Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 98
ทุกสายตาของเหล่าสตาฟที่คอยช่วยเหลือพวกเขาและเหล่านักกีฬาคนอื่นๆ ซึ่งเคยทุ่มเทกับการฝึกต่างจดจ่ออยู่กับพวกชาวต่างชาติ
สาวสวยในชุดเดรสสั้นเปิดไหล่ดึงดูดสายตาของผู้คนภายในสนามกีฬาที่เต็มไปด้วยเหงื่อได้เป็นอย่างมาก เธอคือผู้ประกาศข่าวกีฬาดาวรุ่งที่มีชื่อเสียงในขณะนี้จากชื่อเล่นเทพธิดาแห่งเคลีก
“ที่เคยบอกว่าวันนี้จะถ่ายทำในเวลาฝึกน่ะค่ะ สะดวกให้เข้าไปเลยไหมคะ”
“สวัสดีครับ”
พอมูคยอมกล่าวทักทาย คนเหล่านั้นก็เดินเข้ามาใกล้ และมีกลุ่มคนอีกไม่กี่คนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นนักข่าวกับทีมงานถือกล้องขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับการถ่ายทำยืนอยู่ตรงด้านหลังของผู้ประกาศข่าว
“กำลังเริ่มฝึกแล้วสินะคะ” หญิงสาวถามขึ้น
คิมมูคยอมที่แกล้งทำหน้าเหยเกไปเต็มที่ก่อนหน้านี้ สวมรอยยิ้มผ่อนคลายเป็นเอกลักษณ์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกำลังต้อนรับผู้คนจากสถานีโทรทัศน์อยู่
“คนที่บาดเจ็บต้องฝึกฟื้นฟูสมรรถภาพแค่อย่างเดียวตลอดทั้งวันอยู่แล้วครับ”
“แต่ฉันก็ได้ยินว่าคุณฟื้นตัวเร็วมาก เลยมีเวลาตอบรับการถ่ายทำของพวกเรา งั้นอย่างน้อยทางเราจะขอคิดว่ามันคือการ ‘กลับร้ายกลายเป็นดี’ ได้ไหมคะ”
“ตามสบายเลยครับ”
ใบหน้าของผู้ประกาศข่าวสาวที่มองมูคยอมยิ้มบางๆ ขณะตอบกลับมาให้แปรเปลี่ยนเป็นความเขินอาย ฮาจุนที่เหม่อมองภาพของคนทั้งสองอยู่ข้างๆ รู้สึกเหมือนว่าจะต้องหลีกทางให้จึงถอยออกมาเพื่อไปดูการฝึกซ้อมของนักกีฬาคนอื่นๆ ด้วยความรู้สึกเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย
เนื่องจากตารางนอกเหนือจากการรักษาและการออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายถูกยกเลิกก็เลยมีเวลาว่างเล็กน้อย มูคยอมจึงตอบตกลงข้อเสนอของสถานีโทรทัศน์ที่เคยติดต่อมาว่าอยากจะถ่ายทำสารคดีตั้งแต่ตอนที่เขากลับเข้าประเทศวันแรกๆ
อาจเป็นเพราะว่าในตอนแรกมูคยอมเคยปฏิเสธไปอย่างไม่ค่อยจะสุภาพเลยรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อยว่ามาเริ่มงานเอาป่านนี้จะใช้ได้หรือไม่ แต่เมื่อลองประชุมจริงๆ แล้ว โปรดิวเซอร์ที่รับผิดชอบกลับบอกว่าไม่ได้ติดใจเรื่องตอนนั้นและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
ข้อเสนอคือต้องการเพิ่มมูคยอมเข้าไปในรายการสารคดี 1 ตอน ความยาว 40 นาทีซึ่งมีหัวข้อที่หลากหลายและออกอากาศในเวลากลางคืน ไม่ใช่สารคดีเฉพาะทางที่ใช้ฉายเป็นภาพยนตร์
สื่อมวลชนนั้นชื่นชอบเรื่องราวของนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะการกลับมาประสบความสำเร็จของนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บ มันจึงเป็นจังหวะเวลาอันเหมาะสมที่พวกเขาต่างก็ได้ประโยชน์ ด้านสโมสรที่เล็งเห็นผลประโยชน์จากการโปรโมตก็เห็นด้วยอย่างมากกับจังหวะเวลานี้และขอให้เพิ่มการถ่ายทำภายในสโมสรเข้าไป
ถึงแม้ตอนแรกจะรู้สึกต่อต้านเพราะว่ามันเหมือนเป็นการเปิดเผยชีวิตส่วนตัว แต่พออยู่ที่เกาหลีไปนานเข้าความคิดของมูคยอมก็เปลี่ยนไป จากนี้เขาคงจะไม่ได้เป็นนักเตะของเกาหลีใต้อีกถ้าไม่ใช่ตอนที่ใกล้จะแขวนสตั๊ด ดังนั้นหากเหลือวิดีโอสั้นๆ ไว้เป็นที่ระลึกก็คงจะไม่ใช่เรื่องแย่เท่าไหร่
อยู่ๆ เขาก็รู้สึกแบบนั้นขึ้นมา
คงจะเป็นเรื่องทีคนจากสถานีโทรทัศน์มาที่สนามกีฬาโดยไม่ทันตั้งตัวมากกว่า นักกีฬาคนหนึ่งที่ไม่สามารถละสายตาไปจากผู้ประกาศข่าวสาวและมูคยอมได้แม้ในขณะที่กำลังขยับร่างกาย ถามฮาจุนขึ้นมาเหมือนต้องการคนเห็นด้วย
“มินแจยองนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะครับ เหมือนตัวจริงจะสวยกว่าในรูปอีก พี่มูคยอมเจอคนสวยมาเยอะจนไม่รู้สึกอะไรกับความสวยระดับนั้นหรือเปล่านะ”
ฮาจุนตอบดังราวกับตะโกน
“การวิจารณ์รูปร่างหน้าตาคนอื่นไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาพูดนะ”
“อย่างว่า ยังไงฮาอึนอูก็ดีกว่ามินแจยองนะครับ เคยมีข่าวฉาวนักแสดงระดับท็อปแท้ๆ แต่พอใช้”
ฮาจุนต้องส่งสายตาไปพลางขมวดคิ้ว นักกีฬาคนนั้นถึงจะยอมเงียบไป
แต่จริงๆ แล้วฮาจุนเองก็ไม่สามารถละสายตาไปจากผู้หญิงคนนั้นได้ ทุกครั้งเขาเห็นภาพของมูคยอมกับผู้หญิงคนอื่นพูดคุยกันผ่านรูปภาพไม่ก็วิดีโอ แต่ไม่เคยเห็นกับตา ถ้าประกาศว่าคนสองคนที่คุยกันอยู่ในขณะนี้กำลังคบกันอยู่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เหมือนเขาจะรู้แล้วว่าทำไมมูคยอมถึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิง แม้ว่าอีกฝ่ายจะยืนกับเขาแค่สองคน ก็คงไม่ให้ความรู้สึกว่าเหมาะสมกันแบบนั้นในสายตาของคนอื่นอย่างแน่นอน
“โค้ชอีครับ!”
ฮาจุนมองทั้งสองคนอยู่ไกลๆ แต่อยู่ๆ มูคยอมก็โบกมือขึ้นมาพร้อมกับเรียกเขา
‘ฉันเหรอ’ ทันทีที่เขาใช้มือแตะหน้าอกตัวเองเบาๆ และถามกลับผ่านสีหน้า มูคยอมก็พยักหน้าแล้วเรียกเขาขึ้นมาอีกครั้ง
ฮาจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงเดินเข้าไปหาคนอื่นๆ ผู้ประกาศข่าวมินแจยองโค้งศีรษะให้เขาพลางกล่าวทักทาย
“สวัสดีค่ะ โค้ชอีฮาจุน ฉันมินแจยองค่ะ”
“สวัสดีครับ ผมอีฮาจุนครับ”
แจยองยื่นมือออกมาเพื่อขอจับมือ ฮาจุนก็กำลังจะยื่นมือออกไปและทักทายกลับ แต่มูคยอมกลับแทรกเข้ามาจับมือของหญิงสาวเขย่าเบาๆ แล้วถามขึ้น
“จะว่าไปแล้ว เรายังไม่ได้จับมือกันเลยหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ วันแรก”
หญิงสาวพูดขึ้นมาเช่นนั้น แต่มูคยอมกลับเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ
“อาจจะทักทายกันไปแล้ว แต่ท่านนี้คือโค้ชฟิตเนสของทีมเรา อีฮาจุนครับ เป็นโค้ชที่มีความสามารถมาก ตอนนี้เลยรับผิดชอบการฝึกฟื้นฟูสภาพร่างกายเกือบทั้งหมดของผมอยู่ครับ”
แจยองยิ้มกว้างแล้วหันหน้าไปหาฮาจุน
“สะดวกหรือเปล่าคะโค้ช ยังไงถ้าวันนี้ลองถ่ายนักกีฬาคิมตอนซ้อมแล้วก็คงต้องถ่ายโค้ชไปไม่น้อยเลยเหมือนกันน่ะค่ะ อาจจะมีถามคำถามระหว่างถ่ายทำด้วยค่ะ”
“…ครับ สะดวกครับ” ฮาจุนพยักหน้า
ก็ได้ มาดูกันว่าจะถูกถ่ายไปเยอะแค่ไหน แต่คงออกมาแค่อย่างละหน่อยตอนช่วยฝึกนั่นแหละ
“ฉันชอบตอนที่โค้ชเล่นตำแหน่งกองหลังมากเลยค่ะ พอเป็นโค้ชแล้วก็ยังเท่อยู่เหมือนเดิมเลยนะคะ”
“รู้จักผมด้วยเหรอครับ”
“แน่นอนค่ะโค้ช ฉันคือนักข่าวเคลีก มินแจยองนะคะ ดูฟุตบอลมา 10 กว่าปีแล้วค่ะ”
“อ๋อ… ขอบคุณนะครับ”
พอมองใกล้ๆ แล้วยิ่งสวยกว่าตอนเห็นไกลๆ อีก ฮาจุนรู้สึกเขินขึ้นมาเมื่อได้รับคำชมจากสาวสวยคนดังเรื่องงานที่เคยทำก็เลยยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ แต่มูคยอมกลับสะกิดของเขาด้วยความรีบร้อน
“โค้ชอี เจ้านั่นเรียก”
“หือ? ใคร”
“ตรงโน้นน่ะ คงทำที่นายสั่งไว้เสร็จแล้วมั้ง”
ฮาจุนมองไปรอบๆ ครั้งนี้มูคยอมเลยเอาแขนข้างที่ไม่ได้จับไม้ค้ำยันไว้ขึ้นมาพาดไหล่ฮาจุนแล้วยิ้มออกมา
“ไม่ใช่เหรอ หรือฉันมองผิด”
ระหว่างที่ฮาจุนกำลังไล่มองพวกนักกีฬาเพราะสงสัยว่าตัวเองพลาดเสียงเรียกหรือเปล่า มูคยอมก็พูดคุยกับทีมงานอีกเล็กน้อยและเริ่มถ่ายทำ การฝึกที่ถูกหยุดลงไปชั่วคราวก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
มูคยอมที่คุ้นเคยกับหน้าตาของตัวเองบนรายการทีวี รวมถึงการถ่ายทำประเภทต่างๆ เช่น นิตยสารหรือวิดีโอโฆษณานั้นอยู่หน้ากล้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ มากเสียจนเหมือนกับรู้ดีว่าต้องทำยังไงให้ตัวเองออกมาดูดี แม้แต่สีหน้าก็ดูนอบน้อมขึ้น ต่างกับตอนที่ฝึกกันแค่สองคน ฮาจุนเหม่อมองใบหน้าของอีกฝ่ายจนเกือบจะลืมคำสั่งถัดไป
อีกฝ่ายน่าจะรู้สึกเหนื่อยไม่น้อยเนื่องจากวันนี้พวกเขาก็เริ่มฝึกกันมาได้สักพักแล้ว แต่ก็ยังคงจัดการสีหน้าได้ดี
เรียกได้ว่าน่าทึ่ง
สุดท้ายฮาจุนก็ชื่นชมออกมาขณะมองไปยังมูคยอมที่เริ่มออกกำลังกายช่วงบนโดยเอาขาข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บพาดเอาไว้บนเครื่องค้ำแบบเงียบๆ
แม้แต่ในระหว่างโปรแกรมฝึกฟื้นฟูสมรรถภาพ มูคยอมก็รับมือกับระดับแรงและเวลาฝึกที่มากกว่าคนปกติเกือบสองเท่าโดยไม่บ่นว่าเหนื่อยแม้แต่คำเดียว
ในการฝึกภาคสนาม กล้ามเนื้อท่อนบนที่เคยเห็นได้ไม่ค่อยชัดขึ้นรูปและคลายออกตามทิศทางการใช้แรง ทุกส่วนของร่างกายที่แข็งแรงบิดเกร็งจนเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านเสื้อผ้า ภาพการเคลื่อนไหวอันปราดเปรียวและคล่องแคล่วของอีกฝ่ายซึ่งไม่ได้ให้ความรู้สึกเทอะทะทั้งที่มีร่างกายใหญ่โตซึ่งไม่ว่าจะมองกี่ทีก็ยากที่จะละสายตา ฮาจุนเฝ้ามองราวกับหลงใหลแล้วอยู่ๆ ก็ใบหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยจึงก้มหน้าลง
“ทำตัวเป็นธรรมชาติตามปกติได้เลยครับ”
“อ่า ครับ”
ทีมงานคนหนึ่งติดไมค์ให้พลางกระซิบบอกฮาจุนที่กำลังหน้าแดง ฮาจุนที่กำลังประหม่ากระแอมออกมาเบาๆ เพราะมันไม่เชิงว่าเขารู้สึกกังวลเพราะการถ่ายทำ
“ฝึกอย่างนี้ตอนบาดเจ็บจะไม่เป็นไรเหรอคะ” มินแจยองเดินเข้ามาใกล้ฮาจุนและถามขึ้น
“ข้อเท้าที่บาดเจ็บอาจจะยังใช้การไม่ได้ในทันที แต่ยังไงถ้าปล่อยข้างที่ได้รับบาดเจ็บพักไว้เฉยๆ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อก็จะอ่อนลง แล้วถึงแม้ว่าข้อเท้าจะหายสนิทแต่ก็จะมีปัญหาตามมา เพราะร่างกายจะเสียสมดุลได้ง่าย เลยต้องฝึกกล้ามเนื้อรอบๆ อย่างต่อเนื่องครับ”
“ถึงยังไงการฝึกหลังได้รับบาดเจ็บก็คงจะเหนื่อยมากเป็นพิเศษนะคะ”
ฮาจุนเงียบราวกับคนที่พูดไม่ออกไปชั่วขณะเพราะคำพูดนั้น และไม่นานก็ยิ้มออกมา
“ใช่ครับ ผมคิดว่าการฝึกเพื่อฟื้นตัวและฟื้นฟูสภาพร่างกายยากที่สุดในบรรดาการฝึกของนักกีฬาแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บที่เล็กน้อยแค่ไหน แต่การอดทนต่อความรู้สึกอึดอัดเพราะลงแข่งในช่วงฟื้นตัวไม่ได้นั้นเป็นเรื่องยาก… บวกกับความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาน่ะครับ”
ถึงจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นาทีที่เขาเห็นมูคยอมล้มลงบนสนามและลุกขึ้นมาไม่ได้เขากลับทำไรไม่ถูก มันไม่ถึงกับเป็นภาพที่แปลกใหม่เท่าไหร่นักเพราะเคยดูการแข่งขันทั้งหมดที่อีกฝ่ายลงสนาม เพียงแต่ความตกใจที่พบเจอตรงหน้ามันเกินกว่าที่จินตนาการไว้
พอเรื่องจบลงแบบไม่มีอะไรร้ายแรง มันจึงเป็นแค่การพร่ำบ่น แกล้งป่วยบ้าง เล่นใหญ่บ้างนั่นเอง แต่ถ้าหากมูคยอมบาดเจ็บที่ข้อเท้าหรือหัวเข่าอย่างรุนแรงขึ้นมาจริงๆ ฮาจุนคงจะไม่รู้สึกเคืองกับคำล้อเล่นของอีกฝ่าย ระหว่างที่ฮาจุนหันไปอธิบายแจยอง เขาก็มองไปทางมูคยอมแล้วพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมาที่ตัวเอง สายตาดูจริงจังเหมือนกำลังตั้งใจฟังคำพูดของเขาอยู่
“…การบาดเจ็บในครั้งนี้ของนักเตะคิมมูคยอมไม่ใช่การบาดเจ็บที่น่ากลัวเท่าไหร่ครับ ด้วยความที่มีสมรรถภาพร่างกายที่ดีเป็นทุนเดิมแล้ว แล้วก็กระตือรือร้นในการฝึกซ้อม ดังนั้นอีกไม่นานก็จะสามารถลงสนามไปเจอกับแฟนคลับทุกคนได้แล้วครับ เพราะว่านักเตะคิมมูคยอมก็เอาชนะความกดดันและความลำบากที่หนักกว่านี้มาได้ตลอดอยู่แล้วครับ”
* * *
ฮาจุนคิดว่าจะจบลงในวันเดียว แต่เขาได้ยินว่าการออกอากาศใกล้เข้ามาแล้วเลยจำเป็นต้องถ่ายทำเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วน สองวันก่อนจะถึงวันออกอากาศคนจากสถานีโทรทัศน์จึงมาที่สนามฝึกอีกครั้ง
เหมือนจะรู้สึกเหนื่อยขึ้นสามเท่าเพียงแค่เพราะมีกล้องกำลังหมุนอยู่ข้างๆ ยิ่งครั้งนี้เป็นการถ่ายทำแบบกะทันหันที่เขาไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ด้วย นอกจากนี้ทำไมถึงชวนเขาคุยเยอะมากขนาดนั้น ความเหน็ดเหนื่อยที่ไม่ได้สัมผัสในสมัยที่เป็นนักกีฬาคืบคลานเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นควันหลงมาจนถึงวันนี้
นอกจากรูปครอบครัวแล้ว ตลอดชีวิตเขาเคยเจอกล้องแค่ตอนถ่ายรูปออฟฟิเชียลที่สโมสรจำเป็นต้องใช้หรือกล้องถ่ายทอดสดระหว่างการแข่งขันเท่านั้น นี่เลยเป็นครั้งแรกที่เขาถูกบันทึกภาพโดยมีเลนส์กล้องจ่อเข้ามาตรงๆ ที่ด้านข้าง แม้จะเคยให้สัมภาษณ์สั้นๆ เกี่ยวกับการแข่งขันตอนอยู่ในกรม แต่มันก็เป็นฉากสั้นๆ ที่กินเวลาแค่ไม่กี่นาที
ไม่ใช่ทุกคนที่จะดูดีเมื่ออยู่หน้ากล้อง ฮาจุนรู้สึกทึ่งกับสภาพจิตใจของมูคยอมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเดินออกไปตรงทางเดินเพื่อกลับบ้าน
ตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มตกลงเรื่อยๆ ส่วนท้องฟ้าก็มืดสนิทไปตั้งแต่ก่อนหนึ่งทุ่ม ฮาจุนออกมาจากตึกสำนักงานเพื่อที่จะไปขึ้นรถเมล์ แต่กลับเห็นไฟที่โรงยิมด้านข้างยังคงเปิดอยู่ แต่เพราะการฝึกซ้อมทั้งหมดจบลงแล้ว แสดงว่าคนที่ซ้อมคนสุดท้ายคงจะลืมปิดไฟ ถ้าปล่อยไว้แม่บ้านก็คงจะมาปิด แต่ไหนๆ ก็เห็นแล้วฮาจุนเลยอยากจะแบ่งเบาภาระของพวกพนักงานจึงเลี้ยวไปทางโรงยิม
ฮาจุนที่เปิดประตูเดินเข้าไปข้างในและกำลังจะหาปุ่มปิดไฟหยุดชะงักลง เขาได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ ภายในโรงยิมที่เคยคิดว่าไร้ผู้คน ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะตามหาที่มาของเสียง
“ใครทำอะไรน่ะ”
เสียงของฮาจุนดังก้องในโรงยิมอันกว้างใหญ่ เสียงนั้นดังมาจากม้านั่งที่รองรับน้ำหนักของมูคยอมและน้ำหนักของบาร์เบลเอาไว้ มูคยอมที่กำลังเล่นท่าดันอก วางบาร์เบลลงบนแท่นวางแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมา เอาผ้าขนหนูแตะซับเหงื่อบนใบหน้าพลางถามขึ้น
“ยังไม่กลับอีกเหรอ”
ฮาจุนรีบก้าวเท้าเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“ฉันต้องเป็นคนถามมากกว่านะ ทำไมยังทำแบบนี้อยู่อีก? บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าฝึกเพิ่มเองตามอำเภอใจ”
“การฟื้นตัวดี แต่น้ำหนักขึ้นเพราะกิจวัตรประจำวันหย่อนยานก็เลยออกกำลังกายไปนิดหน่อยน่ะ มันเป็นส่วนที่ไม่เกี่ยวอะไรกับข้อเท้า เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก”
“นายเป็นเนื้อบนเขียงหรือไง กล้ามเนื้อมันส่งผลต่อการดำรงชีวิต และกำลังกายก็ไม่ใด้แบ่งเป็นส่วนๆ แล้วเอาออกมาใช้งานได้นะ ลุกขึ้น รีบกลับบ้านไปเลย”
มูคยอมขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยและเหลือบสายตาขึ้นไปมองฮาจุนเหมือนแกล้งแอ๊บแบ๊วแล้วยิ้มออกมา
“อย่าโกรธเลยนะ ถ้าโค้ชอีโกรธ ฉันจะเจ็บข้อเท้า”
“…พอบาดเจ็บแล้วมารยายิ่งพัฒนานะ”
“ฉันพูดจริงๆ นะ”
ฮาจุนยังคงยิ้มอย่างขมขื่นออกมา พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมลุกขึ้นมาจากม้านั่ง ฮาจุนเลยแกล้งทำหน้าดุแล้วพูดเร่งอีกครั้ง
“ลุกขึ้นมาเร็ว บอกให้หยุดแล้วกลับบ้านไปพักไง”
“เข้าใจแล้ว ฉันออกกำลังกายมากไปเหรอเนี่ย ลุกขึ้นไม่ไหวเลย”
ตอนนั้นเองสีหน้าของฮาจุนถึงผ่อนคลายลงด้วยความกังวล
“…เป็นอะไรไป เจ็บจริงเหรอ”
“ไม่รู้สิ นิดหน่อยมั้ง… แต่ถ้านายกอดฉันหนึ่งทีน่าจะลุกไหวอยู่นะ”
ฮาจุนหรี่ตาลง
“นายจะพูดจีบฉันทุกรอบเลยใช่ไหมเนี่ย เลิกแอบจีบฉันสักที”
“ผิดที่โค้ชอีความจำดีเกินไปต่างหาก ลืมอะไรแบบนั้นไปบ้างก็ดีนะ”
มูคยอมตอบกลับพลางหัวเราะคิกคักแล้วยื่นมือออกไป
“งั้นจับมือฉันหน่อย ยังลุกคนเดียวไม่ไหวเลย”
“ยังจะสำออยอีก ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ สำออยไปก็ไม่ช่วยหรอกนะ”
“อย่าใจดำแบบนั้นสิครับ”
ฮาจุนพ่นลมจมูกเบาๆ แต่สุดท้ายก็ยื่นมือออกไป
ถึงจะบอกว่าเป็นอาการบาดเจ็บที่ไม่ค่อยรุนแรง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องลงน้ำหนักตรงข้อเท้าที่บาดเจ็บให้น้อยที่สุดเพื่อการฟื้นตัวที่รวดเร็วและสมบูรณ์
หมอบอกให้สวมเฝือกอ่อนที่ข้อเท้าจนกว่าจะหายสนิท และถ้าเป็นไปได้ก็ให้ใช้ไม้ค้ำยันขณะเคลื่อนไหว อีกฝ่ายลุกขึ้นมาเองได้ด้วยขาข้างเดียว ส่วนไม้ค้ำยันก็พิงอยู่ข้างๆ ม้านั่ง แต่ก็เลือกที่จะหลอกเขาอีกรอบ
“โอ๊ะ…”
แต่ทว่ามูคยอมที่จับมือฮาจุนและดูเหมือนว่าจะกำลังลุกขึ้นยืน กลับนั่งลงบนม้านั่งตามเดิมรวมถึงดึงฮาจุนที่เคยยืนอยู่ให้ลงมาหาตัวเอง
ด้วยความไม่ระวังทำให้ร่างกายของฮาจุนเริ่มโน้มเอียงลงมาและเสียการทรงตัว เขาพยายามคว้าจับคนตรงหน้าเอาไว้ตามสัญชาตญาณแล้วล้มลงมา สุดท้ายตัวของฮาจุนก็คว่ำลงไปแนบกับตัวของมูคยอมที่นอนลงบนม้านั่งอีกครั้ง
เขากำลังจะลุกขึ้นยืนแล้วด่าอีกฝ่ายว่าทำบ้าอะไร แต่ถูกขวางไว้เพราะแขนของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนแผ่นหลังอย่างแน่นหนา
“ปล่อยซะ”
ฮาจุนทำเพียงกดเสียงลงต่ำและลองพูดข่มขู่ที่ดูยังไงก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับก้อนสำลีสำหรับมูคยอม ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมผ่อนแรงลงจริงๆ ราวกับไม่ได้สนใจ ฮาจุนถอนหายใจหนึ่งครั้งอย่างยอมแพ้ และนอนคว่ำอยู่อย่างนั้นรอให้อีกฝ่ายปล่อยตัวเองไป ร่างกายที่เคยผ่านการฝึกซ้อมมาก่อนหน้านี้ร้อนรุ่มและแน่นตึง