใจลอย
‘จากนี้ไปจะทำยังไงดีล่ะ’
เขาแน่ใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือเกมที่มีการเตรียมความพร้อมอย่างไม่เท่าเทียม ซึ่งดำเนินไปตามกฎที่เอื้อให้คนเพียงฝ่ายเดียวได้เปรียบ มันจบลงไปแล้ว และตอนนี้ลูกบอลถูกวางเอาไว้ตรงเส้นฮาล์ฟไลน์
ไม่มีวิธีการอื่นแล้ว การเตะบอลข้ามแนวป้องกันสุดท้ายไปเข้าโกล เป็นหน้าที่ของผู้เล่นตัวรุก เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่มีคือจากนี้ไปต้องลองครุ่นคิดดูให้หัวระเบิดกันไปข้าง
ถ้าบอกว่าไม่ชอบเขาขึ้นมา มูคยอมก็จะพยายามทำให้กลับมาชอบเขาอีกครั้ง ถ้าบอกว่ายกโทษให้ไม่ได้ มูคยอมก็จะพยายามเพื่อให้ได้รับการให้อภัย แต่นี่เขาไม่รู้เลยว่าควรจะต้องจู่โจมจากตรงไหน แน่นอนว่าฮาจุนย่อมรู้อยู่แล้ว ว่าสำหรับตัวรุกนั้น การตั้งรับที่ยืดหยุ่นและควบคุมไปจนถึงช่องโหว่ตามที่จำเป็น ยุ่งยากกว่าการป้องกันอันหนาแน่นแบบไม่มีแผนรับมือเพราะตึงเครียดสุดขีดเสียอีก
ก็เป็นไปตามที่คาด เพราะถึงจะแขวนสตั๊ดไปอย่างน่าเสียดาย แต่ครั้งหนึ่งฮาจุนก็เคยเป็นผู้ตั้งรับทีมชาติเชียวนะ
——————————————————
จองคยูจดจ่ออยู่กับการจ้องมองมูคยอมที่เข้ามาในห้องล็อกเกอร์
ตอนแรก มูคยอมปล่อยผ่านสายตานั้นไปได้โดยไม่ได้พูดอะไร แต่ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวแล้วยกฝ่ามือตบใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆ
“จ่ายค่ามองด้วยนะ สึกหมด”
“ไม่สิ ทำไมแค่มาฝึกซ้อมแล้วแต่งหล่อถึงขนาดนี้ล่ะ จะไปพิธีมอบรางวัลหรือไง”
“แค่นี้เอง จะอะไรนัก”
เป็นสไตล์ที่แต่งให้เห็นเป็นส่วนใหญ่ในเวลาปกติด้วยก็จริง แต่จองคยูกลับพูดล้อมูคยอมผู้ซึ่งปรากฏตัวขึ้นที่สนามฝึกในสภาพเซ็ตผมไปด้านหลังเพื่อเปิดหน้าผาก
‘จิ๊’ มูคยอมจิ๊ปาก ถ้าพูดถึงนักกีฬาฟุตบอลที่ยุโรป พวกเขาก็ค่อนข้างจะใส่ใจเรื่องสไตล์มากกว่าคนทั่วไป อีกทั้งรูปแบบการแต่งตัวของแต่ละคนก็แตกต่างกัน จึงแทบไม่มีคนที่ยกเรื่องแบบนี้มาล้อ ยังไงก็เถอะ ถ้าหากทำท่าจะโดดเด่นกว่าคนอื่นขึ้นมาเพียงแค่นิดเดียว คนที่นี่ก็ค่อนข้างที่จะมายุ่มย่ามมากจนเกินไป แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ล้อมูคยอมเหมือนอย่างจองคยู
“หล่อมากครับ พี่มูคยอม”
“สนามฝึกมันก็ดีอย่างนี้แหละ”
“สมกับเป็นพี่จริงๆ”
เพราะว่ามีอีฮาจุนยังไงล่ะก็เลยเป็นที่ที่ดีไม่ใช่เหรอ ถึงอย่างนั้นก็มีพวกเด็กที่ชมเขาอยู่ด้วย มูคยอมจึงแค่นหัวเราะออกจมูกแล้วออกไปยังสนามฝึก ตอนนี้อากาศร้อนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดและกำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมสำหรับทำการฝึกซ้อมกลางแจ้ง
มูคยอมเปลี่ยนทรงผมเพื่อเปิดโล่งให้เห็นหน้าผากที่ฮาจุนชอบ ส่วนหนวดที่โกนแบบพอประมาณเท่าที่จะมีแรงจัดการเพราะสภาพร่างกายย่ำแย่ในช่วงนี้ วันนี้ก็โกนจนเกลี้ยงเกลาดูสะอาดสะอ้าน เดิมทีรูปลักษณ์ของมูคยอมก็ดูดีอยู่แล้ว พอใส่ใจกับมันแค่นิดเดียวจึงเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจน เพราะอย่างนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนมากมายจะส่งสายตามามองอย่างเกินเหตุ
เขาครุ่นคิดทั้งคืนแต่ก็ไม่เจอคำตอบอื่นที่พอจะแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ได้ในทันที ต่อให้เขาขุดพื้นดินเฉอะแฉะอยู่คนเดียว ความรู้สึกของฮาจุนซึ่งจมดิ่งลงไปแล้วก็ไม่กลับคืนมา ถ้ามีแรงพอที่จะขุดดิน สู้พยายามอีกสักหน่อยเพื่อกลับเข้าไปในสายตาของอีกคนอีกครั้งยังจะดีกว่า
การให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ที่ดูดี เป็นเรื่องพื้นฐานของพื้นฐานในการยั่วยวนใครสักคน ขนาดอยู่ในความฝัน ฮาจุนก็ยังบอกว่าชอบหน้าตาของเขา เพราะฉะนั้นก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีก