Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 114
ตอนที่ 114 เสียงกรีดร้องในยามค่ำคืน
“ท่านกำลังคิดอะไรอยู่?” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจนทำให้ความคิดของมู่อี้หยุดชะงักไปทันที ในขบวนรถม้าที่กำลังเดินทางอยู่นี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เข้ามาพูดคุยกับมู่อี้นั่นก็คือ โม่หรูเยียน
“ท่านไม่ได้สังเกตรถม้าที่ชำรุดไปในวันนี้หรอกหรือ?” มู่อี้พูดออกมาตามตรง
“ท่านคิดว่ามันผิดปกติหรือยังไง?” โม่หรูเยียนยังคงมีสีหน้าที่ดูเฉยเมย เห็นได้ชัดว่านางรู้ดีว่าที่มู่อี้พูดมานั้นหมายความว่าอย่างไร จากนั้นนางก็พูดต่อไปว่า “เดินทางมาแบบเงียบๆโดยตลอดท่านไม่เบื่อบ้างหรือไง ตอนนี้พอมีเรื่องให้ตื่นเต้นบ้างท่านว่าไม่ดีหรือ? “
เมื่อมู่อี้ได้ยินเช่นนี้เขาก็หันไปมองโม่หรูเยียนทันที
เมื่อหญิงสาวเห็นการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของมู่อี้นางก็รีบถอยหลังกลับไปทันทีและถามขึ้นมาว่า “ท่านคิดจะทำอะไร?”
ความจริงแล้วโม่หรูเยียนก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ นางก้าวถอยหลังกลับไปโดยไม่รู้ตัวและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายกับท่าทีของตนเองในตอนนี้ เพราะมู่อี้เป็นแค่เพียงคนป่วยคนหนึ่งในสายตาของนางเท่านั้นและเขายังเป็นเพียงนักพรตเต๋าอายุน้อยที่ไร้ซึ่งพลังใดๆ แต่นางกลับรู้สึกหวาดกลัวคนแบบนี้ช่างน่าอับอายจริงๆ
“แม้ท่านจะมีนิสัยแบบนี้แต่ก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดังได้ ข้ารู้สึกประหลาดใจจริงๆ” มู่อี้ส่ายศีรษะ เห็นได้ชัดว่าความประทับใจที่เขามีต่อโม่หรูเยียนได้ถูกทำลายไปเรื่อยๆนับตั้งแต่การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นขึ้น อย่างน้อยที่สุดนางก็แตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
“ท่านรู้สึกประหลาดใจอะไรกัน? โลกใบนี้ต่างก็วัดกันที่กำปั้นของใครจะใหญ่กว่าเท่านั้นแหละ เพราะว่าข้าแข็งแกร่งจึงทำให้ทุกๆคนในสำนักคุ้มกันต้องเชื่อฟังข้า เพราะว่าข้าแข็งแกร่งข้าจึงมีชื่อเสียงโด่งดัง แม้แต่ทางราชสำนักก็ยังอยากให้ข้าไปเป็นองครักษ์ข้างกายพวกเขา” โม่หรูเยียนดูเหมือนจะโกรธขึ้นมาเพราะคำพูดของมู่อี้ “หากข้าเป็นเพียงแค่หญิงสาวที่อ่อนแอคนหนึ่ง ข้าก็คงเป็นได้แค่หญิงสาวจากตระกูลที่ร่ำรวยเท่านั้น ท่านคิดหรอว่าคนอื่นๆจะเคารพข้าเช่นนี้?”
มู่อี้ฟังคำพูดของโม่หรูเยียนและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นั่นเป็นเพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปเหมือนกัน บางทีอาจเป็นเพราะตัวเขาเองก็เห็นด้วยกับมุมมองของโม่หรูเยียน โลกใบนี้ต่างก็วัดกันที่กำปั้นของใครจะใหญ่กว่าเท่านั้น
ถ้าหากทรงพลังมากพอแม้แต่การขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อถึงตอนนั้นโลกทั้งใบก็จะอยู่ในมือของเราและประวัติศาสตร์ก็จะจารึกเอาไว้เพียงแค่เกียรติยศและชื่อเสียงเท่านั้น
“ท่านพูดถูก วัดกันที่กำปั้นของใครจะใหญ่กว่าเท่านั้น” มู่อี้พยักหน้าและจากนั้นก็เลิกจ้องมองไปที่โม่หรูเยียน ในเมื่อสิ่งที่นางพูดมาเป็นความจริงทำไมเขาจะไม่เห็นด้วย?
นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าสำนักคุ้มกันโม่หยวนเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นวันหรือสองวัน การที่นางมีชื่อเสียงโด่งดังได้แสดงว่านางเองก็ต้องผ่านประสบการณ์ต่างๆมาพอสมควร อย่างน้อยที่สุดการรับมือกับเรื่องแบบนี้มู่อี้ก็คงทำได้ไม่ดีเท่ากับนางแน่นอน
“ดูเหมือนว่าท่านนักพรตเต๋าจะไม่ใช่คนที่ชอบอวดรู้สักเท่าไหร่” แม้ว่ามู่อี้ไม่สนใจนางแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโม่หรูเยียนจะปล่อยเขาไปและนางยังรู้สึกสนใจในตัวมู่อี้มากขึ้นอีกด้วย
มู่อี้ย่อมเข้าใจในสิ่งที่นางกำลังกระทำและนางย่อมไม่พอใจที่เขาพูดจาหักหน้านางก่อนหน้านี้
ความจริงแล้วครั้งแรกที่เขาได้พบกับโม่หรูเยียนนั้น มู่อี้รู้สึกได้ว่านางน่าจะเป็นหญิงสาวที่เย็นชาอีกคนหนึ่งแต่หลังจากได้รู้จักกันมากขึ้นดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาคิดเอาไว้จะเป็นแค่บุคลิกภายนอกของนางเท่านั้นหรือไม่ก็เป็นเพราะอะไรบางอย่างที่บีบบังคับให้นางต้องมีบุคลิกเช่นนั้น
เพราะในฐานะผู้นำของกลุ่มผู้คุ้มกันและฐานะหญิงสาวคนหนึ่ง นางย่อมไม่สามารถเข้าไปคลุกคลีกับกลุ่มผู้คุ้มกันคนอื่นๆได้ แม้ว่านี่จะไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่แต่นางก็ต้องแสดงบุคลิกที่เย็นชาออกมาอยู่เสมอ จนเมื่อเวลาผ่านไปมันก็กลายเป็นความเคยชิน
จนกระทั่งได้พบกับมู่อี้บวกกับความสงสัยที่นางมีทำให้นางต้องพูดคุยกับมู่อี้มากยิ่งขึ้นและในความคิดของนางนั้นมู่อี้เป็นเพียงแค่ชายหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นนักพรตที่ดูเหมือนจะป่วยอยู่ดังนั้นเขาจึงไม่ถือเป็นภัยคุกคามใดๆสำหรับนางแน่นอน
หลังจากได้พูดคุยกับมู่อี้บุคลิกภายนอกที่นางสร้างเอาไว้ก็ค่อยๆหายไปช้าๆ และมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโม่หรูเยียนก็เป็นเพียงแค่หญิงสาวคนหนึ่งที่ยังไม่ได้แต่งงานเท่านั้น
มู่อี้ไม่ได้ฟังนางพูดจาไร้สาระอีกต่อไปและกลับเข้าไปในรถม้าของตนเอง แม้ว่าคนอื่นๆจะเข้าไปพักอาศัยอยู่ภายในวัดลัทธิเต๋าในตอนนี้แต่มู่อี้กลับไม่ได้เข้าไปด้วยและเขาคิดว่าการนอนอยู่ในรถม้าน่าจะสะดวกสบายมากกว่าการไปนอนรวมกับกลุ่มผู้คุ้มกันภายในวัด
“ท่านนักพรตเต๋า ถ้าหากท่านได้ยินอะไรที่ผิดปกติในคืนนี้จงรีบหาที่ซ่อนตัวซะ อย่าออกมาเด็ดขาด หรือไม่อย่างนั้นแล้วก็ให้ต้าหนิวคอยปกป้องท่านเอาไว้” ในตอนที่มู่อี้กลับขึ้นไปบนรถม้าเสียงของโม่หรูเยียนก็ตามหลังเขามาในเวลาเดียวกัน
มู่อี้หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาและขึ้นไปบนรถม้าทันที
โม่หรูเยียนเห็นว่ามู่อี้ขึ้นไปบนรถม้าแล้ว นางก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเท่านั้นแต่ในตอนที่นางหันหลังกลับมานั้นใบหน้าของนางก็ดูเย็นชาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและสายตาของนางก็ดูไม่เป็นมิตรทันที
แม้ว่าในตอนนี้อากาศจะอบอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆแต่เมื่อถึงตอนกลางคืนก็ยังคงมีลมหนาวพัดเข้ามา
พื้นที่ภายนอกนั้นไม่มีใครอยู่เลยในตอนนี้ กลุ่มผู้คุ้มกันทุกๆคนต่างก็เข้าไปนอนอยู่ในวัดลัทธิเต๋าที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้
แม้ว่ามู่อี้จะกำลังหยดเลือดลงไปในต้นไผ่แห่งชีวิต แต่เขาก็ยังส่งพลังแห่งจิตใจออกไปยังพื้นที่ภายนอกในตอนนี้ ถ้าหากมีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้นมาเขาจะสามารถรับรู้ได้ยางแน่นอน
แม้ว่าในระหว่างที่เขากำลังหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่นั้นห้ามมีสิ่งใดมารบกวนแม้แต่น้อย แต่ถ้าหากว่ามันเป็นเรื่องที่เร่งด่วนจริงๆเขาก็พร้อมที่จะออกไปช่วยเหลือ
“อ้าก!”
ในค่ำคืนอันเงียบสงบนั้นอยู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาปลุกให้ทุกๆคนตื่นจากฝัน ซึ่งรวมไปถึงมู่อี้ที่กำลังหยดเลือดของเขาลงไปบนต้นไผ่ด้วยเช่นกัน
แต่ในตอนที่เขาได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นมานี้มู่อี้ก็ไม่ได้หยุดการกระทำของเขาเพียงแค่ขยายพลังแห่งจิตใจของตนเองออกไปเพื่อตรวจสอบดูเท่านั้น เพราะในตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไรและยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องออกไปดูด้วยตนเอง
“ใครกัน?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
กลุ่มผู้คุ้มกันที่นอนอยู่รีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แทบจะทันทีที่เกิดเสียงกรีดร้องดังขึ้นมานั้นก็มีคนคนหนึ่งวิ่งออกมาจากวัดลัทธิเต๋าร้างพร้อมกับมีดในมือ แม้ว่ามันจะเป็นค่ำคืนที่มืดมิดแต่ก็มีคนคนหนึ่งที่วิ่งขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคารถม้าอย่างรวดเร็วเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ในตอนนี้จากที่สูง
“จุดคบเพลิง!”
ในเวลาเดียวกันก็มีคนจุดคบเพลิงขึ้นมาทันทีหลังจากนั้นครู่หนึ่งทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ก็สว่างขึ้นมา
ที่ทางเข้าวัดลัทธิเต๋าร้างนั้นมีรถม้าที่จอดเรียงรายอยู่มากมายและรถม้าทุกๆคันต่างก็จอดซ้อนกันเป็นวงกลม การจอดรถม้าแบบนี้มีผลในด้านการป้องกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องจอดพักที่พื้นรกร้างระหว่างทางอย่างเช่นตอนนี้ ถ้าหากมีคนบุกเข้ามาอย่างน้อยก็ยังสามารถใช้รถม้าเป็นที่กำบังเอาไว้ได้
แต่ในตอนนี้เมื่อคบเพลิงถูกจุดขึ้นมาก็ไม่มีใครเห็นตัวศัตรูแม้แต่คนเดียว แต่เสียงกรีดร้องนั้นดังขึ้นมาจริงๆและทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน
“ใครกันที่กรีดร้องออกมา?”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
กลุ่มผู้คุ้มกันเหล่านี้ต่างก็ถูกฝึกฝนมาอย่างดี มีบางคนถือคบเพลิงเอาไว้แต่ก็มีหลายๆคนที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในความมืด มู่อี้ยังได้ยินเสียงของธนูและลูกธนูที่ถูกนำออกมา
“พี่รองเฟิงหายตัวไปแล้ว” มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“พี่รองเฟิง ท่านตายไปแล้วหรือไง? ถ้ายังไม่ตายก็รีบตอบกลับมาเร็วเข้า” มีเสียงตะโกนของชายอีกคนดังขึ้นมาพร้อมๆกัน
ดูเหมือนว่าเสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาในตอนนี้จะดึงดูดความสนใจของทุกๆคนไปทันที
มู่อี้ก็รับรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ในใจของเขารู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขาก็ยังมั่นใจในชื่อเสียงของสำนักคุ้มกันโม่หยวน
“มีคนอยู่ตรงนี้” หลังจากผ่านไปมากกว่า 10 ลมหายใจทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังมาจากระยะไกลๆและผู้คุ้มกันทุกๆคนก็รีบนำอาวุธของตัวเองออกมาทันที
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?” ในตอนนี้ก็มีเงาดำของคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว