Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 113
ตอนที่ 113 จับตามอง
ขบวนรถม้ายังคงเดินทางต่อไปเรื่อยๆ ดูจากการเดินทางแล้วสำนักคุ้มกันโม่หยวนคงเคยเดินทางไปที่เมืองลั่วหยางบ่อยครั้งอย่างที่พูดเอาไว้จริงๆและโรงเตี๊ยมที่พวกเขาหยุดพักในเวลากลางคืนก็ถือเป็นโรงเตี๊ยมเก่าแก่แห่งหนึ่ง แม้ว่าระหว่างทางนั้นจะได้พบกับกลุ่มโจรเล็กๆน้อยๆแต่เมื่อโจรเหล่านั้นทราบว่าขบวนรถม้านี้เป็นของสำนักคุ้มกันโม่หยวนพวกมันก็รีบหนีไปทันทีและในตอนนี้พวกเขาก็เข้าใกล้เมืองลั่วหยางมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
มู่อี้มีความสุขตลอดการเดินทางครั้งนี้ แต่คนที่อยู่ในรถม้าอีกคันหนึ่งที่เขารู้สึกสงสัยนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย ในรถม้าคันนั้นนอกจากโม่หรูเยียนไปเยี่ยมเยียนครั้งหนึ่งก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย แต่ผู้คุ้มกันทั้ง 4 คนรอบๆรถม้าคันนั้นก็ยังคงแข็งขันอยู่เสมอ
“เป็นเคล็ดวิชาที่ดี”
ในตอนเช้าตรู่ของวันนี้มู่อี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดของเขาที่บริเวณสวนด้านหลังโรงเตี๊ยมแห่งนี้ และก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังของเขาทันที
“หมัดมวยของข้าคงเป็นเรื่องขายหน้าต่อหน้าท่านแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเคล็ดวิชาหมัดที่ข้าฝึกฝนอยู่นี้ถูกต้องตามหลักการต่อสู้หรือไม่ ข้าแค่เพียงใช้มันเป็นการออกกำลังกายยามเช้าเท่านั้นขอรับ” มู่อี้ไม่ได้หันหลังกลับไปมองว่าใครที่เข้ามาทักทายเขา เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตนเองจากนั้นก็ตอบกลับมาแบบนี้
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมานั้นมู่อี้ยังคงใช้เลือดของเขาหยดลงไปบนต้นไผ่แห่งชีวิตทุกวัน เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆเขาต้องใช้เลือดจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกันและใบหน้าของมู่อี้ในตอนนี้ก็ดูซีดเซียวราวกับว่าเขากำลังป่วย
“หากท่านนักพรตเต๋าบอกว่าเคล็ดวิชาของท่านเป็นเพียงแค่การออกกำลังกายในยามเช้า เช่นนั้นข้ากลัวว่าเคล็ดวิชาส่วนใหญ่ในโลกใบนี้คงไม่เหมาะสมที่จะใช้ออกกำลังกายด้วยซ้ำ” โม่หรูเยียนมองมาที่มู่อี้และตอบกลับมา
“แม้ท่านจะเห็นว่ามันเป็นเคล็ดวิชาที่ดีแต่ข้าก็เพียงแค่ใช้มันออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีเท่านั้นขอรับ ข้าไม่ได้ใช้หมัดมวยต่อสู้เพื่อคุณธรรมและกำจัดภัยร้ายเหมือนกับพวกท่าน” มู่อี้ตอบกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ
“ต่อสู้เพื่อคุณธรรมและกำจัดภัยร้ายอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่คิดว่าท่านนักพรตเต๋าที่ดูสุภาพเรียบร้อยอย่างท่านจะถือว่าเป็นภัยร้ายคนหนึ่งเหมือนกัน” โม่หรูเยียนพูดมาแต่สีหน้าของนางก็ยังคงเฉยเมย
“ท่านไม่จำเป็นต้องทดสอบข้าหรอกขอรับ ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับลัทธิเทพธิดาพันบุตร ส่วนต้าหนิวที่ท่านเห็นก็ถือเป็นอุบัติเหตุเรื่องหนึ่งเท่านั้น” มู่อี้พูดออกมาตามตรงเพราะเขาไม่ชอบการที่อีกฝ่ายมาทดสอบตนเองแบบนี้ แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าโม่หรูเยียนไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเขาและไม่ใช่ศัตรู แต่เขาก็ไม่ชอบที่มีคนคอยจับตามองเขาอยู่ทั้งวัน
“อย่างนั้นหรือ? เจ้ายักษ์ต้าหนิวของท่านก็คือยักษ์คลั่งผู้มีชื่อเสียงของลัทธิเทพธิดาพันบุตร ทั่วทั้งลัทธิเทพธิดาพันบุตรมีเพียงผู้พิทักษ์ระดับสูงเท่านั้นที่สามารถออกคำสั่งต่อมันได้ หากท่านนักพรตบอกว่าท่านไม่ได้เกี่ยวข้องกับลัทธิเทพธิดาพันบุตร เช่นนั้นข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไรกัน? “โม่หรูเยียนพูดกับมู่อี้อย่างตรงไปตรงมา
“ในฐานะที่ข้าเป็นผู้ว่าจ้างคนหนึ่ง เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้รับว่าจ้างอย่างพวกท่านสมควรกระทำ ท่านไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้สำนักคุ้มกันของท่านต้องเสียชื่อเสียงหรือ?” มู่อี้พูดขึ้นมาโดยไม่ได้มองไปที่หญิงสาว
“ข้าไม่กลัวหรอก ไม่ว่ายังไง …” โม่หรูเยียนยังไม่ทันได้พูดจบแต่นางก็ยังคงจ้องมองมู่อี้อยู่ตลอดเวลาและดูเหมือนว่านางอยากจะเห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้ แต่เมื่อได้เห็นแล้วนางก็ต้องผิดหวังขึ้นมาทันทีเพราะสีหน้าของมู่อี้ในตอนนี้ยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม
“ต้าหนิวนั้น ข้าแย่งชิงมาจากผู้พิทักษ์ของลัทธิเทพธิดาพันบุตรคนหนึ่ง คำตอบเช่นนี้คงทำให้ท่านพึงพอใจได้แล้วใช่ไหม?” มู่อี้พูดอย่างตรงไปตรงมา
“ในเมื่อท่านนักพรตเต๋าไม่อยากจะพูดให้มากกว่านี้ เช่นนั้นหรูเยียนก็จะไม่ถามอะไรอีก ไม่ว่าความสัมพันธ์ของท่านกับลัทธิเทพธิดาพันบุตรจะเป็นเช่นไร แต่เมื่อสำนักคุ้มกันของเรารับเงินของท่านมาแล้วพวกเราก็ย่อมต้องส่งท่านให้ไปถึงเมืองลั่วหยางอย่างปลอดภัย แต่ข้าทราบมาว่ามีหมอคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในเมืองลั่วหยาง ข้าไม่รู้ว่าควรแนะนำเขาให้ท่านนักพรตเต๋ารู้จักหรือไม่เจ้าคะ?” โม่หรูเยียนพูดออกมาราวกับว่านางไม่ได้ตั้งใจจะพูดเช่นนี้
“หมอที่มีชื่อเสียงงั้นหรือ? เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณท่านหญิงโม่แล้ว” หลังจากมู่อี้ตอบกลับมาเขาก็เลิกสนใจโม่หรูเยียนและกลับไปที่ห้องของตนเองทันที
ในตอนนี้ข้างๆเตียงนอนนั้นต้าหนิวยังคงหลับอยู่และกรนออกมาเสียงดัง
มู่อี้ไม่ได้ไปปลุกมัน เพียงแค่หยิบยาและหม้อต้มออกมาจากกระเป๋าเท่านั้นเพื่อต้มยาให้ตนเอง
การที่โม่หรูเยียนรู้สึกสงสัยและคาดเดาในตัวของเขานั้น มู่อี้คิดเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาใบหน้าของเขาก็ซีดลงมากขึ้นเรื่อยๆราวกับว่ามันไม่ใช่ผิวหนังของมนุษย์ เขาทำได้เพียงฝึกฝนวิชาหมัดในทุกๆเช้าและทานยาต้มเท่านั้น
ส่วนเรื่องที่โม่หรูเยียนบอกว่านางรู้จักหมอที่มีชื่อเสียงที่อยู่ที่เมืองลั่วหยาง นางคงคิดว่าเขามีอาการป่วยอยู่แน่นอน
สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกสับสนนั่นก็คือความสัมพันธ์ของมู่อี้และลัทธิเทพธิดาพันบุตร รวมไปถึงผู้พิทักษ์ของลัทธิ
ในตอนนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขาฟุเนียวถือเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ แม้แต่พระเจ้าก็อาจจะไม่ทราบเรื่องนี้อย่าว่าแต่บุคคลภายนอกเลย
โม่หรูเยียนก็ไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับต้าหนิวด้วยเช่นกันเว้นแต่ว่ามันมาจากลัทธิเทพธิดาพันบุตรเท่านั้น
ส่วนคำพูดที่มู่อี้พูดออกมานั้น นางคิดว่าเขาคงพูดออกมาด้วยความโกรธและนางย่อมเลือกที่จะไม่เชื่อในคำพูดของเขา
เหตุผลที่โม่หรูเยียนพยายามจับตามองมู่อี้อยู่หลายครั้งนั่นเป็นเพราะว่าความสงสัยของนาง เพราะลัทธิเทพธิดาพันบุตรนั้นถือว่าทรงพลังอย่างยิ่ง ถ้าหากมู่อี้เป็นคนสำคัญคนหนึ่งของลัทธิเทพธิดาพันบุตรจริงๆทำไมเขาถึงต้องมาจ้างวานสำนักคุ้มกันโม่หยวนด้วยตนเอง? หรือว่าเขาอยู่ตัวคนเดียว? นางไม่ได้คิดว่าต้าหนิวเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง กลับกันนางทราบดีถึงความสำคัญของต้าหนิวเพราะจากลมหายใจของมันนั้นนางรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งทันที
แต่สติปัญญาของต้าหนิวก็ไม่ได้ต่างจากเด็กคนหนึ่ง นางจึงไม่สามารถสอบถามข้อมูลอะไรจากมันได้เลย
แต่ถ้าหากว่าต้าหนิวคือยักษ์คลั่งแห่งลัทธิเทพธิดาพันบุตรจริงๆ มู่อี้จะไปแย่งชิงมาจากผู้พิทักษ์ของลัทธิเทพธิดาพันบุตรได้อย่างไรกัน?
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาโม่หรูเยียนคิดเรื่องนี้มาโดยตลอดและนางก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับตนเองได้
และนางก็ไม่คิดว่าการที่มู่อี้หน้าซีดลงไปทุกๆวันนั้นจะเป็นเพราะอาการป่วย แต่ต้องมีอะไรที่เขากำลังปิดบังอยู่อย่างแน่นอน
ไม่มีใครคิดแน่นอนว่าเขาจะสามารถเอาชนะผู้พิทักษ์ของลัทธิเทพธิดาพันบุตรและแย่งชิงต้าหนิวมาได้
จากเหตุผลทั้งหมดที่นางคิดขึ้นมาในตอนนี้ทำให้นางไม่อาจรู้ได้เลยว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้น
แต่ความสงสัยทั้งหมดของนางในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมู่อี้เลย แม้ว่าเขาจะต้มยาในทุกๆวันแต่ยาพวกนี้ก็เป็นยาบำรุงร่างกายของเขาเท่านั้นและเขาก็เก็บตัวอยู่ในรถม้าตลอดเวลา มีน้อยครั้งมากๆที่เขาจะปรากฏตัวออกไปภายนอก
พูดได้เลยว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะความโดดเด่นของต้าหนิว คงไม่มีใครหันมาสนใจเขาแน่นอน
เพียงพริบตาเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว การเดินทางช้ากว่าที่มู่อี้คิดเอาไว้เสียอีก แต่นั่นก็ไม่ใช่เพราะว่าสำนักคุ้มกันโม่หยวนไม่ได้เร่งรีบเดินทาง เพราะการเดินทางครั้งนี้มีเรื่องเกิดขึ้นแทบทุกวัน พื้นที่บางแห่งแทบจะไม่มีถนนให้เดินทางต่อมีแต่ต้องอ้อมไปเท่านั้น นอกจากนี้ม้าหลายตัวก็เริ่มเหนื่อยแล้วและมีรถม้าที่เริ่มมีอาการชำรุดให้เห็น
ในช่วงเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมาแม้แต่โม่หรูเยียนก็ยังมีสีหน้าที่ดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย ส่วนผู้คุ้มกันคนอื่นๆนั้นก็ดูเหน็ดเหนื่อยไม่ต่างกันเลย
ข่าวดีเพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลยตลอดการเดินทางที่ผ่านมา พวกเขากำลังจะไปถึงเมืองลั่วหยางในอีก 3-5 วันหลังจากนี้และการเดินทางที่ยาวนานก็จะสิ้นสุดลงเสียที
แต่มู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าพ่อค้าสมุนไพรคนนั้นดูเหมือนจะมีท่าทีแปลกประหลาดเล็กน้อย ยิ่งเข้าใกล้เมืองลั่วหยางมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งดูกระวนกระวายใจมากขึ้นเท่านั้น ราวกับว่าเขาทราบดีว่าจะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้น
แต่เมื่อนึกถึงความไม่ชอบมาพากลที่เขารู้สึกได้ตั้งแต่เริ่มเดินทาง มู่อี้ก็มีลางสังหรณ์ว่าจะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น แต่เพราะว่าเขามั่นใจในตนเองและในตอนนี้ขบวนรถม้าก็ใกล้ถึงเมืองลั่วหยางมากแล้ว ไม่มีอะไรที่เขาต้องกลัวอีกต่อไป ต่อให้เขาต้องเดินเท้าจากตำแหน่งนี้ไปยังเมืองลั่วหยางพร้อมกับต้าหนิวก็คงเสียเวลาเพิ่มขึ้นไปไม่กี่วันหรอก
ในตอนบ่ายของวันนี้ก็มีรถม้าอีกคันหนึ่งที่ชำรุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้การเดินทางครั้งนี้ต้องเสียเวลาเพิ่มมากขึ้นไปอีก เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในระหว่างการเดินทาง ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก
สำนักคุ้มกันย่อมมีประสบการณ์ในการเดินทางมาหลายครั้งและพวกเขาย่อมคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจะต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ดังนั้นการที่ต้องหยุดพักในพื้นที่รกร้างระหว่างทางนั้นถือเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก โชคดีที่ตำแหน่งที่หยุดพักในครั้งนี้ดูเหมือนจะมีวัดลัทธิเต๋าแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ซึ่งดูเหมาะสมที่ทุกๆคนจะเข้าไปพักในคืนนี้
ดังนั้นทุกๆคนจึงรีบเดินทางขึ้นไปที่วัดลัทธิเต๋าแห่งนั้นทันที