Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 97
ตอนที่ 97 เทพธิดาพันบุตร
ตั้งแต่มาถึงที่นี่กูเหยาเซินก็ไม่ได้ปิดบังความตั้งใจของเขาอีกต่อไป เขาอธิบายรายละเอียดต่างๆให้มู่อี้ทั้งหมด
มันกลายเป็นว่าเทพธิดาที่กูเหยาเซินพูดถึงก่อนหน้านี้ไม่ใช่เทพพื้นบ้านทั่วๆไปแต่กลับเกี่ยวข้องกับลัทธิเทพธิดาพันบุตร
ลัทธิเทพธิดาพันบุตรนั้นเคารพน้องสาวของเทพมารดาจู้เฉิงเหนียงเหนียง ตามตำนานกล่าวไว้ว่าบุตรของนางนั้นมีอยู่นับพันคนและทุกๆคนก็ล้วนประสบความสำเร็จในชีวิต ตราบใดที่เคารพบูชาเทพธิดาพันบุตรก็ย่อมมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง. .
เหตุผลที่ทำไมกูเหยาเซินถึงทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดีนั่นก็เพราะว่าเขาไม่อาจหาคนที่สามารถซ่อมแซมอาวุธวิญญาณให้กับมู่อี้ได้จึงพยายามตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตนเองแต่ยิ่งตรวจสอบลึกเข้าไปมากเท่าไหร่เขาก็พบว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายหลังและในตอนที่เขาจะถอนตัวออกมานั้นมันก็สายเกินไปแล้ว
นั่นเป็นเพราะว่าผู้พิทักษ์ของลัทธิเทพธิดาพันบุตรนั้นป่าวประกาศต่อสาธารณชนว่าภรรยาของกูเหยาเซินได้เข้าร่วมลัทธิของพวกเขาแล้วและรับประกันได้เลยว่านางจะได้บุตรตามที่นางต้องการ
หลังจากได้ยินเรื่องนี้กูเหยาเซินก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที แต่ลัทธิเทพธิดาพันบุตรก็มีความสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นกับพระราชสำนักด้วยเช่นกัน กูเหยาเซินเป็นเพียงแค่ผู้พิพากษาที่ปกครองมณฑลเล็กๆคนหนึ่งเมื่อเข้าสู่กับดักของอีกฝ่ายไปแล้วก็ต้องทนรับความอับอายเท่านั้น
ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้นในที่สุดเขาก็นึกถึงมู่อี้ขึ้นมาได้
ในความคิดของเขาถ้าหากมู่อี้ยินดีที่จะออกหน้าในเรื่องนี้อย่างน้อยก็ยังช่วยแก้ปัญหาของเขาได้
ในฐานะที่เป็นผู้พิพากษาเขาไม่ใช่คนโง่ และเขาเองก็รู้จักลัทธิเทพธิดาพันบุตรดีว่ามันอันตรายมากแค่ไหน
เพียงแต่เขาไม่มีความมั่นใจมากนักว่าเขาจะสามารถร้องขอมู่อี้ในเรื่องนี้ได้หรือไม่ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องทำให้เต็มที่แม้ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนมากแค่ไหนก็ตาม
กูเหยาเซินเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม เขาย่อมไม่ได้ไปที่บ้านของตระกูลซูและไม่ได้ไปหาพ่อตาของตนเองแต่กลับขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้เพียงผู้เดียว นอกจากการแสดงความจริงใจของตนเองแล้วเขายังไม่อยากให้มู่อี้รู้สึกไม่พอใจเขาด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้ทุกๆคนต่างก็รู้ดีว่ามู่อี้คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังตระกูลซูแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลซูจะสามารถออกคำสั่งกับเขาได้ตามต้องการและตระกูลซูก็ไม่ได้โง่ แม้ว่ากูเหยาเซินจะเป็นผู้พิพากษาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลซูจะต้องทำตามที่เขาต้องการทั้งหมด
“ข้าขอร้องให้ท่านนักพรตเต๋าโปรดช่วยเหลือจู้จิงด้วยเถอะ ข้าจะทำตามทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านนักพรตเต๋าร้องขอไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม” กูเหยาเซินขอร้องมู่อี้ทันที
“ต้องขอโทษท่านด้วย ปัญหาเรื่องนี้ข้าไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้จริงๆ” มู่อี้ส่ายศีรษะและจ้องมองมาที่กูเหยาเซิน
หลังจากได้ผ่านการต่อสู้กับฉือกุย เจี่ยเหริน และกลุ่มโจรภูเขา มู่อี้ก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรเลยอีกต่อไปและเขาก็คิดว่าโลกใบนี้ย่อมเต็มไปด้วยยอดฝีมือมากมาย
ในทางกลับกันเขาเพิ่งเริ่มต้นเส้นทางแห่งการบ่มเพาะเท่านั้น
แม้แต่ในเมืองฟุเนียว ก็มีฆาตกรอย่างเจี่ยเหรินและยอดยุทธอย่างชิวเยวี่ยถงอาศัยอยู่มากมาย ลัทธิเทพธิดาพันบุตรนั้นต้องทรงพลังมากเพียงใดถึงสามารถมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับทางราชสำนักได้?
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าความแข็งแกร่งของศัตรูกูเหยาเซินคงไม่มาหาเขาที่นี่อย่างแน่นอน
มู่อี้ย่อมรู้ดีว่าเขาเองก็ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งอะไรมากนัก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่สนใจปัญหาของคนอื่นๆเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขา
นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนเย็นชาและไม่เห็นใจคนอื่น แต่เขาก็รู้ความสามารถของตนเองดีและเลือกที่จะเก็บตัวเงียบๆ
ลองคิดถึงผู้กล้าที่เจี่ยเหรินเคยเล่าให้ฟังสิ นั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาข้องเกี่ยวกับปัญหาของคนอื่นๆมากเกินไปไม่ใช่หรือถึงต้องจบชีวิตแบบนั้น? แม้ว่าจะมีคนมากมายที่รู้สึกขอบคุณเขาแต่มันจะมีประโยชน์อะไร
ธรรมชาติของมนุษย์นั้นลึกๆแล้วย่อมมีความเห็นแก่ตัวอยู่เสมอ ทุกๆคนย่อมอยากให้ตัวเองโชคดีและไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอันตรายใดๆ
มู่อี้ก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเขาเองก็ต้องมีความเห็นแก่ตัวด้วยเช่นกัน จะให้เขาช่วยเหลือกูเหยาเซินและไปเผชิญหน้ากับเทพธิดาพันบุตรอย่างนั้นหรอ เขาไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ดังนั้นมู่อี้จึงปฏิเสธกูเหยาเซินไปทันที
แต่คำพูดของมู่อี้ก็ยังทำให้กูเหยาเซินมีความหวังอยู่ในใจของเขา
แม้ว่ามันจะเป็นการปฏิเสธโดยตั้งใจหรือปฏิเสธเพราะช่วยเหลือไม่ได้จริงๆ ทั้งสองอย่างนี้ย่อมมีความแตกต่างกันอยู่
“ท่านนักพรตเต๋าข้ารู้ดีว่าลัทธิเทพธิดาพันบุตรนั้นทรงพลังมากเพียงใดและข้าเองก็ไม่อยากทำให้ท่านนักพรตเต๋าต้องลำบากใจ ข้าเพียงแค่อยากขอร้องให้ท่านนักพรตเต๋ายอมให้จู้จิงมาอาศัยอยู่ที่นี่สัก 2-3 วันเท่านั้น แม้ว่าข้าจะต้องต่อสู้กับเรื่องนี้ด้วยตนเองแต่ข้าก็ไม่อยากให้นางต้องลำบากไปด้วย” สายตาของเขาดูสิ้นหวังราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
หลังจากได้ฟังคำพูดของกูเหยาเซินและเห็นสีหน้าของเขา มู่อี้ก็เงียบไปทันที
เขาไม่ใช่คนใจดำและไร้เมตตาขนาดนั้น แม้ว่าในบางครั้งเขาจะสังหารผู้คนโดยไม่กระพริบตา แต่จิตใจของเขาก็มีความเมตตาอยู่เสมอ
แม้ว่ามู่อี้จะพูดปลอบใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าการที่เขาตอบแทนต่อคนอื่นๆเพราะว่าเขาไม่ได้อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร แต่จริงๆแล้วในใจของเขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ยังคลุมเครืออยู่ อย่างตอนที่เขาได้พบดวงวิญญาณของเนี่ยนหนิวเอ้อร์และมารดาของนาง จนท้ายที่สุดนั้นเขาก็รับเนี่ยนหนิวเอ้อร์มาเลี้ยงดูต่อหลังจากที่ดวงวิญญาณมารดาของนางจากไปแล้ว
อย่างตอนที่ฉีต้าจะทำแผลให้กับเขา เขาก็มอบยันต์ของตนเองให้กับอีกฝ่ายซึ่งมันเป็นสิ่งที่ล้ำค่าไม่ต่างอะไรไปจากพระโพธิสัตว์ในสายตาของคนธรรมดาเลย
ดังนั้นหลังจากได้ยินการขอร้องครั้งสุดท้ายของกูเหยาเซิน เขาก็เงียบไปทันที
ความจริงแล้วมู่อี้ไม่ได้อยากเกี่ยวข้องกับปัญหาใดๆอีกในตอนนี้เพราะนี่คือช่วงเวลาสำคัญที่เขาจะก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจ สิ่งนี้ยังมีผลเกี่ยวข้องว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนในอนาคตอีกด้วย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของเขา ถ้าหากเขาต้องบาดเจ็บหนักในช่วงเวลานี้น่ากลัวว่าทางแห่งการฝึกฝนทั้งหมดของเขาอาจจะต้องจบลงเพียงเท่านี้
แต่ในเวลาเดียวกันเสียงในใจของมู่อี้ก็ดังอยู่ตลอดเวลาว่า ช่วยเหลือสิ ช่วยเหลือสิ อยู่ที่นี่แค่ไม่กี่วันเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก ลัทธิเทพธิดาพันบุตรคงไม่ส่งคนมาหาเขาถึงที่นี่หรอก. . .
และถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเขาเลย
“ปัญหาเช่นนี้ ข้าสามารถช่วยเหลือท่านได้” ในที่สุดมู่อี้ก็พูดออกมา แต่คำพูดของเขาก็ทำให้กูเหยาเซินรู้สึกตกตะลึงไปทันที
เขาไม่คิดว่ามู่อี้จะยอมช่วยเหลือง่ายดายขนาดนี้ เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าถ้าหากมู่อี้ไม่ยอมช่วยเหลือง่ายๆแม้ว่าจะต้องให้เขาคุกเข่าขอร้องเขาก็พร้อมที่จะทำโดยไม่ลังเล
แต่ไม่คิดเลยว่ามู่อี้จะยอมช่วยเหลือง่ายดายขนาดนี้
“ขอบคุณท่านนักพรตเต๋ามากขอรับ ขอบคุณมากจริงๆ” หลังจากยืนขึ้นมากูเหยาเซินก็รีบขอบคุณมู่อี้ทันที
“แม้ว่าข้าจะยอมให้ภรรยาของท่านพักอยู่ที่นี่สัก 2-3 วัน แต่ข้าเองก็มีข้อกำหนดอยู่ 2 ข้อ” มู่อี้มองมาที่กูเหยาเซินและพูดต่อ
“ท่านนักพรตเต๋า โปรดพูดมาได้เลยข้ายอมทำตามทุกอย่าง” กูเหยาเซินตอบกลับมาทันทีไม่ว่ามู่อี้จะพูดอะไรออกมาตอนนี้ เขาก็พร้อมที่จะเห็นด้วยทั้งหมด
“ข้าชอบความสงบและข้าก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นที่รับรู้ของผู้คนมากมายและบนภูเขาแห่งนี้ย่อมไม่มีที่พักอาศัยที่เหมาะสมสำหรับภรรยาของท่าน นอกจากห้องของข้าแล้วก็เหลือเพียงห้องเดียวที่ว่างอยู่ในตอนนี้ ส่วนท่านจะจัดการอย่างไรนั้นก็เป็นหน้าที่ของท่านแล้ว” เขาพูดออกมาช้าๆ
“ท่านนักพรตเต๋ามีเมตตาจริงๆ ข้าต้องขอบคุณท่านมากขอรับ เรื่องเช่นนี้ข้าจะรบกวนท่านนักพรตเต๋าได้อย่างไรกัน จู้จิงย่อมไม่ใช่คนที่บอบบางขนาดนั้นและนางจะมาอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวไม่มีคนรับใช้คนอื่นๆ” กูเหยาเซินตอบกลับมาทันที
“เช่นนั้นก็ให้น้องสาวของนางตามมาอยู่ที่นี่ด้วยก็ได้ขอรับ นางจะได้ไม่รู้สึกเหงาจนเกินไป” มู่อี้พูดออกมาเบาๆ เขาย่อมระบุอย่างชัดเจนว่าไม่ให้กูเหยาเซินพาคนขึ้นมาอยู่บนภูเขาแห่งนี้มากเกินไปนัก การทำลายสมาธิของเขา เขาย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
แต่ถ้าหากให้ภรรยาของกูเหยาเซินขึ้นมาอยู่บนภูเขาแห่งนี้เพียงคนเดียวมู่อี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ แม้ว่าเขาจะเชื่อในตัวเองว่าคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน แต่การที่ชายหนุ่มกับหญิงสาว 2 คนใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาด้วยกันหลายวัน ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปคงทำลายชื่อเสียงของกูเหยาเซินอย่างแน่นอน และมู่อี้ย่อมไม่อยากกลายเป็นคนผิดในเรื่องนี้
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาให้น้องสาวภรรยาของกูเหยาเซิน เผิงมี่ ขึ้นมาอยู่บนภูเขาแห่งนี้ด้วย