Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 125
ตอนที่ 125 การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เวลากลางคืนผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว!
ช่วงเวลากลางคืนผ่านไปอย่างเงียบสงบโดยที่ทุกคนคาดไม่ถึง แม้แต่เสียงลมที่พัดเข้ามาก็ยังไม่มี
ในตอนที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมานั้นมู่อี้ก็ออกมาฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดของเขาอีกครั้งหนึ่ง เขาเห็นว่าโม่หรูเยียนกำลังยืนอยู่บนรถม้าพร้อมกับสายตาที่มองออกไปในระยะไกลๆ
หอกเหล็กของนางยังคงวางอยู่ด้านข้าง
ในตอนที่มู่อี้ก้าวออกมาด้านนอกโรงเตี๊ยมนั้น นางก็หันหน้ามามองมู่อี้และพูดขึ้นมาทันทีว่า “มาประลองกับข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้มู่อี้ก็รู้สึกพูดไม่ออก เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินที่นางพูดและเดินต่อไปทันที จากนั้นก็เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดของเขาที่มุมด้านหนึ่งของลานฝึกฝนแห่งนี้
แม้ว่ามู่อี้จะไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเลยเมื่อคืนนี้ แต่เขาก็ตรวจสอบการเคลื่อนไหวในพื้นที่บริเวณนี้อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้เช้าวันนี้เขารู้สึกเหนื่อยมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าเขาจะรู้สึกเหนื่อยแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวโม่หรูเยียน เพียงแค่ยันต์สายฟ้าของเขาก็เพียงพอที่จะจบชีวิตของนางแล้ว แต่การต่อสู้เช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
เมื่อเห็นว่ามู่อี้ไม่สนใจคำพูดของตนเอง โม่หรูเยียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นางหยิบหอกเหล็กของตนเองขึ้นมาและจากนั้นหอกในมือของนางก็พุ่งเข้าไปหามู่อี้ทันที
แม้ว่ามู่อี้จะกำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดอยู่ แต่พลังแห่งจิตใจของเขาตรวจสอบการเคลื่อนไหวบริเวณรอบๆตัวอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าหอกเหล็กของโม่หรูเยียนจะพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็เพียงแค่ก้าวออกไปเล็กน้อยและจากนั้นก็ยกมือขึ้นมาก็สามารถหลบหอกเหล็กที่ตรงเข้ามาหาตนเองได้อย่างง่ายดาย
เมื่อโม่หรูเยียนได้เห็นเช่นนี้นางก็ยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย แทนที่จะดึงหอกของตนเองกลับมา นางเลือกที่จะก้าวเท้าออกไปทันทีและตามเข้าไปประกบมู่อี้อยู่บริเวณด้านตรงข้ามของเขาพร้อมกับฝ่ามือของนางที่ตบลงไปบนปลายด้ามหอกของตนเองทันที
ปลายหอกหมุนกวาดออกไปอย่างรวดเร็วแต่มู่อี้ก็ยังตอบสนองได้ทันเวลา
เมื่อเห็นว่าร่างกายท่อนบนของมู่อี้เอนหลังกลับไปอย่างกะทันหันและแม้แต่การฝึกฝนวิชาหมัดของเขาก็ไม่ได้โดนขัดจังหวะ เพราะเคล็ดวิชาหมัดที่เขาฝึกฝนอยู่นี้มีท่วงท่าที่หลากหลายและท่าทีของเขาในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในท่วงท่าที่อยู่ในเคล็ดวิชาหมัดนี้ด้วยเช่นกัน
เดิมทีมู่อี้คิดจะหลบการโจมตีที่เข้ามาและไม่อยากต่อสู้กับโม่หรูเยียน แต่ในตอนที่เขากำลังคิดจะหลบออกไปนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีและจากนั้นเขาก็หยุดเคลื่อนที่
โม่หรูเยียนรู้สึกสนใจมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หอกในมือของนางเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ฟาดฟัน จ้วงแทง ฟันกวาด ทุกท่วงท่าล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามจิตใจของนาง แม้ว่ามันจะไม่ได้สร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลแต่การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและฉับไวเช่นนี้ก็ทำให้ผู้ที่ได้เห็นต้องตกตะลึง
ท่านลุงไฉออกมาจากห้องของตนเองและเมื่อมองออกไปเขาก็เห็นทั้งสองคนที่กำลังต่อสู้กันในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปห้ามเพียงแค่เฝ้ามองอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ในฐานะที่เขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักคุ้มกันโม่หยวน เขาได้เฝ้ามองโม่หรูเยียนที่เติบโตขึ้นมาตลอดเวลาและเขาย่อมรู้ดีว่าโม่หรูเยียนแข็งแกร่งมากเพียงใด
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ได้มีเจตนาที่จะสังหารกันในตอนนี้และโม่หรูเยียนก็ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของนางออกไป แต่ในทางกลับกันมู่อี้มีเพียงแค่มือเปล่าเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายปะทะเข้าหากันอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังไม่มีใครทำอะไรกันได้
หลังจากเฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่งท่านลุงไฉก็รู้สึกได้ว่าในตอนนี้มีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป นั่นคือท่วงท่าการเคลื่อนไหวของมู่อี้ที่ดูจะติดขัดเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปการเคลื่อนไหวของเขาก็ดูไหลลื่นมากยิ่งขึ้นและทำให้เขาสามารถรับมือกับโม่หรูเยียนได้อย่างง่ายดาย. .
หลังจากนั้นในตอนที่เขาปล่อยหมัดของตนเองออกไปนั้นสีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายอย่างยิ่ง
ถ้าหากไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเองท่านลุงไฉคงไม่เชื่อแน่นอนว่าจะมีคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาสั้นๆแบบนี้ได้ แล้วมันถือเป็นพัฒนาการที่ก้าวกระโดด
ความจริงแล้วมู่อี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ตัวเขาเองคิดเอาไว้
ในตอนแรกมู่อี้ก็พยายามหลบการโจมตีที่เข้ามา แต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่านอกจากพลังแห่งสวรรค์และโลกที่เข้ามาในร่างกายของตนเองแล้ว เขายังสามารถเข้าใจท่วงท่าการต่อสู้ต่างๆได้อย่างรวดเร็วในตอนนี้
เมื่อรู้สึกเช่นนี้จิตใจของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปทันทีและหันมาต่อสู้กับโม่หรูเยียนอย่างเต็มใจ
สิ่งที่ท่านลุงไฉรู้สึกได้นั้นโม่หรูเยียนก็รู้สึกได้ด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าเขาจะถือเป็นคู่ต่อสู้ของนางในตอนนี้แต่นางก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมู่อี้ได้อย่างชัดเจน
และเมื่อคิดได้แบบนี้แล้วนางก็เพิ่มความเร็วของตนเองในการต่อสู้กับมู่อี้ให้มากขึ้นไปอีก
แต่ไม่นานหลังจากนั้นนางก็พบว่าการเคลื่อนไหวที่ดูติดขัดของมู่อี้ในตอนแรกนั้นก็เริ่มดูผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดนั้นมู่อี้ก็สามารถเคลื่อนไหวหลบการโจมตีของนางได้ทุกครั้ง
ในตอนที่มู่อี้ใช้มือตบลงมาที่หอกของนางนั้น นางก็รู้สึกได้ถึงพลังที่แปลกประหลาดที่ถูกส่งผ่านมาทางหอกของตนเอง พลังที่เข้ามานั้นตรงเข้าไปในร่างกายของนางมันทำให้นางรู้สึกมึนงงและยากที่จะควบคุมร่างกายของตนเองได้
โชคดีที่ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อมันเกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้แล้วก็ย่อมส่งผลต่อนางอย่างรุนแรงและในที่สุดนั้นมันก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายของนาง
“พอแล้ว ไม่ต้องประลองแล้ว”
ท้ายที่สุดเมื่อโม่หรูเยียนเห็นว่ามู่อี้ไม่มีท่าทีที่จะหยุดการประลองครั้งนี้เลย นางจึงตะโกนออกไปพร้อมกับวางหอกในมือของตนเองลงและจากนั้นนางก็ถอยห่างออกมาจากมู่อี้ทันที
เพราะถ้าหากว่านี่เป็นการต่อสู้จริงๆอย่างน้อยนางก็สามารถใช้พลังของตนเองออกไปทั้งหมดได้ แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูน่าอึดอัดไปหมดมีเพียงมู่อี้เท่านั้นที่ดูสนุกกับการประลองครั้งนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของโม่หรูเยียน มู่อี้ก็ดูเหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมและปิดตาลงเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ก้านธูป
แม้ว่าจะมีผู้คุ้มกันคนอื่นๆที่เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมแล้วแต่ก็โดนโม่หรูเยียนสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาใกล้ที่นี่ เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากให้ใครเข้ามารบกวนเขาในตอนนี้
“ขอบคุณสำหรับการชี้แนะของท่าน” ในที่สุดมู่อี้ก็ลืมตาขึ้นมาและพูดกับโม่หรูเยียนทันที
หลังจากได้อยู่กับความคิดของตนเองเป็นเวลา 1 ก้านธูปเขาก็เข้าใจแล้วว่าตนเองได้ประโยชน์มากเพียงใดในตอนนี้และถ้าหากไม่ใช่เพราะโม่หรูเยียนเขาก็อาจจะยังไม่เข้าใจความลับที่ซ่อนอยู่ในเคล็ดวิชาหมัดของตนเอง
ก่อนหน้านี้เคล็ดวิชาหมัดของเขานั้นเป็นเพียงแค่เคล็ดวิชาธรรมดาที่เขาคิดว่ามันเป็นเพียงการออกกำลังกายเท่านั้น แต่หลังจากเขาใช้มันร่วมกับพลังแห่งจิตใจก็สามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงแค่เขาสามารถลำดับความสำคัญของศัตรูที่กำลังเข้ามาได้เท่านั้นแต่ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถใช้พลังแห่งจิตใจของตนเองร่วมกับเคล็ดวิชาหมัดเพื่อโจมตีศัตรูได้
ส่วนพลังที่แปลกประหลาดที่โม่หรูเยียนรู้สึกได้นั้นย่อมเป็นพลังแห่งจิตใจของมู่อี้
แต่เป็นเพราะว่าเขายังไม่ชำนาญการในเรื่องนี้มู่อี้จึงยังไม่สามารถประสานพลังแห่งจิตใจของเขาเข้ากับเคล็ดวิชาหมัดได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่การค้นพบในครั้งนี้ก็เหมือนกับได้ค้นพบแนวทางใหม่ของตนเองและทำให้เขาสามารถมองเห็นหนทางที่จะก้าวเดินไปในอนาคตได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าเดิมทีนั้นมู่อี้จะพึ่งพาเพียงแค่ยันต์ของเขาและตะเกียงทองแดงเท่านั้นและแม้ว่าจะรวมต้นไผ่แห่งชีวิตที่กำลังเพิ่มเข้ามาเป็นอาวุธของเขาด้วยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเคล็ดวิชาหมัดจะไร้ประโยชน์สำหรับเขา มันกลับมีประโยชน์ยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก
เพราะเขาไม่สามารถยืนนิ่งเพื่อระบุเป้าหมายให้กับยันต์ของตนเองระหว่างการต่อสู้ได้และเมื่อยันต์ที่เขามีนั้นหมดไป รวมถึงตะเกียงทองแดงที่ต้องการพลังแห่งจิตใจเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงเวลานั้นแล้วเคล็ดวิชาหมัดของเขาจะมีประโยชน์มากที่สุดในการต่อสู้
แม้ว่ามู่อี้จะได้พบว่าเคล็ดวิชาหมัดของเขานั้นไม่ใช่เคล็ดวิชาธรรมดา แต่ก็ยังมีวิธีการผสานมันเข้ากับพลังแห่งจิตใจด้วยเช่นกัน ตัวเคล็ดวิชาหมัดนั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของเขาเท่านั้น
บางทีในอนาคตเมื่อเขาได้ศึกษาเคล็ดวิชาหมัดนี้จนเชี่ยวชาญอย่างแท้จริงเขาอาจจะสามารถสร้างเคล็ดวิชาอื่นๆขึ้นมาได้อีก แค่สะบัดมือหรือเท้าออกไปเพียงครั้งเดียวก็สามารถสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
เพราะเหตุนี้มู่อี้จึงรู้สึกขอบคุณโม่หรูเยียนจากใจจริง