Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 120
ตอนที่ 120 เข้าใจผิด
“วี๊ด ~!”
ท่ามกลางความมืดนั้นอยู่ๆก็มีเสียงเล็กแหลมที่คล้ายกับนกหวีดดังขึ้นมา
มู่อี้ที่กำลังหยดเลือดของเขาลงไปบนต้นไผ่ก็ลืมตาขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ในตอนนี้ดวงตาของเขาดูเหมือนจะสามารถมองทะลุออกไปจากรถม้าคันนี้และจ้องมองออกไปที่ระยะไกลๆได้
ร่างกายของเงาดำกำลังสั่นขึ้นมาจนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน ดวงตาสีแดงของมันกำลังจางหายไปเรื่อยๆและจากนั้นมันก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาที่ดูประหลาดใจของโม่หรูเยียน แม้ว่าขาข้างหนึ่งของมันจะโดนหอกในมือของนางรั้งเอาไว้จนทำให้การเคลื่อนไหวของมันดูแปลกประหลาดแต่มันก็พุ่งตัวออกไปได้รวดเร็วมากจนหลุดจากหอกออกไปได้
หลังจากนั้นมันก็หายตัวเข้าไปในความมืดทันที
เมื่อเห็นว่ามันหายตัวเข้าไปในความมืดแล้วผู้คุ้มกันทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีและแม้แต่โม่หรูเยียนก็รู้สึกเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน
แม้จะเห็นว่าเงาดำหายตัวเข้าไปในความมืดแล้ว แต่ต้าหนิวก็ยังคงอยู่ที่เดิมอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มันจะกลับเข้าไปในรถม้า
โม่หรูเยียนมองไปยังรถม้าของมู่อี้และยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม นางพยายามตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ในการต่อสู้ที่เกิดขึ้นครั้งนี้สำนักคุ้มกันโม่หยวนของนางเสียหายหนักมากและยังมีผู้คุ้มกันที่ตายไปถึง 8 คนคนที่ 9 ก็อาจจะเสียชีวิตอีกไม่นานหลังจากนี้ นี่คือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโม่หรูเยียน
แม้ว่านางจะรู้สึกเสียใจแต่นางก็ต้องเข้มแข็งเพราะนางรู้ดีว่าตนเองคือผู้นำของทุกๆคนในตอนนี้
ความหวาดกลัวของท่านลุงไฉและผู้คุ้มกันคนอื่นดูเหมือนจะลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ในเช้าวันถัดมาในขบวนรถม้าก็มีไหอยู่ 8 ใบที่บรรจุขี้เถ้ามากมายเอาไว้ภายในนั้น
ผู้คนที่ทำอาชีพผู้คุ้มกันย่อมทราบกฎเกณฑ์ของอาชีพนี้เป็นอย่างดี พวกเขาทําได้เพียงนำเถ้ากระดูกของคนที่ตายไปแล้วกลับสู่บ้านเกิดเท่านั้น สำหรับพวกเขาแล้วมันถือเป็นการร่วงหล่นกลับสู่พื้นดินอีกครั้งหนึ่ง
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับผีดิบจนมีผู้คนมากมายต้องเสียชีวิต แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นสินค้าในรถม้าของพวกเขาก็จะถูกส่งไปที่เมืองลั่วหยางอย่างปลอดภัยแม้ว่าจะไม่ได้รับเงินอีกก้อนหนึ่งจากผู้ว่าจ้างก็ตาม แต่ด้วยชื่อเสียงของสำนักคุ้มกันโม่หยวนพวกเขาจะให้สินค้าเสียหายไม่ได้
นี่ไม่ใช่แค่สำนักคุ้มกันโม่หยวนเท่านั้นที่คิดแบบนี้แต่ทุกๆสำนักคุ้มกันภัยต่างก็คิดแบบนี้เหมือนๆกัน
ดังนั้นถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่าสินค้าที่พวกเขาขนส่งมาในเที่ยวนี้จะมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครที่เข้าไปตรวจสอบสินค้าที่พวกเขากำลังขนส่งมาเลย เพราะกฎก็ย่อมเป็นกฎ
ทุกๆคนเดินทางต่อตามแผนการที่วางเอาไว้ แม้ว่ามันจะเหลือเวลาอีกเพียง 2-3 วันก็จะถึงเมืองลั่วหยางแล้ว แต่ในตอนนี้ทุกๆคนคิดว่า 2-3 วันที่เหลือคงไม่ผ่านไปง่ายๆแน่นอน
ในตอนที่มู่อี้ออกมาจากรถม้า เขาก็เห็นสายตาที่ดูเหยียดหยามจากทุกๆคนได้อย่างชัดเจน เพราะเมื่อคืนนี้เขาไม่กล้าปรากฏตัวออกมาด้วยซ้ำและซ่อนตัวอยู่ภายในรถม้าโดยตลอด ถ้าหากเขาให้ต้าหนิวลงมือตั้งแต่แรกก็อาจจะไม่ต้องมีคนเสียชีวิตมากขนาดนี้
ดังนั้นสายตาที่จ้องมองต้าหนิวและสายตาที่จ้องมองมู่อี้จึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งคือผู้กล้าและอีกคนหนึ่งคือไอ้ขี้ขลาด
ไม่ว่าต้าหนิวจะทานอาหารมากเพียงใดก็ไม่มีใครรู้สึกไม่พอใจอีกต่อไปและพวกเขายังมอบอาหารของตนเองให้กับต้าหนิวอีกด้วย ส่วนมู่อี้มีเพียงความเย็นชาที่พวกเขาจะมอบให้เท่านั้น
แม้แต่โม่หรูเยียนเองก็ไม่สนใจมู่อี้ตลอดทั้งวันนี้
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้มู่อี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากมายและบางครั้งการเข้าใจผิดก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ถือว่าเป็นผู้ว่าจ้างคนหนึ่งและไม่ว่ายังไงสำนักผู้คุ้มกันก็ต้องคอยปกป้องเขาอยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องยื่นมือออกมาช่วยเหลือเลยก็ได้
“ข้าต้องขอโทษแทนทุกๆคนด้วย” ในตอนบ่ายของวันนี้โม่หรูเยียนก็เข้ามาหามู่อี้และพูดขึ้นมาทันที
เพราะนางเห็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้อย่างชัดเจนและโม่หรูเยียนในตอนนี้ก็มีสีหน้าที่ดูเย็นชาแสดงออกมาอีกครั้ง แม้ว่านางจะผ่านประสบการณ์ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตและความตายมากมาย แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะลืมความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไปแล้ว
ดังนั้นนางจึงเย็นชาต่อทุกคนอีกครั้งหนึ่งไม่ใช่แค่มู่อี้คนเดียว
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ข้าผิดเองแหละที่กลัวตายมากขนาดนั้น” มู่อี้ตอบกลับมาเบาๆ
“ข้ามาขอโทษแทนพวกเขามันไม่เกี่ยวข้องหรอกว่าท่านจะกลัวตายหรือไม่ ท่านคือผู้ว่าจ้างคนหนึ่งและท่านย่อมต้องได้รับการปกป้องแม้ว่าพวกเราทุกๆคนจะต้องตายไปก็ตาม มันไม่ใช่ความผิดของท่านเลย” โม่หรูเยียนส่ายศีรษะและพูดออกมา
“ถ้าหากพวกท่านทุกๆคนตายไป แล้วใครจะส่งข้าไปที่เมืองลั่วหยางกัน?” มู่อี้คิดกับตัวเองเท่านั้น
“ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันก็จะถึงเมืองลั่วหยางแล้ว หากเป็นไปได้ข้าก็อยากให้ท่านออกเดินทางไปพร้อมกับต้าหนิวเพียงผู้เดียวในเช้าวันพรุ่งนี้” โม่หรูเยียนหันมามองมู่อี้อีกครั้งหนึ่ง
“ท่านขับไล่ผู้ว่าจ้างแบบนี้ได้อย่างไรกัน? หรือนี่คือการกระทำของสำนักคุ้มกันโม่หยวนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง?” มู่อี้พูดประชดประชัน
“ท่านย่อมทราบดีว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น การเดินทางไปพร้อมกับพวกเราอาจทำให้ท่านมีอันตรายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่ายังไงจุดหมายปลายทางของท่านก็คือเมืองลั่วหยางใช่หรือไม่?” โม่หรูเยียนไม่ได้สนใจคำพูดประชดประชันของมู่อี้และตอบกลับมาทันที
“ถึงท่านจะพูดแบบนั้นก็เถอะแต่ต้าหนิวก็ลงมือไปแล้วเมื่อคืนนี้ ใครจะรู้กันว่าศัตรูจะคอยแก้แค้นอยู่หรือไม่? ถ้าหากข้าแยกตัวออกจากพวกท่านบางทีศัตรูอาจจะสังหารข้าเป็นคนแรกเลยก็ได้” มู่อี้ตอบกลับมาทันที
“เอาล่ะ เช่นนั้นท่านก็ห้ามอยู่ในรถม้าคืนนี้ มิเช่นนั้นแล้วข้าเองก็คงช่วยเหลือท่านไม่ได้” โม่หรูเยียนจากไปทันทีหลังจากกล่าวประโยคนี้จบ เห็นได้ชัดว่านางคิดว่าคืนนี้จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอีกแน่นอน
หลังจากโม่หรูเยียนออกไปแล้ว มู่อี้ก็ส่ายศีรษะแต่เขาก็ยังคงเรียกต้าหนิวและเดินไปที่ห้องที่โม่หรูเยียนได้เตรียมเอาไว้สำหรับเขา ห้องของเขานั้นอยู่ข้างๆห้องของโม่หรูเยียน ด้วยเหตุนี้ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในคืนนี้นางย่อมเข้ามาช่วยเหลือเขาได้ทันเวลาอย่างแน่นอน
เพราะถ้าหากนับจริงๆแล้ว มู่อี้ก็ถือเป็นผู้ว่าจ้างรายใหญ่คนหนึ่งของสำนักคุ้มกันโม่หยวน เงินจำนวน 1,000 ตำลึงทองไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้ง่ายๆ
“พี่ชาย ท่านจะออกไปช่วยเหลือนางหรือไม่?” หลังจากเข้ามาในห้องเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ลอยออกมาจากต้นไผ่และเมื่อต้าหนิวเห็นเช่นนี้ มันก็พยักหน้าและเดินเข้ามาหาเนี่ยนหนิวเอ้อร์ทันทีเพื่อให้เนี่ยนหนิวเอ้อร์นั่งลงบนไหล่ที่กว้างใหญ่ของมัน สีหน้าของมันดูมีความสุข ในขณะที่มันนั่งลงกับพื้นอย่างระมัดระวัง
“ทำไมเจ้าถึงถามเช่นนี้?” มู่อี้นำตะเกียงทองแดงออกมาและจุดไฟทันที ในเวลาเดียวกันเขาก็เอ่ยถามออกไปโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
“เพราะหากพี่ชายไม่ช่วยเหลือนางจริงๆ ชีวิตของนางย่อมอยู่ไม่พ้นคืนนี้แน่นอน” เนี่ยนหนิวเอ้อร์ตอบกลับมาเบาๆ เห็นได้ชัดว่านางย่อมเป็นคนที่รู้จักมู่อี้ดีที่สุดและยังรู้ว่ามู่อี้เป็นคนแบบไหน
ในตอนแรกเริ่มนั้นมู่อี้จ้างวานสำนักคุ้มกันโม่หยวนก็เพื่อลดปัญหาต่างๆจากการเดินทาง ตอนนี้ใกล้จะถึงเมืองลั่วหยางแล้ว เขาสามารถทิ้งสำนักคุ้มกันโม่หยวนไว้ที่นี่และเดินทางต่อไปด้วยตนเองก็ยังได้ และความเร็วของการเดินทางก็จะมากขึ้นด้วยเช่นกัน
แต่การทิ้งคนอื่นๆเอาไว้ข้างหลังเช่นนี้ย่อมไม่ใช่นิสัยของเขา
“สาวน้อย ในโลกใบนี้มนุษย์คือผู้ที่ชั่วร้ายมากที่สุด” มู่อี้หยิบต้นไผ่ขึ้นมาและเคาะไปที่ศีรษะของเนี่ยนหนิวเอ้อร์เบาๆ
“อุ้ย” เนี่ยนหนิวเอ้อร์รีบยกมือขึ้นมาปิดศีรษะของตนเองทันทีและมองมาที่มู่อี้ด้วยสายตาที่ดูไม่พอใจ
ถ้าหากเป็นของอย่างอื่นคงไม่อาจสัมผัสร่างกายของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ได้แน่นอนแต่ต้นไผ่ต้นนี้นั้นเป็นข้อยกเว้น แน่นอนว่ามู่อี้ก็ไม่ได้ออกแรงมากนัก เขาแค่อยากจะแกล้งนางเท่านั้น
เมื่อได้ยินเสียงร้องของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ ดวงตาของต้าหนิวก็เปิดกว้างขึ้นมาและจ้องมองมาที่มู่อี้ทันที สายตาของมันแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบที่มู่อี้ทำแบบนี้
“ทำไม? เจ้าก็อยากโดนด้วยเหมือนกันหรอ?” มู่อี้ขยับมือของเขาอีกครั้งและใช้ต้นไผ่ที่อยู่ในมือของเขาตีลงไปที่ศีรษะของต้าหนิวทันที
แม้ว่าต้าหนิวจะมีผิวหนังที่หนามากเพียงใด แต่หลังจากถูกตีมันก็รีบหดศีรษะกลับมาทันทีและไม่กล้าจ้องมองไปที่มู่อี้อีกต่อไป
“ไร้ประโยชน์จริงๆ เจ้ายอมให้เขารังแกได้ยังไงกัน” เมื่อเนี่ยนหนิวเอ้อร์เห็นเช่นนี้ นางก็ใช้มือของตนเองฟาดลงไปที่ศีรษะของต้าหนิวด้วยความโกรธ แต่ต้าหนิวก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมาเลย ใบหน้าของมันมีเพียงรอยยิ้มเท่านั้น