Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป - ตอนที่ 130
ตอนที่ 130 ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
“นักพรตเต๋น้อย ถือว่าเจ้าได้ล่วงเกินข้าแล้ว” ชายชราตะโกนใส่มู่อี้และจากนั้นเขาก็นําอะไรบางอย่างออกมาพร้อมกับโยนลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง
” พรึบ!”
หมอกควันก็ระเบิดออกมาทันทีและปกคลุมไปทั่วร่างกายของชายชรา
เมื่อเห็นว่ามีหมอกควันเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งผู้คุ้มกันจํานวนมากก็รีบใช้มือปิดจมูกของตนเองและเดินห่างออกไปจากบริเวณนี้ทันที ในเวลาเดียวกันพวกเขาต่างก็จ้องมองมาที่อี้เพราะมีเพียงไม่อี้เท่านั้นที่สามารถกําจัดควันสีดําให้หายไปได้
แต่ในครั้งนี้มู่ลี้ยังไม่ได้เริ่มทําอะไรเลยแม้แต่สายตาของเขาก็ยังคงจ้องมองไปที่แฝดผีแห่งเหอเจี้ยนที่กําลังต่อสู้อยู่กับตาหนิวด้านนอก
ทุกๆคนรู้สึกสับสนกับท่าทีของมู่ลี้ แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็พบว่าหมอกควันที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ได้ทําอันตรายใดๆและรีบปล่อยมือที่ปิดจมูกของตนเองออก หลังจากที่หมอกควันหายไปแล้วร่างของชายชราก็หายไปด้วยเช่นกัน
“หนี้ไปแล้วหรอ?” นี่คือความคิดของทุกๆคนและคิดว่าความคิดของพวกเขาในตอนนี้ออกจากไร้สาระเกินไปหน่อย แต่เมื่อนึกถึงการลงมือของผู้อี้ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เริ่มคิดว่าชายชราอาจจะหนี้ไปแล้วจริงๆก็ได้
และในตอนนี้สายตาของทุกๆคนก็จ้องมองไปที่มู่อื้อย่างพร้อมเพียงกันโดยไม่รู้ตัว พวกเขาลืมไปหมดแล้วว่าก่อนหน้านี้ตนเองเคยคิดว่ามูอี้เป็นคนอย่างไร
แฝดผีแห่งเหอเจี้ยนก็ดูเหมือนจะกําลังพ่ายแพ้ในตอนนี้และสิ่งเดียวที่พวกเขาได้เปรียบก็คือความเร็วเท่านั้น มีหลายครั้งที่พวกเขาพยายามเข้าไปใกล้ต้าหนิวแต่ก็โดนโจมตีจนต้องรีบถอย กลับออกมาต้าหนิวไม่ได้หลบการโจมตีที่เข้ามาเลยมันเหวี่ยงขวานยักษ์ในมือออกไปปะทะกับศัตรูอย่างกล้าหาญทุกครั้ง
หลังจากลองทดสอบดูแล้วแฝดผีแห่งเหอเจี้ยนก็พบว่าพวกเขาไม่อาจทําอะไรต้าหนิวได้เลยในทางกลับกันขวานยักษ์ในมือของต้าหนิวนั้นสามารถสับร่างกายของพวกเขาออกเป็น 2 ท่อนได้อย่างง่ายดายดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่มีใครอยากเข้าไปใกล้ต้าหนิวเลย
ในตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนอยากจะหนีไป แต่ถ้าหากต้องหนีไปจริงๆเช่นนั้นชื่อเสียงที่สร้างมาก็คงถูกทําลายป่นปี้แน่นอน
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองคนย่อมมีชื่อเสียงในด้านที่ไม่ดีและการกระทําที่ชั่วร้าย แต่เรื่องแบบนี้แหละที่สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขาจนหลายๆคนจดจําได้
แต่ในตอนนี้เมื่อมีสายตาของมู่อี้ที่จ้องมองมา ทั้งสองคนก็รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในใจทันทีและรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากําลังตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา
“เจ้าเฒ่าแมลง หากเจ้ายังไม่รีบปรากฏตัวออกมาอีกตอนนี้ เจ้าจะมาตําหนิพวกเราสองคนพี่นองไม่ได้นะ” เมื่อเห็นเช่นนี้เหยาฟางก็ตะโกนออกมาทันที
เห็นได้ชัดว่าวิกฤตการณ์ที่พวกเขากําลังเผชิญในตอนนี้ทําให้เขารู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างชัดเจน
“วืด!”
ทันทีที่เหยาฟางพูดจบนั้นเสียงนกหวีดก็ดังขึ้นมาในความมืดจากระยะไกลๆทันที
เมื่อได้ยินเสียงนี้มีอี้ก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขารอคอยสิ่งนี้มาครึ่งคืนแล้วและกําลังรอ คอยให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ปรากฏตัวออกมา
ในตอนที่เสียงนกหวีดดังขึ้นมานั้นโม่หรูเยียนก็เตรียมพร้อมป้องกันเรื่องไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลานางยังจําความแข็งแกร่งของเงาดําที่นางต่อสู้ด้วยในค่ําคืนนั้นได้เป็นอย่างดีถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าต้าหนิวยื่นมือเข้ามาช่วยนางคงตายไปแล้ว
ในตอนนี้เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้นมาอีกครั้ง มันย่อมหมายความว่าเงาดํากําลังจะปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ฟูว!”
ทันทีที่เสียงนกหวีดดังขึ้นมานั้นก็มีสายลมที่รุนแรงพัดเข้ามาทันที และจากนั้นก็มีเงาดําตนหนึ่งพุ่งเข้าไปโจมตีท้าหนิวอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ไม่หรูเยียนก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและหอกในมือของนางก็พุ่งออกไปด้วยเช่นกัน
แต่ในตอนนี้ก็มีเงาดําหลายตนที่พุ่งออกมาจากความมืดอย่างต่อเนื่อง
“พี่น้องทุกๆท่าน ออกไปสังหารศัตรูกับข้าเถอะ” ท่านลุงไฉยกแขนของเขาขึ้นมาทันทีและนําทุกๆคนออกไปสังหารศัตรู
ผู้คุ้มกันที่เหลืออยู่ทุกๆคนไม่ลังเลที่จะหยิบดาบของตนเองขึ้นมาทันที หลังจากผ่านไปไม่กี่ลมหายใจก็เหลือเพียงมู่อี้คนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ในลานแห่งนี้
ส่วนรถม้าที่บรรทุกสมุนไพรต่างๆเอาไว้นั้นจอดเรียงรายอยู่ที่ด้านข้างของลานแห่งนี้ ถ้าหากมู่อื้อยากตรวจสอบดูในตอนนี้คงไม่มีใครรู้แน่นอนและคงไม่มีใครมาห้ามเขาได้
ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ภายนอกนั้นเต็มไปด้วยเสียงของการ ต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายแต่ภายในใจของเขานั้นกลับเงียบสงบอย่างยิ่ง
“ตึก ตึก ตึก!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเท้าที่เดินเข้ามาและมู่อี้ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นก็เป็นชาย วัยกลางคนคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดสีม่วงปรากฏขึ้นมาในระยะการมองเห็นของมู่ลี้
ชายวัยกลางคนผู้นี้ดูมีอายุประมาณ 40 ปี เขามีใบหน้าที่ดูซีดเซียวแต่ก็ดูหยิ่งผยองในเวลา เดียวกัน แต่ริมฝีปากของเขานั้นมีสีเข้มคล้ายกับสีเหล็กซึ่งดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
” ท่านคงไม่ใช่คนของสํานักคุ้มกันโม่หยวน? เหตุใดถึงยังอยู่ที่นี่อีก?” ชายวัยกลางคนจ้องมองมาที่มู่อื้อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้นมาทันที
” ท่านเป็นใครกัน? เหตุใดจึงอยากให้ข้าไปจากที่นี่?” มู่อี้ตอบกลับมา
“ข้ามีนามว่า เซี่ยชวีหยาง เป็นเจ้าของชวี่ยจวงที่อาจพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง หากท่านนักพรตเต่ํายินดีที่จะไปจากที่นี้ข้าย่อมตอบแทนท่านนักพรตเต๋อย่างเหมาะสมแน่นอน” ชวีหยางมองมาที่มู่อี้และพูดต่อ
“ชวีหยาง? เจ้าของขวี่ยจวง?” มู่อี้พูดขึ้นมาเบาๆ ในตอนนี้เขาแน่ใจแล้ว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือผู้ที่เป็นเจ้าของขวี่ยจวงจริงๆด้วย
เรียกได้ว่าบางครั้งสิ่งที่ต้องการตามหาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเอง
“ใช่แล้ว ท่านนักพรตเต๋คิดเช่นไรกับข้อเสนอของข้า?” ชวีหยางมองมาที่มและถามต่อทันทีพูดได้เลยว่าอี้คือผู้ที่ทําลายแผนการของเขาไปถึง 2 ครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่เคยปรากฏตัวออกมา ก่อนหน้านี้แต่เขาก็รู้ดีว่าต้าหนิวเชื่อฟังคําสั่งของใคร
เพียงแค่ต้าหนิวก็ทําให้ทุกๆคนต้องหวั่นเกรงต่อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงพลังที่แท้จริงของมู่อี้ที่ยัง ไม่เคยลงมือมาก่อนเลย
แผนการของเขาจะสําเร็จหรือไม่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับช่วงเวลานี้ มู่อี้นั้นแตกต่างจากพวกนักพรตที่เดินทางไปทั่วและหลอกลวงเงินทองจากชาวบ้านคนอื่นๆ นักพรตเต๋าที่อยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้ถือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ชวีหยางมีท่าทีที่ดูสุภาพในตอนนี้ แน่นอนว่าเหตุผลข้อหนึ่งนั่นก็เป็นเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถเอาชนะได้จึงเลือกที่จะผูกมิตรไว้ก่อน
ดังนั้นในความคิดของชวีหยาง ตราบใดที่มู่ลี้ยินยอมถอยออกไปในตอนนี้มันก็คุ้มที่เขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนครั้งใหญ่
“ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด ท่านก็น่าจะเป็นผู้ที่สามารถสร้างผีดิบขึ้นมาได้คนหนึ่งใช่หรือไม่?” อี้ไม่ได้ให้คําตอบชวีหยางแต่กลับถามขึ้นมาทันที
” หรือว่าท่านนักพรตเต๋ต้องการกําจัดผีดิบที่ชั่วร้ายให้หมดไปในวันนี้ ?” ชวีหยางมองมาที่มู่ลี้ด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง
“ข้าไม่ได้สนใจเรื่องแบบนั้นเลย ข้าเพียงแค่อยากจะถามอะไรจากท่านที่เป็นเจ้าของชวี่ยจวงเท่านั้น” มู่อี้พูดต่อ
“เช่นนั้นท่านอยากจะถามอะไรจากข้าหรือ?” ชวีหยางมองมาที่มู่อี้ด้วยความสงสัยเล็กน้อยเขาไม่คิดว่ามูอื้อยากจะถามอะไรตนเองแต่ตราบใดที่มู่ลี้ยินยอมทําตามที่เขาขอร้องเขาก็ยินดีจะทําตามความต้องการของมู่อี้ด้วยเช่นกัน
“มีชายคนหนึ่งที่มีนามว่า หลี่เฉียจ๋อ ไม่ทราบว่าท่านที่เป็นเจ้าของชวี่ยจวงรู้จักชายคนนี้หรือ ไม่?” มู่อี้พูดออกมาและจากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่สีหน้าของชวีหยางทันที
“หลี่เฉียชื่อ?” ชวีหยางรู้สึกสั่งเลขึ้นมา แต่จากนั้นเขาก็ถามกลับมาว่า “ท่านหมายถึงหลี่งั้นหรือ?”
“ใช่แล้วข้าได้ยินมาว่าผู้ที่เป็นเจ้าของขวี่ยจวงนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา?” มู่อี้ไม่อา จหาความผิดปกติจากสีหน้าของชวีหยางได้ มันไม่มีอะไรมากกว่าความรู้สึกประหลาดใจ สีหน้าของเขาไม่อาจให้คําตอบอะไรได้เลย สําหรับชื่อที่แท้จริงของหลี่เฉียชื่อนั้นมูอี้ก็คิดว่าคงไม่ใช่ หลี่จี้ อย่างแน่นอนแต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าเขาได้ลองดูแล้ว
“ท่านนักพรตเต๋าได้ยินอะไรผิดมาหรือเปล่า? แม้ว่าข้ากับหลีจะไม่ได้เกลียดชังจนถึงขนาดไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ แต่เขาก็เกลียดชังข้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะข้าเป็นผู้ที่หักขาเขาเองในปีนั้น เขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับข้าได้อย่างไรกัน?” ชวีหยางรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามอธิบายเรื่องนี้
“บางทีข้าหวังว่าท่านที่เป็นเจ้าของชวียจวงจะสามารถบอกได้ว่าตอนนี้เขาอ
“ถ้าหากข้าบอกเรื่องนี้ไป ท่านนักพรตเต๋จะยอมถอยออกไปจากเรื่องในตอนนี้หรือไม่?”