Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 96
ตอนที่ 96 ผู้พิพากษามาเยือน
ค่ำคืนนี้เป็นคืนสำคัญที่ยากจะลืมได้สำหรับมู่อี้ เขารู้สึกว่าตนเองได้เติบโตขึ้นอีกครั้งเพราะในวันนี้เขาได้เข้าใจความหมายของชีวิตมากยิ่งขึ้น
ก็เหมือนกับลูกนกที่เมื่อฟักออกจากไข่แล้วในที่สุดก็ต้องบินออกจากรังด้วยปีกของตนเองไปเผชิญหน้ากับลมฝนและพายุ มนุษย์ทุกๆคนก็เช่นกันไม่มีใครสามารถอยู่ในร่มเงาของพ่อแม่หรือคนที่เลี้ยงดูมาไปได้ตลอดสักวันหนึ่งก็ตามหาเส้นทางของตนเอง
ในเช้าตรู่ของวันถัดมาซูจินหลุนและซูหยิงหยิงก็ขึ้นเขามาพร้อมกันเพื่อมาเยี่ยมเยียนมู่อี้อีกครั้งหนึ่ง
เดิมทีมารยาทเช่นนี้จะปฏิบัติต่อผู้อาวุโสเท่านั้น ผู้เยาว์ในตระกูลจะเดินทางกลับไปหาผู้อาวุโสเพื่อเยี่ยมเยียนและขอให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดไป แม้ว่ามู่อี้จะถือเป็นผู้มีบุญคุณของตระกูลซูและยังมีสถานะที่พิเศษแต่ความจริงแล้วอายุของเขาน้อยกว่าซูหยิงหยิงเสียอีก
บางครั้งอายุก็ไม่ใช่ข้อกำหนดเพียงอย่างเดียว
เมื่อได้พบหน้ากับซูจินหลุนและซูหยิงหยิง มู่อี้ก็ต้อนรับทั้ง 2 คนเป็นอย่างดี เมื่อก่อนในวันปีใหม่นั้นเขาเคยขอเงินจากท่านปู่ด้วยเช่นกันและท่านปู่ก็มอบเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งให้กับเขาอย่างตระหนี่ถี่เหนียวและสิ่งที่ล้ำค่าหรูหราสำหรับเขาในตอนนั้นก็คือเศษชิ้นส่วนของเหรียญเงิน แต่เพียงแค่เหรียญทองแดงก็ทำให้เขารู้สึกพอใจมากแล้ว
คราวนี้ถึงคราที่มู่อี้ต้องรับบทเป็นผู้อาวุโสบ้างแล้ว แต่เขากลับมอบยันต์ให้กับสองพี่น้องคู่นี้เท่านั้น เพราะดูจากตระกูลของพวกเขาแล้วย่อมไม่ขาดเงินทองหรือของมีค่าอย่างแน่นอน มีเพียงยันต์ของมู่อี้เท่านั้นที่เป็นเหมือนของมีค่าสำหรับพวกเขา
หลังจากนั้นมู่อี้ก็พบว่าซูหยิงหยิงดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่เขาก็บอกไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของนางนั้นมันคืออะไร มันเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นแต่มู่อี้ก็ไม่ได้ถามอะไรมากนักเพราะเขาคิดว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่เหมาะสมที่จะเอ่ยถามออกไป
เขาหวังได้เพียงว่าการเปลี่ยนแปลงของนางนั้นจะเป็นไปในทางที่ดี
หลังจากที่สองพี่น้องจากไปแล้ว เนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่ใช้ธงราชันย์แห่งวิญญาณคลุมร่างกายของนางอยู่ในตอนนี้ก็ปรากฏขึ้นข้างๆมู่อี้ทันที
ดูเหมือนว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับแสงแดดได้โดยตรงนางจึงต้องใช้ธงราชันย์แห่งวิญญาณเป็นเหมือนผ้าคลุม อย่างน้อยมันก็สามารถทำให้นางเคลื่อนไหวไปทั่ววัดแห่งนี้ได้อย่างอิสระ
มู่อี้นั่งมองเนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่เลียนแบบการกระทำของสองพี่น้องก่อนหน้านี้ นางทำความเคารพเขาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
ในท้ายที่สุดนั้นมู่อี้ก็หยิบเหรียญทองแดงออกมามอบให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ เหรียญทองแดงเหรียญนี้เป็นเหรียญที่ท่านปู่เคยมอบให้กับเขาและเขาก็พกติดตัวเอาไว้เสมอราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง
ในความคิดของมู่อี้นั้น เหรียญทองแดงเหรียญนี้ล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด
หลังจากได้รับเงินปีใหม่จากมู่อี้ เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็วิ่งไปมาด้วยความสุขและกระโดดเข้ามากอดมู่อี้พร้อมกับจูบไปที่ใบหน้าของเขาทันที มันให้ความรู้สึกที่เย็นและนุ่มนิ่ม
มู่อี้มองมาที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ด้วยความประหลาดใจ แต่จากนั้นเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ถือเหรียญทองแดงในมือนำไปเก็บเอาไว้ในห้องของนางเป็นอย่างดี
สำหรับเนี่ยนหนิวเอ้อร์แล้ว บางทีนี่อาจเป็นเงินปีใหม่ครั้งแรกในชีวิตของนาง
เมื่อเห็นว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์มีความสุข มู่อี้ก็รู้สึกมีความสุขไปด้วย ตราบใดที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์มีความสุขแค่นั้นก็มากพอแล้ว
ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตเขาก็จะอยู่ที่นี่คอยปกป้องเด็กน้อยผู้นี้จากอันตรายต่างๆและเฝ้ามองนางเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ในปีนี้มู่อี้มีอายุครบ 15 ปีแล้วหรือบางทีอาจจะ 16 ปีแล้วก็เป็นได้
เขาถือว่าเป็นผู้ใหญ่ในระดับหนึ่งแล้ว ถ้าหากเขาอยู่ในครอบครัวเกษตรกรตามชนบทบางทีเขาอาจจะแต่งงานและมีลูกไปแล้วก็ได้
น่าเสียดายที่การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขพร้อมกับภรรยาและลูกๆนั้นไม่ได้ถูกลิขิตมาให้เป็นของมู่อี้ โชคชะตาของเขาดูเหมือนจะถูกลิขิตมาให้ต้องเดินทางออกไปเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ
ถ้าหากไม่มีโลกแห่งเต๋าแล้วชีวิตของมู่อี้ก็คงไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา ชีวิตของเขาอาจจะไม่ต่างอะไรจากผู้คนที่ยากจนและต้องหาหนทางเอาชีวิตรอดเลย
ในตอนเช้าของทุกๆวันมู่อี้ก็จะฝึกฝนวิชาหมัดของเขาอยู่เสมอแล้วในตอนบ่ายมู่อี้ก็ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือที่เขาสนใจ
ในตอนกลางคืนนั้นตะเกียงทองแดงจะส่องแสงออกมาจางๆ ภายในห้องของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นของน้ำมันสน มู่อี้นั่งขัดสมาธบนเตียง สีหน้าของเขาดูสงบนิ่งและลมหายใจของเขาก็เคลื่อนไหวพร้อมกับเปลวไฟที่อยู่ภายในตะเกียงทองแดง
ในตอนนี้มู่อี้รู้สึกได้ว่าเขายังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ความยากขั้นที่ 2 แต่มันก็ใกล้มากแล้ว แต่ตามที่เขาคิดในตอนนี้ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่เขาก็ต้องยับยั้งจิตใจของตนเองมากเท่านั้น
แต่มู่อี้ไม่รู้ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ของเขาเพิ่งจะเกิดขึ้น การเต้นของหัวใจนั้นแบ่งออกเป็น 3 จังหวะหรืออาจจะเกิดขึ้นเพียงแค่จังหวะเดียวก็ได้ในบางครั้ง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าการเต้นของหัวใจที่แตกต่างกันนั้นจะเป็นปัญหา
ตัวอย่างเช่น ถ้าหากมู่อี้ยอมแพ้ต่อการก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจมันไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาทำมาก่อนหน้านี้จะสูญเปล่าไปทั้งหมดหรือหมายความว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมพลังแห่งจิตใจของตนเองได้อีก ถ้าหากวันใดวันหนึ่งเขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจได้เมื่อถึงตอนนั้นแล้วสภาพจิตใจหรือการเต้นของหัวใจหรือปัจจัยอื่นๆก็จะกลับมาเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง
จิตใจคือหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดที่จะฝึกฝนได้ แต่มันก็ครอบคลุมไปถึงการบ่มเพาะทุกๆอย่าง
เนี่ยนหนิวเอ้อร์นอนอยู่บนเตียงราวกับลูกแมวตัวหนึ่ง ดวงตาของนางจ้องมองมาที่มู่อี้อยู่ตลอดเวลา นางชื่นชอบที่จะได้อยู่ข้างๆมู่อี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่มู่อี้ทำการฝึกฝนจิตใจอยู่ เพราะเมื่อมู่อี้ฝึกฝนจิตใจนั้นลมหายใจของเขาจะบริสุทธิ์มากและมันทำให้นางอยากอยู่ใกล้มู่อี้ไปตลอด ซึ่งความบริสุทธิ์เช่นนี้สามารถช่วยให้พลังของนางเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เมื่อมู่อี้คิดว่าคงไม่มีใครมารบกวนเขาอีกแล้วนั้นความสงบบนภูเขาฟุเนียวแห่งนี้ก็ถูกทำลายไปทันที
เมื่อมู่อี้เห็นคนที่เข้ามา เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ต้องขออภัยจริงๆที่ข้ามารบกวนความสงบของท่าน ขอให้ท่านนักพรตเต๋าอย่ากล่าวโทษข้าในเรื่องนี้เลย” เมื่อผู้ที่เข้ามาได้พบกับมู่อี้ก็แสดงท่าทีที่สุภาพออกมาทันที
“คำพูดของท่านผู้พิพากษาย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ข้าไม่ทราบว่าท่านผู้พิพากษามาที่นี่ในครั้งนี้เพื่อสิ่งใดหรือขอรับ?” แม้ว่ามู่อี้จะเดาได้อยู่แล้วว่ากูเหยาเซินมาที่นี่เพื่ออะไร แต่เขาก็ยังถามกลับไปเช่นนี้
“ท่านยังจำเรื่องเทพธิดาประทานบุตรที่ข้าพูดถึงก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?” กูเหยาเซินพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“จำได้สิขอรับ” มู่อี้พยักหน้า ความจริงแล้วเขาย่อมทราบดีว่าการที่กูเหยาเซินมาถึงที่นี่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจข้อตกลงที่ให้ไว้มากนะ ตราบใดที่กูเหยาเซินหาคนที่สามารถซ่อมแซมอาวุธวิญญาณได้เขาก็พร้อมที่จะออกไปตรวจสอบเรื่องราวของเทพธิดาที่สามารถประทานบุตรให้แก่ผู้ที่ศรัทธาได้
แต่ดูจากท่าทีของกูเหยาเซินในวันนี้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถหาคนที่ซ่อมแซมอาวุธวิญญาณได้ แต่อีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อร้องขอเขาโดยตรง
ถ้าหากไม่มีเรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขาในตอนนั้น กูเหยาเซินคงไม่มาร้องขอมู่อี้ถึงภูเขาฟุเนียวแห่งนี้ด้วยตนเองหรอก หลังจากเรื่องทุกอย่างจบลงแล้วภายในมณฑลหลินอานนั้นตราบใดที่เป็นผู้ที่คอยติดตามข่าวสารมากพอก็ย่อมรู้ว่าในคืนนั้นบนภูเขาเสี่ยวหานเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ทายาทของตระกูลซูถูกจับไปเป็นตัวประกันบนภูเขาแห่งนั้นและกลุ่มโจรภูเขาที่อยู่ที่นั่นก็ถูกทำลายจนยับเยิน ถ้าหากไม่ใช่เพราะหัวหน้ากลุ่มโจรภูเขาที่มีฝีมือมากพอจนสามารถยื้อยุดต้านทานเอาไว้ได้หมู่บ้านของกลุ่มโจรภูเขาเสี่ยวหานย่อมถูกทำลายไปจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นการที่พวกเขาไม่สามารถรักษาชีวิตของรองหัวหน้าหมู่บ้านเอาไว้ได้ก็ทำให้ชื่อเสียงของมู่อี้เพิ่มขึ้นมากด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าย่อมมีหลายๆคนที่ไม่เชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ แต่ถึงอย่างไรในตอนนี้ทั่วทั้งมณฑลหลินอานคงไม่มีใครกล้าล่วงเกินตระกูลซูหรือนักพรตเต๋าน้อยที่คอยช่วยเหลือตระกูลซูอย่างแน่นอน
ในฐานะที่เป็นผู้ที่มีอำนาจคนหนึ่งในเมืองแม้ว่ากูเหยาเซินจะไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นด้วยตาของตนเองแต่เขาก็เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริงอย่างแน่นอน และเหตุผลที่เขามาที่นี่นั่นก็เพราะเขาเข้าใจดีว่าคนอย่างมู่อี้ย่อมไม่สนใจเขาที่เป็นผู้พิพากษาของมณฑลเล็กๆอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นการที่เขามาที่นี่ด้วยตนเองก็พอที่จะพิสูจน์ได้ว่า เรื่องที่เขาต้องการความช่วยเหลือจากมู่อี้คือเรื่องที่สำคัญมากพอ