The Legendary Mechanic - ตอนที่ 889 การเตรียมการของเทพเอส
ตอนที่ 889 การเตรียมการของเทพเอส
ภูมิภาค1749-Cคือชายแดนระหว่างเส้นทางดาวและแขนเงินและจักรวรรดิคริมสันกับศาสนจักรก็มีกองทัพใหญ่ประจำการอยู่ที่นั่น
หานเซี่ยวใช้เวลาเดินทางมาชายแดนไม่กี่วันนี่คือสถานที่นัดพบสำหรับศาสจักรและจักรวรรดิ
ยานรบพวกเขาหยุดนอกป้อมและยานหานเซี่ยวก็ได้รับข้อความจากผู้บัญชาการชายแดน
”ท่านแบล็คสตาร์กองยานคุ้มกันศาสนจักรได้มาถึงแล้ว พวกเขากำลังรอทำธุรกรรมกับเรา ตำแหน่งอยู่บนดาวไร้คนอาศัยระหว่างสองชายแดน ท่านมิลิซาสและกองยานเราจะพาท่านไปจุดหมาย”Aileen-novel
”มิลิซาสเองก็อยู่นี่?”หานเซี่ยวเลิกคิ้ว
เพียงเมื่อเขาถามเสียงของมังกรเฒ่าก็ดังขึ้นในช่องสื่อสาร
”ฉันมาถึงนานแล้วจักรวรรดิอยากให้ฉันมาเพื่อรับรองความถูกต้อง แม้โอกาสจะเกิดเรื่องผิดพลาดนั้นจะน้อยมาก เราก็ไม่อาจเมินเฉยความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายอาจชิงกาลอวกาศแอมเบอร์”
”อืมเข้าใจแล้ว”หานเซี่ยวพยักหน้า”ผู้บัญชาการ เดินทางได้เลย”
กองยานบินออกจากป้อมและร่างใหญ่โตของมิลิซาสก็ตามมา
กองยานไม่ได้เข้าไฮเปอร์ไดรฟ์แต่พึ่งพาตัวขับแทน หลังบินสักพัก ดาวก็ปรากฏในสายตา
กองยานของศาสนจักรและจักรวรรดิได้มาถึงดาวแล้วและทั้งสองฝ่ายก็รออยู่นอกชั้นบรรยากาศ มีดีแลนในอำพันถูกวางไว้บนพื้น
จักรวรรดิได้ตกลงที่จะปลดผนึกดีแลนคนที่อ่อนแอสุดมักได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากศัตรู
หานเซี่ยวตรวจดูสถานการณ์บนดาวและยืนยันว่าไร้กับดัก
แต่ทว่าเขาเคยถูกลอบโจมตีด้วยอุปกรณ์เปิดฟ้าหลากมิติมาก่อน ดังนั้น เขาจึงไม่ประมาท
”เรามาถึงแล้วท่านแบล็คสตาร์ ไปกันเถอะครับ”ในสะพานยานหลัก ฑูตจักรวรรดิเชิญหานเซี่ยวให้ออกไปกับเขา
หานเซี่ยวพยักหน้าและออกยาน
ผิวของดาวสีแดงอยู่ใกล้เขาขึ้น
หานเซี่ยวลอยลงพื้นและเหยียบบนผิวทราย
เมื่อเดินไปตรงหน้าหน่วยของศาสนจักรเขาก็มองดีแลนที่อยู่ในอำพัน
จากนั้นฑูตจักรวรรดิก็เดินไปคุยกับฑูตศาสนจักรสักพักก่อนพยักหน้าให้หานเซี่ยว
”ท่านแบล็คสตาร์โปรดคลายผนึกด้วย”
เมื่อได้ยินหานเซี่ยวก็ก้าวไปข้างหน้าและยืนตรงหน้าดีแลน จากนั้นก็หันกลับมามองพวกศาสนจักร
จากนั้นสุดยอดช่างกลหานก็เลิกคิ้วและกระทืบพื้นเบาๆ
วินาทีต่อมาพื้นก็แปลงเป็นโลหะนาโนและกำแพงเหล็กหนาก็พุ่งขึ้นจากพื้นเพื่อรับประกันว่าจะไม่มีใครเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
แบล็คสตาร์ชัดเจนว่าไม่อยากแสดงวิธีปลดผนึกเขาให้ใครอื่นเห็นทุกคนทำได้แค่รออย่างเงียบๆด้วยความไม่พอใจ
หลังผ่านไปสิบนาทีเต็มกำแพงโลหะก็สลายและกลับเข้าไปในฝ่ามือหานเซี่ยว ผนึกของดีแลนหายไปแล้ว และเขาก็ทรุดลงกับพื้นด้วยความกลัวในดวงตา
”ท่านดีแลนไม่เป็นไรนะครับ?”ทีมคุ้มกันศาสนจักรรีบวิ่งมาพยุงเขา
”ฉันไม่เป็นอะไร”
ดีแลนได้สติกลับและยืนขึ้นเองขณะจ้องหานเซี่ยวด้วยความโกรธและกลัว
”หลายเดือนที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง?”หานเซี่ยวหัวเราะ
ดีแลนตัวสั่นและก้าวถอยไปโดยไม่รู้ตัว
ร่างเขาถูกผนึกโดยกาลอวกาศแอมเบอร์แต่ความคิดเขาไม่ เขาสามารถรู้สึกได้ถึงร่างเขาแต่ไม่อาจควบคุมมันได้ ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับเขาถูกผีสิง ในช่วงเวลาที่เขาถูกผนึก ดีแลนรู้สึกเหมือนทุกวันนั้นนานนับปีและเกือบเสียสติ
หากไม่ใช่พลังจิตอันแข็งแกร่งของผู้อยู่เหนือเขารู้สึกว่าเขาอาจขาดสติไปได้
แม้เวลาไม่กี่เดือนจะไม่พอลบจิตสำนึกเขาดีแลนก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณเขาอ่อนแอขึ้น หากเขาติดอยู่ในนั้นนานกว่านี้ มันเป็นไปได้ว่าวิญญาณเขาอาจถูกลบไป!
ความเป็นไปได้เช่นนั้นทำให้ดีแลนกลัว
มันไม่ใช่แค่การขังร่างเขาแต่ยังสามารถลบจิตสำนึกเขาได้แม้กระทั่งผู้อยู่เหนือก็ไม่สามารถต้านทานมัน พลังของกาลอวกาศแอมเบอร์ทำให้เขากลัวอย่างแท้จริง
จากนั้นหานเซี่ยวก็กวาดตามองและกล่าว.”ผนึกคลายแล้วการซุ่มโจมตีอยู่ไหน?มันถึงเวลาแล้ว”
เขามักรู้สึกว่าศาสนจักรได้จัดเตรียมทัพไว้ใกล้ๆและกองทัพเหล่านั้นอาจปรากฏหลังการทำธุรกรรสำเร็จ
”เราไม่มีการซุ่มโจมตี”ฑูตศาสนจักรตอบ
”จริงหรอ?ฉันคิดว่าพวกแกอยากลองจัดการกับฉันซะอีกครั้งนี้ ไม่เพียงจะสามารถชิงลูกบาศก์วิวัฒนาการได้ พวกแกยังสามารถได้รับกาลอวกาศแอมเบอร์ด้วยนะ ไม่คิดเลยว่าจะไม่มีการซุ่มโจมตีจริงๆ…”หานเซี่ยวส่ายหัวและหัวเราะ”ดูเหมือนพวกแกจะกลัวฉันกันจริงๆ”
ใบหน้าของฑูตศาสนจักรบิดเบี้ยว
แบล็คสตาร์ใช้พลังเขาเพื่อพิสูจน์ตนเองเพื่อพิจารณาพันธมิตรอื่นที่ยังโดนผนึก พวกเขาไม่คิดเสี่ยงอีก นอกจากนี้ พวกเขายังอยู่ที่ชายแดนระหว่างสองอารยธรรม และจักรวรรดิก็ยังระวังตัว มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเตรียมการซุ่มโจมตี
แน่นอนนอกจากข้ออ้างทั้งหมดเหล่านี้ ความจริงคือพวกเขากลัว
มันเพราะหานเซี่ยวพูดความจริงที่ทิ่มแทงหัวใจพวกเขา
ฑูตศาสนจักรกัดฟันและตอบ”ในเมื่อการทำธุรกรรมลุล่วงแล้วเราก็ควรไป ผมหวังว่าเราจะสามารถทำธุรกรรมแบบนี้ได้อีกในอนาคต”
จากนั้นหานเซี่ยวก็ลูบคาง”คิดจะไปเฉยๆงั้นหรอดีแลน?ไม่อยากอยู่และจับฉันหรอไง?”
ฑูตศาสนจักรระวังและถาม”ท่านแบล็คสตาร์ท่านคิดทำอะไร?”
ตำแหน่งทำธุรกรรมตั้งอยู่ที่ชายแดนเพราะทั้งสองฝ่ายระวังกันจักรวรรดิกลัวว่าศาสนจักรอาจซุ่มโจมตี และศาสนจักรก็กลัวว่าจักรวรรดิจะกลับคำพูดและจับตัวดีแลนอีกครั้ง ด้วยสองฝ่ายที่ระวังกัน มันง่ายมากสำหรับศาสนจักรที่จะเข้าใจคำพูดหานเซี่ยวผิดไป
”ทำไมต้องตื่นตระหนกด้วย?กลัวว่าฉันจะชิงตัวเขากลับมา?”หานเซี่ยวยิ้มเยาะ
ฑูตศาสนจักรเงียบและไม่ตอบ
จากนั้นดีแลนก็กัดฟันและตอบ”ฉันจะไปเยือนกองทัพแบล็คสตาร์ในอนาคตหากมีโอกาส!”
”งั้นหวังว่าจะมาด้วยเจตนาที่ดี”หานเซี่ยวเลิกคิ้ว”ไม่งั้นประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอยได้”
เมื่อได้ยินดีแลนก็ผงะและไม่พูดตอบ
จากนั้นแสงก็ส่องบนตัวพวกดีแลนดูดพวกเขากลับไปในยาน
หานเซี่ยวมองดีแลนลอยขึ้นฟ้าและกองยานศาสนจักรที่ออกดาวไป
”การทำธุรกรรมเสร็จสิ้นกลับกันเถอะ”
หานเซี่ยวตบไหล่ฑูต
ศาสนจักรต้องถามว่าดีแลนรู้สึกยังไงตอนถูกผนึกดีแลนจะให้ความร่วมมือ และศาสนจักรจะรู้ว่าผนึกสามารถทำให้จิตสำนึกของคนตายได้
ศาสนจักรยังไม่รู้ว่าการถูกผนึกจะทำให้เสี่ยงถึงตายได้และหลังได้รับข่าวจากดีแลนพวกเขาต้องรีบอยากปลดผนึกคนอื่นแน่
แบบนี้พวกเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการเจรจากับจักรวรรดิ เพื่อประหยัดเวลา พวกเขาต้องยอมรับเงื่อนไขบ้าบอจากจักรวรรดิเพิ่ม
ผลลัพธ์พวกเขาสามารถอธิบายได้คำเดียว-น่าสงสาร
”ฮี่ๆฉันทำให้พวกมันเสียหายหนักอีกแล้ว”หานเซี่ยวหัวเราะ
ความสุขของคนมักเกิดขึ้นบนความทุกข์ของคนอื่น
การทำธุรกรรมราบรื่นและหานเซี่ยวก็ตามกองยานกลับไปป้อมชายแดนจากนั้นหานเซี่ยวก็ได้รับข่าวจากเบื้องบนว่าศาสนจักรเองก็ส่งผู้อยู่เหนือมาเข้าร่วมปฏิบัติการ
พันธมิตรที่ร่วมด้วยได้ตรงไปจุดรวมตัวแล้วก่อนมุ่งหน้าไปแม่น้ำดวงดาวแรกเริ่มด้วยกัน
จากนั้นมิลิซาสก็มาหาหานเซี่ยว”แบล็คสตาร์ฉันกำลังเตรียมตัวไปจุดรวมตัว นายมีอะไรต้องทำอีกไหม?”
”ไม่”
”งั้นก็ไปด้วยกันเลยบาดแผลฉันจากคฑาหมื่นเทพยังไม่หายดี นายยังมียานั่นอีกไหม?”
”โอ้ฉันยังมียา แต่..นายควรเข้าใจความหมายของการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมสินะ?”
”พูดมานายอยากได้เลือดมังกรมากแค่ไหน?อยากได้ของฉันไหม?”
”แค่กแค่กไว้ค่อยคุยระหว่างทางไป”
ตราบเท่าที่ล้ำเส้นไปแล้วครั้งหนึ่งมันยังมีครั้งที่สอง
มิลิซาสปฏิเสธที่จะมอบเลือดเขาให้หานเซี่ยวแต่หลังเห็นหานเซี่ยวเก็บเลือดเขาไปได้มาก เขาก็ตัดสินใจยอมแพ้ ในเมื่ออีกฝ่ายมีเลือดเขาแล้ว อีกนิดก็คงไม่แตกต่า
พวกเขาไม่อยู่ที่ชายแดนอีกและออกเดินทางด้วยกัน
ความปลอดภัยในจักรวรรดิดีมากและนอกจากมิลิซาสที่เซ้าซี้พวกเขาไม่พบปัญหาอะไรระหว่างทาง พวกเขาไปถึงจุดรวมตัวก่อนและรอให้พันธมิตรมาถึง
…
ในเวลาเดียวกันในแถบจักรวาลรกร้างของแม่น้ำดวงดาวแรกเริ่ม แดนผู้ร่วงหล่นลอยเหนือดาวฤกษ์ด้วยม่านพลังงานที่ป้องกันรังสี
ในห้องบัญชาการของยานหลักฟาซิเค็นมองออกนอกหน้าต่าง บนผิวของดาวนั้น ซึ่งเป็นที่ที่เทพเอสยืน พายุพลังงานสามารถเห็นได้โดยมีเทพเอสเป็นศูนย์กลาง
พลังงานของดาวฤกษ์รุนแรงไปและแม้จะด้วยสัมผัสของภัยพิบัติเขาก็ไม่อาจเห็นตัวเทพเอสได้ชัดเจน พายุพลังงานได้รบกวนเรดาห์ทั้งหมดบนยานและภูมิภาคเป้าหมายก็ถูกปกคลุมด้วยความสามารถเอสเปอร์ของเทพเอส ไม่มีใครสามารถเห็นได้ว่าเทพเอสกำลังทำอะไร
”ท่านเทพเอสให้เรารอที่นี่สองวันแล้วเขากำลังทำอะไร?”สมาชิกยานถามอย่างหมดความอดทน
”ฉันไม่รู้”ฟาซิเค็นตอบ
สองวันก่อนเทพเอสให้พวกเขารอนอกดาวนี้ขณะเขาลงไปบนผิวดาวและดูดซับพลังงานเหมือนหลุมไร้ก้นบึ้ง
ตอนนี้เองเทพเอสได้เหยียดแขนเขากว้างขณะดูดซับพลังงานไร้สิ้นสุดของดาว
เขามีความสามารถเอสเปอร์ที่สามารถดูดซับพลังงานของโลกภายนอกได้ชื่อว่า’หลุมดำ’เขาเคยใช้ความสามารถนี้ตอนสู้กับหานเซี่ยว
ขณะที่พลังงานถูกดูดเข้าตัวเขาเงาร่างคล้ายหมอกดำจะแยกจากตัวเทพเอสและเปลี่ยนเป็นสิ่งของคล้ายผลึกดำที่ลอยอยู่ข้างเทพเอส
ผลึกดำนี้คือร่างแยกที่สร้างโดยเทพเอสจากการดูดซับพลังงานจำนวนมาก
ยิ่งทรงพลังผลของลูกบาศก์วิวัฒนาการก็ยิ่งสูง พลังของเทพเอสได้รับการส่งเสริมแต่เขาสามารถรู้สึกได้ว่าร่างเขายังไม่วิวัฒนาการอย่างสมบูรณ์ มันราวกับพลังงานวิวัฒนาการได้จมไปในเซลล์เขาและเหมือนสมบัติที่กำลังปลดผนึก
เทพเอสไม่มีหน้าต่างสถานะและไม่รู้ว่านี่คือโอกาสวิวัฒนาการเผ่าเพิ่มเติมที่เขาได้รับโดยการใช้ลูกบาศก์วิวัฒนาการ
แต่หากเขาสามารถยกระดับได้สำเร็จเขาจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
แต่ทว่าลูกบาศก์วิวัฒนาการไม่มีความสามารถเพิ่มระดับของคนและดังนั้น เทพเอสจึงไม่ได้รับพลังงานนี้ในตอนนี้
แม้ความสามารถวิวัฒนาการจะไม่ช่วยให้เทพเอสยกระดับมันก็ปลดข้อจำกัดบางอย่างบนตัวเทพเอส
ตัวอย่างเช่นยีน!
เพราะความขัดแย้งระหว่างยีนร่างเทพเอสจึงไม่สามารถรองรับความสามารถต่างๆได้มากเกินไปพร้อมกัน ร่างแยกเขาสามารถกลบมันได้และเก็บความสามารถเอสเปอร์บางอย่างไว้ แต่ร่างหลักเขาไม่อาจใช้ความสามารถเหล่านี้ได้
แต่ทว่ามีข้อเสียที่เห็นได้ชัดกับวิธีนี้ ร่างแยกที่สร้างโดยเทพเอสจะเป็นภาระเพราะการรักษาร่างแยกไว้จำเป็นต้องกระตุ้นความสามารถเอสเปอร์
หากเทพเอสเหมือนคอมพิวเตอร์ทุกความสามารถเอสเปอร์ก็เป็นเหมือนโปรแกรม ขีดจำกัดสูงสุดของร่างหลักเขาเหมือนแรม และการรักษาร่างแยกไว้ก็เหมือนการเปิดโปรแกรมไว้เป็นพื้นหลัง มันยังใช้แรมเขาอยู่
ยิ่งร่างแยกทรงพลังและมากแค่ไหนมันก็ยิ่งต้องใช้แรมสูง
เขาต้องการแรมเพื่อให้เขาเปิดใช้โปรแกรมอื่นได้เพิ่ม
ดังนั้นเทพเอสจึงไม่ใช้ร่างแยกเขาในช่วงการต่อสู้เพราะเหตุผลนี้ การดำรงอยู่ของร่างแยกเขาจะลดความสามารถต่อสู้ของร่างหลัก
แต่ทว่าลูกบาศก์วิวัฒนาการได้เปลี่ยนแปลงสิ่งนี้
พูดง่ายๆมันเพิ่มแรมเขาและพัฒนาโปรแกรมเขา
ขีดจำกัดสูงสุดของร่างหลักเพิ่มและภาระของทุกความสามารถเอสเปอร์ก็ลดลงนั่นหมายความว่าเขาจะสามารถใช้ความสามารถเอสเปอร์ได้มากขึ้น
นี่ทำให้พลังของเทพเอสเพิ่มขึ้นมาก!
เช่นนั้นเทพเอสตอนนี้จึงสามารถปล่อยร่างแยกได้มากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงในคุณภาพยังส่งผลถึงปริมาณ!
อาจกล่าวได้ว่าการพัฒนาจากลูกบาศก์วิวัฒนาการได้เปลี่ยนกลยุทธ์ต่อสู้ของเทพเอสไป!
เทพเอสกำลังดูดพลังงานจากดาวฤกษ์เพื่อให้เขาสามารถสร้างร่างแยกจำนวนมากได้และเตรียมสู้กับศัตรู!
เนื่องจากเขาทำให้ศาสนจักรและจักรวรรดิโกรธมันจึงเป็นแค่เรื่องของเวลาก่อนทั้งสองฝ่ายจะพยายามล้อมจับเขา ในเมื่อสองฝ่ายดูเหมือนจะอยากลงมือ เขาก็ต้องเตรียมการ
เทพเอสหวงชีวิตเขามากเขาจะสามารถเติมเต็มความปราถนาเขาได้ก็ต่อเมื่อยังมีชีวิต แต่ทว่าเขาไม่กลัวอันตรายเลยเพราะเขาจะแกร่งขึ้นหลังการต่อสู้เท่านั้น
การโจมตีของอารยธรรมจักรวาลต้องเป็นโอกาสอันดีให้เขาทดสอบพลังใหม่เขาจะสามารถเข้าใจพลังเขาได้หลังสู้กับผู้อยู่เหนือคนอื่น
การโจมตีครั้งนี้ยังเป็นโอกาสให้เขาต่อให้ความหมายจะต่างไปเล็กน้อย
นี่คือการต่อสู้ครั้งแรกของเขาหลังวิวัฒนาการ!
เทพเอสตื่นเต้นมาก
เขาจะรู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต่อเมื่อได้ทดสอบพลังเขา