Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 105
ตอนที่ 105 ปัญหาจบลง
เมื่อมู่อี้สามารถยกระดับเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ได้ก็มีเรื่องมากมายที่เขาต้องจัดการในตอนนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการตามหาสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของท่านปู่อย่างไม่ต้องสงสัย มันยังเป็นปมในใจที่ใหญ่ที่สุดของมู่อี้ก่อนหน้านี้ แต่ในตอนนี้มีอีกเรื่องหนึ่งที่มู่อี้รู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างกะทันหันนั่นก็คือพลังแห่งสายเลือดของเขา
ในอดีตเขาไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อยเพราะเรื่องนี้มันยากที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจนและเขาก็คิดว่าพ่อแม่ของตนเองคงตายไปแล้วอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงปล่อยวางในเรื่องนี้
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าความคิดที่ยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นในใจของเขาก่อนหน้านี้ ทำให้ในวันนี้เขาได้รู้ว่าเขาไม่เคยปล่อยวางเรื่องนี้ได้เลย
เมื่อมู่อี้คิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที
“หืม เจ้ายังไม่ตายอีกงั้นหรือ?” หลังจากทำความสะอาดร่างกายคร่าวๆ มู่อี้ก็พบว่ายักษ์ตนนั้นยังคงลืมตามองเขาอยู่แต่มันก็ยังคงนอนอยู่ที่พื้น เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากที่มันรับการโจมตีของยันต์สายฟ้าไปถึง 3 แผ่นและยังมีตะเกียงทองแดงที่โจมตีไปยังจิตวิญญาณของมัน ยักษ์ตนนี้จะต้องตายอย่างแน่นอน
แต่ใครจะคิดกันว่ามันจะรอดมาได้และสภาพของมันในตอนนี้ก็ดูไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก อย่างน้อยที่สุดมันก็ยังลืมตาตื่นขึ้นมาได้
“พี่ชาย ท่านต้องการจะฆ่าเขาหรอ?” ทันทีที่มู่อี้พูดขึ้นมา เนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่อยู่ข้างๆเขาก็ถามขึ้นมาด้วยความกังวลทันที
“เอ่อ …” มู่อี้กำลังจะตอบกลับมาและเดินเข้าไปหายักษ์ตนนั้น แต่ในตอนที่เขาก้าวเท้าออกไปนั้นเขาไม่คิดเลยว่าร่างกายของตนเองจะเสียสมดุลและเขาก็ล้มลงไปที่พื้นทันที จากนั้นดวงตาของมู่อี้ก็เริ่มพร่ามัวขึ้นมาเขาหมดสติไปอีกครั้งในตอนนี้
“พี่ชาย” เนี่ยนหนิวเอ้อร์ตกตะลึงเมื่อได้เห็นว่ามู่อี้ล้มลงไปและนางไม่สนใจยักษ์ตนนั้นอีกต่อไปแล้ว นางไม่สนใจแม้แต่ความรู้สึกกดดันเมื่อเข้ามาใกล้มู่อี้ จากนั้นนางก็พยายามเขย่าร่างกายของมู่อี้และตะโกนออกมาด้วยความกังวลใจ
แต่ดูเหมือนว่ามู่อี้จะไม่มีการตอบสนองอะไรกลับมาเลย
ไม่รู้ว่าเขาหมดสติไปนานเท่าไหร่ แต่เมื่อมู่อี้ตื่นขึ้นมานั้นเขารู้สึกได้ถึงความสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั่วร่างกายของเขารู้สึกดียิ่งขึ้นกว่าเดิมและประสาทสัมผัสของเขาก็เฉียบคมขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้ใช้พลังแห่งจิตใจแต่เขาก็สามารถได้ยินเสียงกระซิบจากระยะไกลๆได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่เขาลองลุกขึ้นมาจากเตียงก็พบว่ามันไม่มีความรู้สึกที่ไม่สบายตัวหลงเหลืออยู่เลย แม้จะออกแรงเพียงเล็กน้อยแต่เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่พุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของเขาในตอนนี้
ไม่เพียงเท่านั้นจิตใจของเขายังสามารถสัมผัสกับสิ่งรอบกายได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น และแม้แต่กำแพงที่ขวางกั้นตรงหน้านั้นเขาก็สามารถตรวจสอบทะลุออกไปได้อย่างชัดเจน
หลังจากนั้นมู่อี้ก็นึกถึงช่วงเวลาก่อนที่เขาจะหมดสติไป ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นมาเล็กน้อยแต่เขาไม่คิดว่าหลังจากที่ตนเองสามารถยกระดับขึ้นมาได้สำเร็จจะพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ โชคดีที่มีเพียงเนี่ยนหนิวเอ้อร์คนเดียวเท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์เขาจึงไม่ต้องอับอายมากนัก
แต่เขาหมดสติไปข้างนอกห้องแล้วใครกันที่พาเขากลับมาในห้อง? เนี่ยนหนิวเอ้อร์หรอ? ถ้าหากมีธงราชันย์แห่งวิญญาณเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็น่าจะทำแบบนี้ได้
มู่อี้คิดเรื่องนี้และตรวจสอบร่างกายของตนเองอีกครั้ง เขาสวมชุดคลุมของตนเองและเดินออกไปจากห้องนี้ทันที
“ท่านนักพรตเต๋า ท่านฟื้นแล้วอย่างนั้นหรือ” ทันทีที่มู่อี้ก้าวออกมาจากห้องเขาก็เห็นเผิงมี่และพี่สาวของนางกำลังยุ่งอยู่ เขาได้ยินเสียงกระซิบพูดคุยกันระหว่างหญิงสาวทั้งสองคนอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าพวกนางจะดีใจมากที่เขาฟื้นขึ้นมาแล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อพวกนางได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมาที่ข้างนอกป่าไผ่นั้นพวกนางก็รู้สึกตกใจและหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่พวกนางทั้งสองคนก็เชื่อมั่นในตัวมู่อี้ ความจริงแล้วมู่อี้สั่งห้ามไม่ให้พวกนางออกมาจากป่าไผ่แต่เมื่อพวกนางรอคอยอยู่ภายในนั้นตลอดทั้งคืน จากนั้นก็มีเด็กสาวที่มีหน้าตาน่ารักคนหนึ่งมาบอกพวกนางว่าให้ออกมาจากที่นั่นได้แล้วและเด็กสาวคนนั้นก็หายไปทันที
ในตอนนั้นพวกนางถึงกับตกตะลึงไปทันที เพราะพวกนางเองก็ใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาแห่งนี้มาซักพักหนึ่งแล้ว และที่นี่ไม่มีใครอาศัยอยู่เลยนอกจากมู่อี้ เด็กสาวที่หน้าตาน่ารักคนนั้นมาจากที่ไหนกัน แต่เมื่อพวกนางออกมาจากป่าไผ่ก็พบว่าการต่อสู้ได้จบลงแล้ว
ร่องรอยการต่อสู้ที่เกิดขึ้นรวมไปถึงยักษ์ที่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนพื้นทำให้พวกนางต้องรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนที่พวกนางตามหาตัวมู่อี้นั้น เด็กสาวคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งและบอกว่ามู่อี้ได้รับบาดเจ็บกำลังพักผ่อนและห้ามพวกนางเข้าไปรบกวน ดังนั้นหญิงสาวทั้งสองคนจึงกลับไปที่ห้องของตนเองด้วยความรู้สึกผิดมาโดยตลอด
จนกระทั่งวันนี้เมื่อพวกนางเห็นว่ามู่อี้ฟื้นขึ้นมาแล้วและดูสมบูรณ์ปกติไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ ก็ทำให้พวกนางทั้งสองคนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
“เช่นนั้นท่านผู้พิพากษากูจะส่งคนมารับพวกท่านในวันนี้เลยหรือครับ?” มู่อี้ถามขึ้นมาทันที แม้ว่าเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเงาดำตนนั้นหายไปไหนแต่มู่อี้เชื่อว่าเมื่อร่างกายของมันถูกทำลายลงไปแล้วแม้ว่ามันอยากจะกลับมาแก้แค้นมันก็ต้องตามหาร่างกายใหม่ก่อน นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้มู่อี้สามารถยกระดับขึ้นสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะกลับมาแก้แค้นเขาในเร็วๆนี้
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเงาดำก็คงไม่กล้าทำอะไรภรรยาของกูเหยาเซินด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่ามันจะสามารถจัดการมู่อี้ได้ก่อน
ดังนั้นจึงพูดได้เลยว่าปัญหาของภรรยาของกูเหยาเซินได้รับการแก้ไขแล้วในตอนนี้และนางก็ควรออกจากที่นี่ไปได้แล้ว
“สามีของข้าได้ส่งคนขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้และถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่าในตอนนั้นท่านนักพรตเต๋ายังไม่ตื่นขึ้นมาเขาจึงไม่กล้าไปรบกวนท่าน ท่านผู้อาวุโสซูก็มาที่นี่ด้วยเช่นกันแต่เขาเข้าไปที่ป่าไผ่และลงจากภูเขาไปทันที” ภรรยาของกูเหยาเซินพูดขึ้นมาทันที
“ปัญหาของลัทธิเทพธิดาพันบุตรได้รับการแก้ไขแล้ว ถ้าหากท่านผู้พิพากษากูจะส่งคนขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้อีกครั้งก็ให้เขาส่งคนมารับตัวพวกท่านพร้อมกันเลยนะขอรับ” มู่อี้พูดออกไปตรงๆ
“ขอบคุณท่านนักพรตเต๋ามากจริงๆเจ้าค่ะ บุญคุณครั้งนี้ข้าจะจดจำไปชั่วชีวิต” แม้นางจะคิดว่าปัญหาน่าจะจบลงแล้วก็ตามแต่ถ้าหากมู่อี้ยังไม่พูดออกมาด้วยตนเองความกังวลของนางก็คงไม่หายไปอย่างแน่นอน นางต้องการให้มู่อี้ยืนยันด้วยปากของเขาเองและทันทีที่ได้ยินนางก็รู้สึกราวกับว่าก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในจิตใจของนางนั้นได้หายไปแล้วและนางเองก็รู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
“ขอบคุณท่านมากจริงๆ ท่านนักพรตเต๋า” เผิงมี่ก็ขอบคุณเขาด้วยเช่นกัน หญิงสาวทั้งสองพี่น้องขอบคุณมู่อี้ด้วยความจริงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภรรยาของกูเหยาเซินถึงกับมีน้ำตาคลอให้เห็น ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่ามู่อี้บอกว่าเขาจะขอความช่วยเหลือจากพวกนางในภายหลัง นางคงต้องหาของตอบแทนมาให้มู่อี้อย่างแน่นอน
“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ นี่คือเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้วขอรับ ข้าย่อมต้องดูแลพวกท่านทั้งสองคนเป็นอย่างดี โชคดีที่ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นดูเหมือนจะแก้ไขได้อย่างน่าพึงพอใจ แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับลัทธิเทพธิดาพันบุตรนั้น ขอให้ท่านหญิงกูเตือนท่านผู้พิพากษากูว่าให้ระมัดระวังในเรื่องนี้ด้วยนะขอรับ” มู่อี้ตอบกลับมา
“ข้าจะทำตามที่ท่านนักพรตเต๋าสั่งไว้ทุกๆอย่าง” ภรรยาของกูเหยาเซินรีบพยักหน้าทันที
หลังจากนั้นมู่อี้ก็พูดคุยกับหญิงสาวทั้งสองคนอีกคู่หนึ่งและเข้าไปที่ป่าไผ่ที่อยู่ด้านหลังวัดแห่งนี้
ในตอนนี้พื้นที่ภายนอกป่าไผ่นั้นเต็มไปด้วยแสงอาทิตย์ที่สว่างจ้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเนี่ยนหนิวเอ้อร์ถึงไม่ปรากฏตัวให้เห็นในวัดเลย เพราะป่าไผ่แห่งนี้ย่อมสบายสำหรับนางมากกว่า แน่นอนว่ามู่อี้มาที่นี่ก็เพื่อจะถามเรื่องของยักษ์ตนนั้น
ความจริงแล้วในตอนที่เขาหมดสติไปนั้น มู่อี้ก็รู้ว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์อาจจะทราบเรื่องราวอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับยักษ์ตนนั้นก็เป็นได้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเพราะในตอนนั้นเขาต้องการสังหารยักษ์ตนนั้นเพราะมันอาจเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเนี่ยนหนิวเอ้อร์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาเขาก็ไม่เห็นว่ายักษ์ตนนั้นนอนอยู่ที่ด้านหน้าวัดอีกแล้ว นี่จึงทำให้เขารู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที