Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 92
“แต่ในสายตาของฉัน… ตอนนี้ถึงนายไม่มีเซ็กส์กับฉัน ก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วนะ”
“…”
“ถ้าไม่จำเป็นต้องมีเซ็กส์ด้วย พูดตามตรงว่าตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งรถคันเดียวกันไปไหนมาไหนแล้วใช้เวลาอย่างใกล้ชิดกันหรอก ฉันนึกว่านายคิดจะนอนกับฉันวันนี้ก็เลยนั่งรถนายมา”
ตอนนั้นมูคยอมถึงได้เข้าใจว่าฮาจุนหมายความว่าอะไร มูคยอมขมวดคิ้วพร้อมเบิกตากว้าง จากนั้นก็หรี่ตาลงอีกครั้ง
“นายบอกว่ายังมีใจให้ฉันนี่”
“บอกไปแล้วไง ฉันบอกว่าชอบ ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นแฟนให้ได้… ไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้”
มูคยอมนึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายขึ้นมาอีกครั้ง ฮาจุนบอกว่าไม่เหนื่อยตอนชอบเขาฝ่ายเดียว รักข้างเดียวง่ายกว่า ส่วนคบเป็นคนรักก็ยากกว่าเนี่ยนะ ตรงกันข้ามกับความคิดของคนปกติทั่วไปโดยสิ้นเชิง
ทว่ามูคยอมก็ไม่สามารถคิดว่ามันเป็นเพียงวิธีคิดอันมีเอกลักษณ์ได้ เพราะอีฮาจุนก็ไม่ได้คิดแบบนั้นตั้งแรก ฮาจุนลองแล้วครั้งหนึ่ง แล้วหลังจากล้มเหลวถึงได้ลงบทสรุป เรื่องที่อีกฝ่ายเผชิญกับอะไรมาบ้างจนสรุปแบบนั้นออกมาได้ มูคยอมรับรู้ดียิ่งกว่าใคร เพราะตัวเขาก็คือสิ่งที่อีกฝ่ายเผชิญมานั่นเอง
รู้สึกเหมือนคำที่บอกว่ายังชอบเขาเป็นเพียงความเพ้อฝัน แต่สิ่งที่นึกขึ้นมาได้ทุกครั้งที่รู้สึกแบบนั้น คือหลักฐานของความรู้สึกนับสิบปีที่ได้เห็นในห้องของฮาจุน การที่ช่วงเวลาซึ่งทับถมกันจนสูงขึ้นราวกับเจดีย์ หายวับไปในชั่วพริบตานั้น เขารู้สึกว่ามันไม่สามารถเป็นจริงได้ยิ่งกว่าคำพูดของฮาจุนเสียอีก ถึงแม้ว่าการที่ตึกสูงเสียดฟ้าถล่มลงมาในพริบตาเดียวจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในความเป็นจริงก็ตาม
“ฉันบอกว่ายังชอบนาย ก็ไม่ได้หมายความว่าต่อจากนี้ก็อยากชอบนายต่อไปเรื่อยๆ นะ”
“…”
“ฉันไม่รู้ว่านายจะตีความคำพูดฉันว่ายังไง… แต่ฉันหมายความแบบนั้น”
เพียงแค่เปิดเผยออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และเยื่อใยที่หลงเหลืออยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ยังคงหมุนวนอยู่ในหัวใจเท่านั้น แต่ก็กำลังพยายามเพื่อลบความรู้สึกที่มีต่อมูคยอมอยู่ มูคยอมรู้สึกเหมือนกับว่าฮาจุนกำลังบอกแบบนั้น
ความกังวลใจที่โหมกลับมา เร่งเขาว่าอย่างน้อยก็รีบคว้าสิ่งจูงใจที่เหลืออยู่เอาไว้ก่อน แต่การรีบร้อนเสนอไปตรงนี้ว่าถ้างั้นก็มีเซ็กส์กัน ไม่ว่าจะคิดยังไงก็คงเป็นตัวเลือกที่จะทำลายหมดสิ้นทุกอย่าง ต่อให้ภาพตรงหน้าพร่ามัวมากแค่ไหน จากนี้ก็ต้องฝ่าฟันไปให้ได้สิ ถ้าเกิดนึกกลัวขึ้นมาแล้วเสนอข้อตกลงไปอีกก็มีแต่จะย่ำอยู่กับที่ต่อไปเท่านั้น ลางสังหรณ์ดังกล่าวแผ่ซ่านไปทั่วราวกับขนลุก เพราะเขาทำให้อีกฝ่ายเอือมระอากับการกระทำแบบนั้น แม้แต่อีฮาจุนถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปด้วยไม่ใช่เหรอ
ในขณะที่กำลังอับจนหนทางขึ้นเพราะฮาจุน น่าขำที่ลายมือของอีกฝ่ายกลับแวบเข้ามาในหัวและให้กำลังใจมูคยอมราวกับมีเสียงพูดได้ ‘นายทำได้ คิมมูคยอม สู้เขา’
“อีฮาจุน ให้เวลาฉันหน่อยนะ”
“…”
“ความรู้สึกเดิมก็ยังมีอยู่ แค่ให้โอกาสที่จะทำให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิมกับฉันก็ได้ไม่ใช่เหรอ ถ้าทำแบบนั้น ความคิดนายก็อาจจะเปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน ไม่สิ ฉันจะเปลี่ยนมันให้ได้เอง จะทำให้นายไม่เสียใจที่ชอบฉันเอง”
ฮาจุนถอนหายใจแผ่วเบา หลังจากเตรียมใจอย่างหนัก มูคยอมก็ตั้งใจจะพูดเรื่องที่ขอบเขตแคบลงอย่างฉับพลัน เพราะอย่างนั้น ถึงจะน่าอายนิดหน่อย แต่มูคยอมก็ไม่ยอมแพ้แล้วพูดต่อ
“เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็… ไปทำงานด้วยรถของฉันเถอะ”
รอยยิ้มที่เคยจงใจแกล้งทำเป็นสบายๆ ซึ่งมูคยอมปั้นมันขึ้นมาจนถึงเมื่อครู่นี้ เลือนหายไปแล้ว กลับมีสีหน้าเหมือนกับเด็กน้อยที่สังเกตท่าทีของพ่อแม่แล้วถามว่า ‘ซื้อของเล่นอันนี้ให้หน่อยไม่ได้เหรอ’ ปรากฏขึ้นมาให้เห็นแทน
ทั้งที่ถ้าปิดปากเงียบ ก็จะดูหยิ่งยโสและดุดันจนยากที่จะเข้าใกล้แท้ๆ การแผ่บรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยด้วยใบหน้านั้นก็เป็นพรสวรรค์สินะ ฮาจุนคิดพร้อมกับมองมูคยอม
สมัยที่เคยทำงานในทีมฟุตบอลเยาวชน มีตัวปัญหาคนหนึ่งที่เคยทำให้คนอื่นเขาจนปัญญาว่าจะต้องทำยังไงกับเด็กคนนี้ ไม่รู้ทำไมถึงถูกดูดเข้าไปในความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับตอนที่ตนนั่งหันหน้าเข้าหาเด็กคนนั้น
แล้วสุดท้ายก็ใจอ่อนอย่างช่วยไม่ได้ เป็นแบบนี้ไม่ได้ไม่ใช่หรือไง แต่ยังไงซะ เขาก็กำลังวลเรื่องนั่งรถบัสไปทำงานอยู่แล้ว ฮาจุนถามและคิดข้ออ้างให้กับตัวเองแบบนั้น แล้วในที่สุดก็พยักหน้า เมื่อมูคยอมยิ้มบางพร้อมปลดเข็มขัด ฮาจุนก็ห้ามอีกฝ่าย
“ไม่ต้องลงมา ฉันจะเข้าไปคนเดียว”
“…”
“แค่ครั้งเดียวอาจไม่เป็นไร แต่ถ้านายไปมาบ่อยๆ ก็อาจจะมีใครมาเห็นเข้า ฉันลำบากใจน่ะ”
ฮาจุนลงไปยืนข้างนอกรถแล้ว มูคยอมไม่สามารถดึงดันอะไรต่อไปได้อีก เขาไม่สามารถแม้แต่จะปล่อยเข็มขัดนิรภัยที่ปลดแล้วออกจากมือ และทอดสายตามองไปยังฮาจุนด้วยสีหน้าขมขื่นใจ ฮาจุนออกคำสั่งให้การกระทำต่อไปของเขาออกมาด้วยคำคำเดียว
“ไปเถอะ”
มูคยอมลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่นานก็พยักหน้าราวกับล้มเลิกความหวัง กระทั่งตอนที่เคลื่อนรถออก ฮาจุนก็ยังไม่ขยับตัวไปจากตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย มูคยอมมองอีกฝ่ายที่ตัวเล็กลงเรื่อยๆ ผ่านทางกระจกมองหลัง จากนั้นเขาก็เตรียมใจให้แน่วแน่ขึ้นใหม่
ความหน้าตาดีก็ยังไม่ยอมรับ ของขวัญแพงๆ ก็ยังไม่ยอมรับ เพราะอย่างนั้นสิ่งที่เหลือก็มีเพียงอย่างเดียว สภาพร่างกายของเขาย่ำแย่ไปพักหนึ่งจึงทำให้ฮาจุนได้เห็นแค่สภาพอ่อนเปลี้ยไป เพราะฉะนั้นก็ต้องแสดงให้เห็นท่าทีมีชีวิตชีวาและดูดีในการแข่งที่จะมาถึง อีฮาจุนชอบนักกีฬาฟุตบอลคิมมูคยอม เพราะฉะนั้นถ้าให้ได้เห็นภาพลักษณ์ที่ฟื้นกลับคืนมาในการแข่งครั้งนี้ ความรู้สึกของฮาจุนก็อาจจะกระเตื้องขึ้นสักนิดก็ได้
จะมีอะไรดาหน้าเข้ามาก็ค่อยเอาไว้หลังจากนั้น จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็ต้องเชื่อฟังคำพูดอีกฝ่ายอย่างสงบเสงี่ยม พร้อมทั้งทำหน้าที่คนขับรถรับส่งที่ทำงานอย่างจริงใจ เป็นเรื่องธรรมดาที่เรื่องต่างๆ บนโลกนี้ต้องดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน
***
ในระยะเวลาฝึกซ้อมทีมชาติซึ่งผ่านมาไม่กี่วัน มูคยอมพยายามเข้าหาคนอื่นพร้อมกับจองคยูและพยายามปรับปรุงภาพลักษณ์พอสมควร เป็นเรื่องโชคดีที่ในทีมชาติไม่มีใครเก็บเรื่องเก่าๆ มาคิดเล็กคิดน้อยถึงขนาดนั้น เพียงแค่พยายามนิดหน่อย มูคยอมจึงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทีมได้ในเวลาไม่นาน
ในห้องล็อกเกอร์สนามแข่งเวิลด์คัพในวันที่มีการแข่งขันรอบคัดเลือก ขณะที่เหล่านักกีฬากำลังเปลี่ยนเสื้อและเตรียมพร้อมสำหรับการแข่ง ผู้จัดการทีมก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“มีเรื่องเปลี่ยนแปลงด่วน”
เหล่านักกีฬาซึ่งกำลังพูดคุยเรื่องไร้สาระ ต่างพากันหยุดเงียบแล้วให้ความสนใจ ในตอนที่การแข่งใกล้เข้ามาเพียงปลายจมูก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ได้เป็นส่วนที่น่ายินดีสักเท่าไรนัก
“ไม่ว่ายังไง ฮยองมินก็เหมือนจะมาไม่ได้ บอกว่าไส้ติ่งแตก”
“ครับ?”
พวกนักกีฬาส่งเสียงดังวุ่นวายขึ้น ดวงตาของมูคยอมเองก็เบิกกว้าง
ฮยองมินเป็นกัปตันทีมชาติควบตำแหน่งกองกลาง และในปีนี้มีอายุได้สามสิบเอ็ดปี เขาติดต่อมาบอกว่าถ้าให้ไปหาที่จุดรวมพลเหมือนทุกคนก็น่าจะลำบากเพราะอาการปวดท้องก่อนออกเดินทาง ก็เลยจะไปสนามแข่งเองคนเดียวและจะไม่ไปถึงสาย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่อาการปวดท้องธรรมดาเสียแล้ว
ต่อให้หารือกันเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ผู้จัดการทีมจึงออกคำสั่งใหม่ทันที
“ฮยอนจินจะลงเล่นแทนตำแหน่งของฮยองมิน ส่วนกัปตันชั่วคราว”
ทุกคนจ้องไปทางจองคยู เดิมทีกรณีที่ผู้รักษาประตูจะรับผิดชอบหน้าที่กัปตันก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งอยู่แล้ว อีกทั้งเดิมทีเจ้าตัวก็ค่อนข้างได้รับความนิยมสูง สายตาของคนอื่นจึงเบนมองไปตามธรรมชาติ ยังไม่กำหนดว่าใครจะเป็นรองกัปตันก็จริง แต่ทุกคนต่างคิดว่าจองคยูจะได้เป็นรองกัปตันอย่างแน่นอนกันทั้งนั้น
“คิมมูคยอมรับผิดชอบซะ”
“ครับ?”
คนที่ย้อนถามอย่างสับสนคือคิมมูคยอมผู้ถูกเอ่ยชื่อ ส่วนแววตาของคนอื่นๆ ก็สั่นระริกเช่นกัน
ไม่ว่าจะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแค่ไหนก็ตาม แต่ผู้จัดการทีมก็ไม่มีทางที่จะไม่รับรู้นิสัยของเขาหรือคำวิจารณ์เกี่ยวกับตัวมูคยอมภายในทีมชาติ แต่จู่ๆ กลับให้เป็นกัปตันเนี่ยนะ
มูคยอมเองก็ไม่ใช่ว่าไม่รับรู้ถึง เขาคิดขึ้นมาว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันแบบใหม่หรือเปล่าจึงขมวดคิ้วอยู่หน่อยๆ แบบแทบมองไม่เห็น แต่ถึงอย่างนั้น ผู้จัดการทีมก็ไม่ได้กลับคำพูด
“เอ้า นี่ ปลอกแขนกัปตัน”
ผู้จัดการทีมยื่นปลอกที่ต้องใช้ติดแขนให้ ส่วนมูคยอมก็รับมันมาไว้ก่อน ถึงแม้จะยังปกปิดความสับสนไม่มิดก็ตาม ทว่าเขาก็เพียงแค่ก้มลงจ้องมันเขม็งเท่านั้น และไม่กล้าแม้แต่จะคิดติดมันลงบนแขนของตัวเอง
เขาแข่งในกรีนฟอร์ดมานานมาก แต่ผู้คนที่สั่งสมประสบการณ์อยู่ในตำแหน่งสูงๆ ก็ยังมีเยอะอยู่ เพราะอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่กัปตันหรือรองกัปตัน จนถึงตอนนี้มูคยอมก็ยังไม่มีเรื่องให้ได้ติดปลอกแขนเลย ในทีมชาติก็ยิ่งแล้วใหญ่ เขาจึงไม่เคยแม้แต่จะคิดเรื่องเป็นกัปตันเลยสักครั้งเดียวจนถึงปัจจุบัน
ปกติแล้ว ส่วนใหญ่จะให้คนที่มองดูวิสัยทัศน์โดยรวมของการแข่งและผลักดันพวกนักกีฬาได้ดี รับตำแหน่งกัปตันทีม จึงพบเห็นกรณีที่ผู้เล่นกองกลางหรือผู้ตั้งรับ ถ้าจะให้ดีกว่านั้นอีกก็ผู้รักษาประตู รับตำแหน่งกัปตันบ่อยครั้งกว่าผู้เล่นตัวรุก ทำไมถึงเป็นเขา ทั้งที่มีอิมจองคยูผู้เหมาะสมอยู่ตรงนี้ด้วยแท้ๆ มูคยอมเหลือบมองไปทางจองคยู แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้านิ่งเฉยราวกับไม่ค่อยจะเกินความคาดหมายสักเท่าไร
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาจะมัวแต่เอาปัญหาแบบนี้มาถกเถียงกัน มูคยอมรีบติดปลอกแขนลงบนแขน
เกิดตำแหน่งว่างในกองกลาง พร้อมทั้งเกิดการเปลี่ยนแปลงในแผนการเล่นด้วย เดิมทีผู้จัดการทีมตั้งใจจะจัดตำแหน่งผู้เล่นตัวรุกสองคนให้เป็นกองหน้า แต่ก็ตัดสินใจจัดตำแหน่งให้มูคยอมเป็นกองหน้าคนเดียวและเปลี่ยนมาเพิ่มความแน่นหนาให้กองกลางและการป้องกัน เมื่อสั่งการเสร็จสิ้นในห้องล็อกเกอร์ เหล่านักกีฬาก็กรูกันเข้าแถวแล้วมุ่งหน้าไปยังอุโมงค์ออกสนาม
การแข่งขันรอบคัดเลือกแบบแบ่งโซน เป็นการแข่งที่ไม่มีอะไรให้กังวลขนาดนั้น แต่มูคยอมกลับทอดสายตามองสนามสีเขียวซึ่งแผ่กว้างตรงหน้า อยู่ด้านตรงทางออกสนามด้วยความรู้สึกกังวลจนตัวเกร็งกว่าครั้งไหนๆ
ไม่ว่าอย่างไรก็ประหม่ากับผ้าที่คาดแขนข้างหนึ่งของเขาไว้ มูคยอมรู้สึกว่าผ้าบางๆ ซึ่งเบาจนน่าจะมีน้ำหนักไม่ถึงหนึ่งกรัมเพียงผืนเดียว กลับหนักอึ้งราวกับกระสอบทราย ในขณะที่กำลังยกมือลูบไปบนผ้าผืนนั้น เวลาเข้าสู่สนามก็มาถึง พวกนักกีฬาตั้งแถวมุ่งหน้าเดินเข้าไปในสนาม ผู้คนที่มารับชมการแข่งขันเวิลด์คัพรอบคัดเลือกซึ่งจัดขึ้นในรอบสามสี่ปีพากันส่งเสียงกู่ร้องต้อนรับพวกเขา
โดยพื้นฐานแล้ว ก่อนการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น พวกนักกีฬาจะยืนล้อมวงกันเพื่อผนึกกำลังเรียกขวัญกำลังใจ
“คิมมูคยอม นายเป็นกัปตัน พูดอะไรสักคำสิ”
จองคยูปริปากพูดขึ้น มูคยอมสบตากับพวกนักกีฬาไวๆ แล้วกระแอมออกมาสั้นๆ ตัวเขาเองไม่เคยคิดฝัน ว่าสถานการณ์ที่จะต้องพูดอะไรแบบนี้โดยให้พวกนักกีฬาทีมชาติยืนเรียงกันจะมาถึง
ทว่าช่วงล่าสุดมานี้ เขาเพียงแค่ไม่สามารถพูดอย่างเต็มที่ต่อหน้าฮาจุนได้เท่านั้น แต่เดิมทีมูคยอมไม่เคยรู้สึกยากลำบากเท่าไรนักกับการพูดไปเรื่อยเพื่อปรับให้เข้ากับเวลาและสถานที่อยู่แล้ว เขาจึงพูดออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับเตรียมการไว้
“คู่แข่งไม่ได้ต่อกรยากสักเท่าไรตามที่ผู้จัดการทีมบอกนั่นแหละ แต่ยังไงก็ตาม นี่ก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญเพื่อก้าวไปสู่เวิลด์คัพในปีหน้า แทนที่จะยึดมั่นเรื่องแพ้ชนะ ฉันคิดว่ามันเป็นการแข่งขันที่วางเป้าหมายเป็นการเตรียมความพร้อมให้มั่นคงอย่างแท้จริงครั้งแรกก็พอแล้ว แน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าแพ้ก็ได้ แต่หมายความว่าต้องชนะเท่านั้น มั่นใจในตัวเองว่าสามารถทำได้แล้วร่วมใจเดินหน้าไปด้วยกันจนถึงที่สุด จนถึงการแข่งรอบชิงชนะเลิศกันเถอะ”
จากนั้นมูคยอมก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วพูดต่อ
“เวิลด์คัพครั้งที่แล้ว ฉันทำให้ทุกคนได้เห็นว่าฉันมีข้อบกพร่องอีกมาก แต่ครั้งนี้ฉันตั้งใจจะพยายามให้มากเหมือนกัน ฉันขอโทษทุกคนที่เคยร่วมทีมกันในตอนนั้น ส่วนเวิลด์คัพครั้งนี้ก็มาพยายามอย่างเต็มที่ตั้งแต่เริ่มแรก แล้ว… ถึงฉันจะไม่กล้าบอกว่าเป็นทีมชนะเลิศก็เถอะ แต่ว่า”
เมื่อพูดแบบนั้น นักกีฬาจำนวนหนึ่งก็หัวเราะคิกคักออกมาแห้งๆ เวลาตั้งเป้าหมายระยะสั้น ควรเริ่มจากสิ่งที่เห็นตรงหน้า ไม่ใช่ไล่ตามสิ่งที่เป็นเพียงความฟุ้งซ่านและอยู่ห่างไกล เรื่องนั้นก็เป็นหลักการของมูคยอม
“ปีหน้าก็เข้าสู่รอบสิบหกทีม ไม่สิ อย่างน้อยก็แปดทีม ไปสู่รอบนั้นสักครั้งจริงๆ กันเถอะ”
“มาลองกันสักตั้งเถอะ สู้ๆ”
นักกีฬาคนหนึ่งพูดเสริม แล้วนักกีฬาที่ยืนล้อมวงก็กอดคอกับคนที่ยืนอยู่ด้านข้างตัวเองพร้อมก้มตัวลง มูคยอมพูดนำขึ้นก่อน
“เราทำได้!”
“เราทำได้!”
เสียงของทุกคนตะโกนดังขึ้นตามคำพูดนำ จากนั้นพวกนักกีฬาก็ดันตัวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงพลางปรบมือ แล้วกระจายตัวไปเข้าแถว ขณะที่เสียงเพลงชาติดังกังวานขึ้น เสียงร้องตะโกนบนอัฒจันทร์ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
ทันทีที่เสียงเพลงชาติจบลง เหล่านักกีฬาก็ยืนประจำที่ของใครของมัน ส่วนมูคยอมซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ เส้นฮาล์ฟไลน์ในฐานะกัปตันทีมควบด้วยตัวรุกกองหน้า ก็กวาดตามองไปตรงที่นั่งผู้ชมปราดหนึ่ง แล้วส่งสายตาไปทางม้านั่งตัวหลัง ก่อนเสียงนกหวีดประกาศเริ่มแข่งจะดังขึ้น
ในกลุ่มโค้ชจำนวนไม่กี่คน ฮาจุนเข้ามาในสายตาของเขาทันที และเจ้าตัวก็ยืนอยู่ข้างยุนแชฮุนราวกับบอกว่าวันนี้ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ระยะห่างระหว่างพวกเขาไกลกัน จึงไม่ใช่ระยะที่จะพูดคุยหรือส่งสายตาอะไรกันได้ แต่มูคยอมก็วางมือลงตรงกระดูกเชิงกรานแล้วยกต้นแขนขึ้นด้านบนเล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้เห็น
‘ดูซะ อีฮาจุน ฉันได้เป็นกัปตัน ถึงจะชั่วคราวก็เถอะ’
มูคยอมพูดแบบนั้นในใจ แต่ฮาจุนคงจะไม่มีทางรับรู้ถึงคำพูดของเขา
มูคยอมแลกธงทีมชาติกับกัปตันของเลบานอน จากนั้นก็จับมือแล้วยืนประจำที่ เสียงนกหวีดดังขึ้น พร้อมกันกับที่การแข่งขันเริ่มเปิดฉาก
“เห็นบอกกันว่าคิมมูคยอมเป็นกัปตัน เรื่องจริงสินะเนี่ย”
แชฮุนจับตามองดูการเปิดฉากแข่งขันพร้อมกับยกยิ้มบางๆ พลางพูดขึ้น ฮาจุนหันไปมองเขา
“เกินคาดนิดหน่อยนะครับ ถึงจะยังไม่ได้บอกว่าจะกำหนดให้ใครเป็นรองกัปตันก็เถอะ แต่คิดว่าถ้าไม่ใช่พี่ฮยองมิน จองคยูก็จะได้รับตำแหน่งกับตันซะอีก”
“ไม่หรอก ผู้จัดการทีมน่าจะทำดีแล้วล่ะ ถึงจะไม่ได้เป็นต่อเนื่อง แต่ตอนที่การแข่งขันไม่ยากมากนักเหมือนวันนี้ ถ้าให้คิมมูคยอมรับผิดชอบตำแหน่งกัปตันสักครั้งก็จะเป็นประโยชน์ในเรื่องทีมเวิร์คได้”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“แน่นอนสิ เพราะถ้าให้คนแบบนั้นใส่ปลอกแขนก็จะตั้งใจสุดๆ เลย”
คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนเองก็หัวเราะดังคิกออกมาอย่างห้ามไม่ได้ แชฮุนเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยมอย่างที่คิด ได้เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เหมือนกับมองแทบทุกเรื่องเกี่ยวกับมูคยอมได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ฮาจุนทอดมองไปบนสนามหญ้าเรื่อยๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบาง
การแข่งขันดำเนินไปเหมือนคำพูดของเขาจริงๆ เวลาใช้แผนการเล่นแบบจัดให้มีกองหน้าคนเดียว ตัวรุกกองหน้าจะตกอยู่ในสถานะที่ต้องรับผิดชอบเชื่อมต่อบอลที่ถูกส่งมาให้เข้าประตูอย่างแม่นยำเพียงคนเดียว เพราะอย่างนั้นจึงยากที่จะแยกตัวออกจากตำแหน่ง จริงๆ แล้ว สำหรับนักกีฬาที่ชื่นชอบการวิ่งไปมาบนสนามอย่างกระฉับกระเฉงเพื่อหลอกล่อและทำลายฝ่ายตรงข้ามเหมือนมูคยอม แผนการเล่นแบบมีกองหน้าคนเดียวมีขอบเขตกว้าง จึงไม่ใช่กลยุทธ์ที่เหมาะสมถึงขนาดนั้น
ตัวมูคยอมเอง ถ้าเป็นเวลาปกติก็คงไม่มองดูภาพกว้างหรือรอบคอบถึงขนาดนั้น ทว่า มูคยอมในวันนี้ ถึงจะไม่ได้แยกออกจากตำแหน่งไปไกลนัก แต่ถ้าจะยืมคำที่เขาชอบใช้บ่อยๆ มาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นจากฝ่ายตรงข้ามอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ก็เรียกได้ว่าเขากำลังก่อกวนการเล่นของฝ่ายนั้นแบบกัดไม่ปล่อยเลยทีเดียว
“อย่ามัวแต่วิ่งเลี้ยงลูก! ส่งบอลต่อให้ไว!”
“ทางซ้าย! เคลื่อนไหวให้เร็วกว่านี้!”
“ไม่ๆ ไม่ใช่ทางนี้! หมายถึงให้ส่งไปทางยองจุนไงเล่า!”
ท่าทางของมูคยอมซึ่งตะโกนสั่งแว้ดๆ พร้อมกับโบกแขนข้างที่ติดปลอกแขนกัปตันเป็นพัลวัน ราวกับกลายเป็นผู้บังคับการ กระทั่งตรงม้านั่งก็ยังมองเห็นภาพนั้นได้ชัด สตาฟหลายคนจับตามองท่าทีของเขาอย่างสนอกสนใจ ยิ่งกว่าตอนดูวิดีโอการแข่งซึ่งเห็นความต่างของกำลังทั้งหมดอย่างชัดเจน ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คิดว่ากล้องถ่ายทอดออกอากาศก็น่าจะกำลังจับภาพท่าทางแบบนั้นของมูคยอมอยู่
ในตอนที่ครึ่งแรกผ่านไปยังไม่ถึงยี่สิบนาทีดี หนึ่งในนักกีฬาเลบานอนก็ทำฟาวล์กับมูคยอมซึ่งกำลังวิ่งเพื่อไปทำประตูในเขตโทษ ทำให้มูคยอมล้มกลิ้งไปกับพื้น กรรมการชูการ์ดขึ้นทันทีแล้วมอบโอกาสให้เกาหลีได้เตะลูกโทษ
ผู้เล่นที่ทำการเตะลูกโทษคือคิมมูคยอม เขายกมือเท้าสะเอวแล้วหยุดยืนเพื่อคำนวณตำแหน่ง จากนั้นหลังจากวิ่งเข้ามาระยะสั้นๆ เขาก็เตะบอลออกไปอย่างรุนแรง ลูกบอลที่พุ่งไปอย่างรวดเร็วเป็นวิถีโค้งสวย ทำให้การกระโดดของผู้รักษาประตูหมดกำลังลงแล้วลอยเข้าไปกระทบตาข่ายโกล