Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 139
ตอนที่ 139 ฉงเจีย
จากที่ฉงเจียอี้พูดมา มู่อี้สามารถเข้าใจชวีหยางได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น พูดได้เลยว่ามู่สามารถเอาชนะชวีหยางได้ข้างนอก แต่ถ้าหากอยู่ที่ชวี่ยจวงเช่นนั้นมู่อี้ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ส่วนชายชราที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นอีกฝ่ายบอกว่าตัวเองเปลี่ยนชื่อแช่มาหลายครั้ง เพื่อความอยู่รอดแล้วเขาถึงกลับเปลี่ยนชื่อบรรพบุรุษของตนเองเลยทีเดียว แต่มู่อี้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก
ภายในกล่องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะนั้น มู่อี้เห็นกุญแจที่ชวีหยางต้องการ มันมีน้ําหนักเบาแต่ก็มีความแข็งอย่างยิ่ง มีลักษณะเป็นทรงสามเหลี่ยม ขนาดเท่ากับฝ่ามือ และมีตัวอักษรโบราณที่นูนขึ้นมาเป็นคําว่าเต่า!
อย่างน้อยที่สุดคํานี้ม่อี้ก็ย่อมรู้จักดี เพราะเขาเองก็เป็นนักพรตเต๋คนหนึ่ง ถ้าหากแม้แต่คํานี้เขายังไม่รู้ท่านปูที่ตายไปแล้วของเขาคงฟื้นขึ้นมาหักคอเขาแน่นอน
แต่มู่อี้ก็ไม่แน่ใจว่าคําว่า เต๋า ที่เขาเห็นในตอนนี้จะเป็น นักพรตเต๋า หรือ ลัทธิเต๋า และเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองมันคืออะไรกัน?
แม้ว่าทั้งสองคํานี้จะคล้ายคลึงกันแต่ความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เดิมที่มู่อื้อยากจะสอบถามเรื่องเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองเพิ่มเติมจากฉงเจียอี้แต่ไม่คิดเลยว่าฉงเจียอี้จะไม่ทราบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ชายชรารู้เพียงว่าเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองเกี่ยวข้องกับตํานานและความลับครั้งใหญ่ แต่รายละเอียดอื่นๆนั้นเขาไม่ทราบเลย
แต่ตามที่ฉงเจียอี้บอกมา เส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองดูเหมือนจะมีกุญแจทั้งหมด 6 ดอกมีเพียงการรวบรวมกุญแจทั้ง 6 ดอกนี้เท่านั้นตํานานถึงจะเปิดออกอีกครั้ง
นี่ยังเป็นเหตุผลหลักที่ชวีหยางทิ้งกุญแจไว้ให้เขา เพราะถ้าหากว่ากุญแจอยู่ที่มู่อี้ ชวีหยางก็ยังต้องตามหากุญแจอีก 5 ดอก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีเวลามากพอที่จะมาทวงคืนกุญแจดอกนี้กลับไปอย่างแน่นอน อย่างน้อยชวีหยางก็ยังคงมั่นใจได้ว่ากุญแจดอกนี้จะยังคงอยู่ในมือของมู่อี้ไปสักพัก
แต่ความจริงแล้วกุญแจดอกนี้เป็นของพ่อค้าสมุนไพรคนนั้น หรือว่าเขาควรส่งมันกลับคืนไป
นี่คือความคิดที่ปรากฏขึ้นมาในใจของมู่ในตอนนี้
ถ้าหากจะบอกว่ามู่อี้ไม่สนใจตํานานและความลึกลับของเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองคงเป็นเรื่องที่โกหกอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกสนใจมากขนาดนั้น ในความคิดของเขาสิ่งที่สําคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือตามหาตัวท่านปู่ ส่วนเรื่องต่อไปที่เขาจะทํานั้นก็อาจจะเป็นการกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่ภูเขาฟูเนียวหรือไม่ก็ตามหาความทรงจําที่ขาดหายไปของตนเอง
มู่อี้รู้สึกแปลกประหลาดทุกครั้งที่เขาไม่มีความทรงจําในช่วงก่อนอายุ 6 ขวบเลย ถ้าหากมันเป็นความทรงจําที่คลุมเครือเช่นนั้นอาจจะหมายความว่าเขายังเด็กจึงหลงลืมอะไรบางอย่างไปแต่นี่มันกลับกลายเป็นว่าเขาจําอะไรไม่ได้เลยก่อนที่เขาจะอายุครบ 6 ขวบ ซึ่งต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติแน่นอน
และความฝันที่เขามองเห็นเมื่อคืนนี้ มันจะใช่ความทรงจําที่ขาดหายไปก่อนที่เขาจะอายุครบ 6 ขวบหรือไม่?และหญิงสาวที่อ่อนโยนคนนั้นคือมารดาของเขาจริงๆหรือ?
ส่วนเหตุผลว่าทําไมความทรงจําก่อนที่เขาจะอายุครบ 6 ขวบถึงได้หายไปนั้นยังคงเป็นความลับอยู่ บางทีถ้าหากเขาฝึกฝนจิตใจของตนเองให้ไปถึงระดับสูงกว่านี้เขาอาจจะได้รู้คําตอบ
มู่อี้ถือกุญแจเอาไว้ในมือพร้อมกับคิดไตร่ตรอง แน่นอนว่าถ้าหากเป็นนิสัยปกติของเขาแล้วเขาจะส่งกุญแจดอกนี้กลับไปให้เจ้าของเดิม เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับภารกิจของโม่หรูเยียนแม้ว่านางจะไม่รู้ว่ากุญแจดอกนี้ล้ําค่ามากแค่ไหน แต่ถ้าหากมันหายไปนางก็ต้องหาคําอธิบายต่อผู้ที่รับสินค้า
แต่การส่งคืนกลับไปในตอนนี้ม่อี้ก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่นิดหน่อย เมื่อมันเกี่ยวข้องกับความลับแห่งสวรรค์และโลกม่อี้ก็ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆแบบนี้ไปด้วยเช่นกัน
จากการที่ชวีหยางให้ความสําคัญกับกุญแจดอกนี้ เขารู้ได้เลยว่าเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองจะต้องมีความลับสําคัญอะไรบางอย่างซ่อนอยู่
หลังจากคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งมู่อี้ก็เก็บกุญแจเข้าไปในกล่องจากนั้นก็เปิดกล่องอีกใบขึ้นมาดูสิ่งที่อยู่ภายในกล่องนี้ตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย มันเป็นเงินกองหนึ่งเท่านั้นซึ่งน่าจะเท่ากับจํานวนเงินที่เขาได้มอบให้กับโม่หรูเยียนไปก่อนหน้านี้ นั่นคือหนึ่งพันตําลึงทอง
ไม่คิดเลยว่าท่านลุงไฉจะส่งเงินกลับมาให้เขา หรือเป็นเพราะว่าเขาได้ช่วยเหลือผู้คุ้มกันไปหลายคน?
มู่อี้ส่ายศีรษะและปิดกล่องกลับไปอีกครั้ง
“เจ้าอยากตายหรือจะมีชีวิตอยู่ต่อไป?” มู่อื้ถามขึ้นมาทันทีพร้อมกับจ้องมองมาที่ฉงเจียอี้
” ท่านนักพรตเต๋ ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ ตราบใดที่ท่านนักพรตเต๋ต้องการสิ่งใด แม้จะเป็นวัวเป็นม้าข้าน้อยก็พร้อมยอมทําตามที่ท่านนักพรตเต๋ต้องการ” เมื่อฉงเจียอี้ได้ยินคําพูดของมู่อี้เขาก็รู้ทันทีว่าโอกาสรอดของตัวเองมาถึงแล้ว ถ้าหากอีกฝ่ายจะฆ่าเขาคงไม่ต้องถามให้มากความ
คําถามของมู่ในตอนนี้ก็เพื่อดูว่าชายชรารู้สถานะของตนเองหรือไม่ ถ้าหากว่าอีกฝ่ายอยากจะตายเช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความแต่ถ้าหากอยากจะมีชีวิตรอดก็ต้องมีอะไรบางอย่างตอบแทน
” ข้าไม่ต้องการให้ท่านเป็นวัวเป็นม้าหรอก ข้าแค่ต้องการประโยชน์อะไรบางอย่างจากท่านเท่านั้น” มู่อี้ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าไม่รู้ว่าท่านต้องการอะไรจากข้า” ฉงเจียอี้ไม่อาจเข้าใจความคิดของมู่อี้ได้ในตอนนี้เขาอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธเพราะกลัวว่ามู่อี้จะรู้สึกรําคาญและสังหารเขาไปทันที
“อย่ากังวลไปเลย ข้าไม่ใช่คนที่จะมาฆ่าเจ้าโดยไร้เหตุผล เจ้าก็แค่ต้องช่วยเหลือข้าจับตามองคนคนหนึ่งเท่านั้น” มู่อี้พูดขึ้นมาทันที
“จับตามองคนคนหนึ่ง?” ฉงเจียอี้ตกตะลึงแต่หลังจากนั้นเขาก็รู้ทันทีว่ามู่อี้ต้องการให้ตนเองจับตามองใคร ” หรือว่าท่านต้องการให้ข้าน้อยจับตามองชวีหยางหรือขอรับ?”
“ใช่ เจ้าจะยินยอมหรือไม่ “ มู่อี้ถามกลับ
“ยินยอมขอรับ ตราบใดที่ท่านนักพรตเต๋ไว้ชีวิตข้าน้อย ไม่ว่าจะต้องเผชิญคมดาบหรือ เปลวเพลิงที่อันตรายมากเพียงใดข้าก็ไม่หวั่น” ฉงเจียอี้รีบแสดงความจงรักภักดีของเขาออกมาทันที่และในความคิดของเขานั้นการจับตามองชวีหยางก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนะ ตราบใดที่มันช่วยรักษาชีวิตของเขาได้เช่นนั้นเขาก็พร้อมที่จะทํา
“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าจับตามองชวีหยางเอาไว้และหาข่าวของชายที่มีชื่อว่า หลี่จี้ หรือหลี่เฉียจือถ้าหากเขาปรากฏตัวขึ้นมาเจ้าต้องหาวิธีแจ้งให้ข้าทราบทันที” มู่อี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ได้เลยขอรับ ท่านนักพรตเต๋โปรดวางใจได้เลยตราบใดที่ข้าน้อยยังอยู่ที่นั่นท่านจะได้ทราบข่าวทุกๆอย่าง ถ้าหากหลีไปที่นั่นข้าน้อยจะรีบแจ้งให้ท่านทราบทันที” ฉงเจียอี้รีบตอบกลับมาคําสั่งของมู่อี้สําหรับเขาแล้วถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
“ดี ไม่เพียงแต่เจ้าต้องจับตามองการเคลื่อนไหวของชวีหยางเท่านั้นถ้าหากมีข่าวใดๆที่เกี่ยวข้องกับหลี่เฉียจื่อ ข้าจะมอบรางวัลให้กับเจ้ามากมาย” มู่อี้พูดพร้อมกับจ้องมองมาที่ฉงเจียอี้
“ได้เลยขอรับ ถ้าหากข้าน้อยกลับไปถึงที่นั่นแล้วจะรีบระดมคนออกไปตรวจสอบเรื่องนี้ทันทีไม่ว่าหลีจี้จะซ่อนตัวอยู่ที่ใด ข้าก็จะจับตัวเขามาให้ท่านนักพรตเต๋าแน่นอนขอรับ”ฉงเจียอี้ไม่ได้สนใจรางวัลใดๆ สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่ชีวิตของตนเองและการได้เป็นอิสระอีกครั้ง
ตราบใดที่เขาสามารถรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ได้ สิ่งที่ทํามาทั้งหมดก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์แล้ว
“ข้าจะอยู่ที่นี่อีกสักวันหรือสองวันและจากนั้นก็เดินทางต่อไปยังเมืองฉางโจว เจ้าทิ้งที่อยู่เอาไว้ให้กับข้า หลังจากที่ข้าหาที่อยู่ที่มั่นคงในเมืองฉางโจวให้กับตัวเองได้แล้วข้าจะส่งจดหมายไปให้เจ้าและที่อยู่ของข้าก็จะระบุเอาไว้ในนั้น ต่อไปถ้าหากเจ้าทราบข่าวเรื่องหลี่เฉียงื่อก็ต้องรีบส่งจดหมายมาตามที่อยู่ของข้าทันที” เห็นได้ชัดว่าอี้คิดเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาคิดออกมาได้ในตอนนี้
เขาสั่งให้ฉงเจียอี้จับตามองชวีหยางเอาไว้ ซึ่งมันไม่ต่างอะไรจากการไว้วางใจคนแปลกหน้าเลย ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉงเจียอี้และชวีหยางเลย แค่ดูจากหน้าตาของชายชราคนนี้เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ฉลาดและเจ้าเล่ห์อย่างแน่นอน ชายชราย่อมแสดงละครทุกๆอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดจากที่นี่ไปให้ได้
แต่มู่อี้ก็ไม่ใช่คนโงที่จะยอมปล่อยให้ฉงเจียอีกลับไปง่ายๆแบบนั้นและไม่คิดว่าชายชราจะทําตามคําสั่งของตนเองด้วยความซื่อสัตย์ อาจมีคนแบบนั้นในโลกใบนี้แต่ไม่ใช่ฉงเจียอีที่อยู่ตรงหน้าของเขาอย่างแน่นอน