Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 116
ตอนที่ 116 ทีละคน
“ก่อนหน้านี้ข้าอยู่กับพี่หวังมาโดยตลอด เหตุการณ์ทุกๆอย่างก็ปกติดี แต่ในตอนนั้นอยู่ๆก็มีเงาดำเข้ามาปกคลุมร่างของพี่หวังและหลังจากนั้นพี่หวังก็แน่นิ่งไปทันที เงาดำควักหัวใจของพี่หวังออกมาและกินเข้าไปทันที” หลังจากที่ท่านลุงไฉทำให้เขาสงบสติลงแล้ว เขาก็บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกมาทันที
แม้ว่าจะมีคนมากมายที่อยู่ที่นี่แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นขึ้นมาจนเห็นได้ชัด
นี่ไม่ใช่เพราะเขาขี้ขลาด เพราะการที่จะเป็นผู้คุ้มกันได้ย่อมไม่ใช่คนที่ขี้ขลาดอย่างแน่นอน แต่เหตุผลหลักๆนั่นก็เพราะสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นมันน่าหวาดกลัวจนเกินกว่าเขาจะรับได้
สหายของตนเองถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา ผลกระทบที่เกิดขึ้นคงยากที่จะรับได้อย่างแน่นอน
“จากนั้นล่ะ? เจ้าได้เห็นหน้าของฆาตกรชัดๆหรือไม่?” โม่หรูเยียนถามออกมาอย่างสงบนิ่ง แต่ความจริงแล้วในใจของนางกลับเต็มไปด้วยความโกรธ
“ข้าเห็น ใบหน้าของมันน่ากลัวมาก” ชายคนนี้อยากจะอธิบายลักษณะหน้าตาของฆาตกรออกมาแต่เขาก็พูดได้เพียงแค่มันน่ากลัวมากเท่านั้น
“น่ากลัวมากหรอ? รูปร่างหน้าตาของมันเหมือนกับมนุษย์หรือไม่หรือมีอะไรที่ดูแตกต่าง?” ท่านลุงไฉถอนหายใจออกมาและถามต่อ
“อะไรที่ดูแตกต่างหรอ? ใช่แล้ว ใช่แล้ว ดวงตาของมันเป็นสีขาวและที่ลำคอกับแขนของมันมีขนอยู่มากมาย” ชายคนนั้นดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อีกครั้งและรีบพูดออกมาทันที
หลังจากได้ฟังคำอธิบายท่านลุงไฉก็หันไปพยักหน้าให้กับโม่หรูเยียนเงียบๆ เขาสื่อความหมายออกไปอย่างชัดเจนว่า ไม่ผิดแน่ ฆาตกรในครั้งนี้คือผีดิบเหมือนกับที่พี่ชายของเขาเคยประสบพบเจอ
ดูเหมือนว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถจัดการได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนคนมากกว่านี้ก็คงทำอะไรไม่ได้แน่นอน
ในขณะเดียวกันคำพูดของชายคนนั้นก็ทำให้ผู้คุ้มกันคนอื่นๆมีสีหน้าที่ดูหวาดกลัวขึ้นมาทันที ถ้าหากเป็นมนุษย์คนหนึ่งต่อให้มีวิทยายุทธสูงมากเพียงใดพวกเขาก็คงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ต่อสู้แลกชีวิตกับศัตรูเท่านั้น
แต่เรื่องนี้จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ เพราะทุกคนต่างก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกกลัวขึ้นมาเป็นเรื่องปกติ
แม้ว่าจะเป็นคนที่ดุดันโหดเหี้ยมมากเพียงใด แต่ในช่วงเวลาที่วิกฤตอย่างเช่นตอนนี้ก็ย่อมต้องรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเพราะมันเกินกว่าที่จิตใจของพวกเขาจะรับไหว
ในตอนนี้โม่หรูเยียนรีบวิ่งออกมาข้างนอกวัดร้างอีกครั้งหนึ่งและพร้อมกันนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาอีกครั้งที่ด้านนอกวัดร้าง ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ในวัดลัทธิเต๋าร้างแห่งนี้ต่างก็หน้าซีดขึ้นมาทันทีแต่พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะรีบวิ่งออกมาพร้อมๆกัน
ในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในวัดลัทธิเต๋าร้างอีกต่อไปเพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้และการอยู่ร่วมกันไม่แยกจากกันไปไหนย่อมทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด
ในตอนที่โม่หรูเยียนรีบวิ่งออกมานั้น สีหน้าของนางก็ดูย่ำแย่มากยิ่งขึ้น
“คนที่ 3!”
ตรงหน้าของนางนั้นยังคงเป็นศพที่นอนอยู่บนพื้น นี่เป็นศพที่ 3 แล้วที่ถูกควักหัวใจออกไป ในช่วงเวลาสั้นๆนี้คนของสำนักคุ้มกันตายไปถึง 3 คนแล้วและนางยังไม่ได้เห็นหน้าฆาตกรเลยด้วยซ้ำ นี่มันเหมือนกับการตบหน้านางอย่างรุนแรง ตั้งแต่นางเริ่มออกเดินทางในฐานะผู้คุ้มกันก็ไม่เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
ในอดีตนั้นไม่ว่าจะเจอศัตรูที่เอาชนะได้ยากลำบากมากเพียงใด นางก็ไม่เคยรู้สึกโกรธหรือรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเท่ากับวันนี้เลย
“ทุกคนไม่ต้องสนใจสินค้าอีกต่อไปรีบล้อมวงกันเร็วเข้า ห้ามใครแยกตัวออกไปไหนถ้ายังไม่ได้รับคำสั่งจากข้า” โม่หรูเยียนตะโกนออกมาเสียงดัง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่สามารถป้องกันไม่ให้ลูกน้องของตนเองถูกฆ่าตายไปทีละคน. .
ในตอนที่ทุกๆคนล้อมวงกันนั้นคบเพลิงก็ถูกจุดขึ้นมาจนพื้นที่โดยรอบนั้นสว่างไสว ถ้าหากศัตรูยังซ่อนตัวอยู่ในความมืด นางเชื่อว่านางจะสามารถหาตัวมันพบได้อย่างแน่นอน
โม่หรูเยียนยืนอยู่บนหลังคาของรถม้า มือข้างหนึ่งของนางจับเอาไว้ที่ธงบนรถม้าและมองไปรอบๆพื้นที่บริเวณนี้
“ปกป้องผู้ว่าจ้างของเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ท่านลุงไฉพูดออกมาอีกครั้ง
“ท่านลุงไฉ ผู้ว่าจ้างของเราหายตัวไปแล้วขอรับ” จากนั้นก็มีเสียงของชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาทันที
“หายตัวไปแล้ว? ใครที่อยู่กับเขาก่อนหน้านี้?” ท่านลุงไฉถามขึ้นมาเสียงดังทันที เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องคุ้มกันผู้ว่าจ้างคนนี้ที่เป็นพ่อค้าสมุนไพรให้ไปถึงเมืองลั่วหยางอย่างปลอดภัยและอีกฝ่ายจะชำระเงินค่าจ้างส่วนที่เหลือให้ ถ้าหากผู้ว่าจ้างหายตัวไปแล้วพวกเขาจะไปตามหาเงินที่เหลือจากใครได้? จะให้ส่งสินค้าเดินทางกลับไปที่เดิมหลายพันลี้อย่างนั้นหรอ?
“ข้ายังไม่เห็นตัวเขาเลย ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาก็ไม่มีใครเห็นตัวเขาเลยขอรับ” ชายอีกคนหนึ่งตอบกลับมา
แต่ในตอนนี้อารมณ์ของท่านลุงไฉเริ่มรู้สึกแย่ขึ้นมาทันที
“ปล่อยเขาไป ทุกๆคนจงประจำที่ของตนเองเอาไว้” ในตอนที่ท่านลุงไฉอยากจะส่งคนออกไปตามหาผู้ว่าจ้างนั้น โม่หรูเยียนก็พูดขึ้นมาทันที
“นายหญิงน้อย …” ท่านลุงไฉอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่โม่หรูเยียนก็ส่ายศีรษะอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของผู้คุ้มกันทุกๆคนมากยิ่งกว่าการออกไปตามหาผู้ว่าจ้างในตอนนี้
“ท่านนักพรตเต๋า รีบออกมาเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราจะปกป้องท่านไม่ได้อีกต่อไป!” โม่หรูเยียนตะโกนออกไปทางรถม้าของมู่อี้
แต่หลังจากที่นางตะโกนออกไปนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลยและโม่หรูเยียนก็ทำได้เพียงเลิกสนใจเขาเพราะในตอนนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายที่นางต้องจัดการ การที่ผู้ว่าจ้างหายตัวไปนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่ายังไงพ่อค้าสมุนไพรคนนี้ก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น
แต่มู่อี้มียักษ์คลั่งของลัทธิเทพธิดาพันบุตรตามติดกับตนเองอยู่ตลอด แม้ว่าในตอนนี้เขาจะเรียกมันว่าต้าหนิวแต่นางก็ทราบดีว่าพลังของเจ้าต้าหนิวนั้นทรงพลังมากเพียงใด ฆาตกรผู้นี้สามารถลงมือฆ่าลูกน้องของนางได้อย่างเงียบเชียบแต่คงไม่สามารถทำแบบนั้นกับต้าหนิวได้อย่างแน่นอน
แต่ในตอนนี้เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบกลับมา โม่หรูเยียนก็รู้สึกได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันแปลกประหลาดไปเล็กน้อย
เสียงตะโกนของนางก่อนหน้านี้แม้แต่คนที่หลับอยู่ก็ต้องตื่นขึ้นมาแน่นอน เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้อยู่ในรถม้าหรือไม่ก็มีเหตุผลอื่น
“นายหญิงขอรับ หรือว่าพวกเราควรจะไปตรวจสอบดู” รถม้าของมู่อี้ไม่ได้อยู่ไกลจากพวกเขามากนัก แต่ในตอนนี้ไม่มีคบเพลิงเหลืออยู่อีกแล้วและระยะทางจากบริเวณที่พวกเขาอยู่ไปถึงรถม้านั้นมีครึ่งหนึ่งที่อยู่ในความมืดจนพวกเขารู้สึกว่ามีความน่าสะพรึงกลัวอะไรบางอย่างรออยู่ในความมืดนั้น
“ไม่ ข้าจะไปเอง” โม่หรูเยียนส่ายศีรษะทันทีและจากนั้นนางก็พุ่งตรงออกไปที่รถม้าของมู่อี้ การเคลื่อนไหวของนางนั้นรวดเร็วมาก เพียงแค่ปลายเท้าของนางสัมผัสกับพื้น 2 ครั้งร่างกายของนางก็มาหยุดอยู่ตรงหน้ารถม้าของมู่อี้แล้ว
“ท่านนักพรตเต๋า ท่านอยู่ที่นี่หรือไม่?” โม่หรูเยียนพูดพร้อมกับใช้ดาบในมือของนางเปิดผ้าม่านของรถม้าขึ้นมา แต่ในตอนที่นางกำลังจะเปิดผ้าม่านขึ้นนั้นผ้าม่านก็ถูกเปิดขึ้นจากข้างในรถม้าด้วยมือขนาดใหญ่ จนทำให้นางต้องตกใจสะดุ้งขึ้นมาทันที
เมื่อได้เห็นมือขนาดใหญ่นั้น โม่หรูเยียนก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
ตราบใดที่ต้าหนิวยังอยู่ที่นี่ นั่นก็หมายความว่ามู่อี้ยังไม่เป็นอะไร
โม่หรูเยียนกระโดดขึ้นไปและยืนอยู่บนหลังคาของรถม้า ในตอนที่นางเห็นต้าหนิวยังคงอยู่ในรถม้านั้นนางก็พูดออกมาด้วยความโกรธว่า “ในเมื่อท่านไม่เป็นอะไร เหตุใดถึงต้องแกล้งทำเป็นคนตายด้วย?”
แต่แม้ว่าโม่หรูเยียนจะพูดออกไปเช่นนี้เขาก็ยังไม่ตอบอะไรกลับมา นางขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีและในตอนที่นางกำลังจะพูดออกไปอีกครั้งหนึ่งนั้น อีกทางด้านหนึ่งก็มีเสียงดังขึ้นมาทันที
ในตอนนี้โม่หรูเยียนไม่สนใจมู่อี้อีกต่อไปแล้วและรีบหันกลับมาทันที สิ่งที่นางเห็นในตอนนี้ก็คือเงาดำกำลังพุ่งเข้าไปหากลุ่มคนที่กำลังอยู่ในความโกลาหล