Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 19.3 ขาขวาของปีศาจ (3)
“ดูเหมือนว่านี่เป็นขาขวาของปีศาจแน่นอน วะฮ่าๆ!!!” โจวเหว่ยชิงกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ อย่างมีความสุข แม้ว่าตอนนี้การควบคุมขาขวาให้ถูกต้องนั้นเป็นเรื่องยากมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังค่อนข้างมีปัญหาเมื่อเริ่มขยับเคลื่อนไหว แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันก็ชดเชยให้กับข้อเสียทั้งหมดที่ว่ามาแล้ว ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็แค่ต้องค่อยๆฝึกฝนไปเรื่อยๆ เพื่อควบคุมพลังอันยิ่งใหญ่นั้นให้ได้ แต่ก็อย่างว่า ใครจะมีขาขวาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้อีกล่ะ? นี่จะต้องกลายเป็นเป็นอาวุธลับที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขาอย่างแน่นอน!
ในระหว่างการเดินทางที่ยาวนานและแสนน่าเบื่อ โจวเหว่ยชิงกลับกลายเป็นคนที่ยุ่งวุ่นวายที่สุด เขาติดตามกองทหารอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่ได้เข้าไปร่วมขบวนกับพวกเขา แทนที่จะเดินไปข้างหน้าตรงๆ โดยใช้เท้าแบบปกติ เด็กหนุ่มกลับใช้ขาขวาของปีศาจตลอดเวลา พยายามปรับเปลี่ยนและควบคุมให้เข้ากับส่วนที่เหลือของร่างกาย เพื่อให้แน่ใจว่าตนสามารถควบคุมพลังของมันได้ หลังจากผ่านไป 10 วันเต็ม เขาก็ปรับตัวเข้ากับมันได้ในที่สุด แม้พูดไม่ได้เต็มปากว่าสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ และก็ยังสามารถเรียกใช้พลังของมันได้ในทุกครั้งที่จำเป็น
หลังจากทดลองหลายๆ ครั้ง โจวเหว่ยชิงก็ค้นพบว่าความแข็งแกร่งของขาขวาของเขานั้นช่างน่าหวาดกลัวจริงๆ เมื่อชักนำปราณสวรรค์เข้าสู่ส่วนขาขวา มันจะมีพละกำลังจะเพิ่มขึ้นมากกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกายถึง 5 เท่า สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือขณะที่ใช้มันโจมตี เด็กหนุ่มไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ เลย นั่นจึงนับว่าเป็นอาวุธที่น่ากลัวอีกอย่างเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาค้นพบความจริงข้อนั้น เด็กหนุ่มก็ต้องรู้สึกตกใจเล็กน้อย และรีบตรวจสอบ ‘ขาที่สาม’ ตรงหว่างขาของตนเองอย่างระมัดระวังทันทีเพราะกลัวว่ามันจะไร้ความรู้สึกไปด้วย โชคดีที่เขารับรู้ได้ว่ามันไม่ได้รับผลกระทบจากขาขวาของปีศาจ โจวเหว่ยชิงจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและผ่อนคลาย ถ้าขาที่สามไร้ความรู้สึกไปด้วย เขาก็คงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว…
กองทัพเดินขบวนไปทางทิศใต้อย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จะมีอาณาเขตไม่ใหญ่มาก แต่พวกเขาก็ยังคงใช้เวลากว่า 20 วันจึงจะเข้าใกล้แนวหน้า
“พวกเราแค่ต้องเดินหน้าต่อไปอีก 300 ไมล์ก็จะถึงค่ายทหารในแนวหน้าแล้ว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดกับโจวเหว่ยชิงขณะที่พวกเขาเดินทางไปด้วยกัน แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีอัธยาศัยดีมาก แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ใจร้ายหรือทำอะไรรุนแรงกับเขาอีก เพียงแค่ปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาธรรมดาๆ
โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ชัดว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผ่อนคลายลงเล็กน้อยหลังจากเธอพูดคำเหล่านั้นจบ เขารู้จากเซียวหรูเซ่อว่านี่เป็นครั้งแรกที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้เป็นผู้ควบคุมดูแลงานที่ได้รับมอบหมายดังกล่าว และตอนนี้เธอเกือบจะทำสำเร็จแล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้วซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ถือว่าเป็นถึงสมบัติประจำชาติของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ดังนั้นแม้ว่าเธอจะอยู่ในแนวหน้า ผู้เป็นใหญ่ในกองทัพก็ไม่สามารถสั่งการใดๆ ที่จะทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายได้ ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวมณีสวรรค์ที่พลังยังไม่เติบโตเต็มที่ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงอยู่มาก หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ มันจะกลายเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของอาณาจักรและแผนการในอนาคตของพวกเขา
“ปิงเอ๋อร์ ข้าอยากจะคุยกับเจ้า” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาแล้วพูดว่า “พูดมา”
“เมื่อเราไปถึงค่ายทหาร ปล่อยข้ากลับไปที่กองพันกับทหารคนอื่นๆ ข้าอยากออกไปต่อสู้และฆ่าศัตรูในสนามรบ” โจวเหว่ยชิงไม่ได้ล้อเล่น เขารู้ว่าถ้าเขาติดตามซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาคงจะไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมการต่อสู้จริงๆ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แปลกใจเล็กน้อย “เจ้าไม่ต้องการติดตามข้าแล้วใช่ไหม?”
ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจะอธิบาย ทันใดนั้นการแสดงออกของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เท้าทั้งสองของเขาเหยียบลงบนโกลนม้า ใช้มันเป็นแกนหมุนเพื่อเหวี่ยงร่างกายไปด้านข้าง โจวเหว่ยชิงกระโจนออกไปรวบร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กำลังทำท่าทางหงุดหงิดไว้ในอ้อมแขนของเขา แรงดึงของเด็กหนุ่มทำให้เธอร่วงตกลงจากหลังม้า
*ปั่ก* ในเสี้ยววินาทีถัดมาลูกศรดอกหนึ่งก็โฉบผ่านร่างของพวกเขาไป ลูกศรดอกนั้นเกือบจะเฉียดโดนพวกเขา ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าไปปักคาบนถนนข้างๆ หากโจวเหว่ยชิงมีปฏิกิริยาตอบสนองช้าเพียงเล็กน้อย ลูกศรดอกนั้นคงจะแทงทะลุผ่านร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปแล้วแน่นอน
“ศัตรูลอบโจมตี!!!!” โจวเหว่ยชิงตะโกนเสียงดังขณะที่กอดซ่างกวนปิงเอ๋อร์เอาไว้และกระโดดหลบเข้าไปซ่อนที่ใต้ท้องม้ากับเธอ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มีสติขึ้นมาทันที และทั้งคู่ก็นึกถึงบางอย่างพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ศรติดตามไร้เสียง
ก่อนที่ลูกศรดอกนั้นจะพุ่งตรงเข้ามา มันไม่ได้ส่งเสียงใดๆ และไม่ได้เสียดสีกับแรงต้านอากาศเลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นด้วยพลังปราณสวรรค์ขั้นที่ 8 ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอก็ไม่ควรจะพลาดเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงสามารถหลบได้เพียงเพราะสัมผัสได้ถึงอันตรายในหัวใจของตนเอง และเขามีปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยการพุ่งเข้าไปช่วยเธอโดยไม่รู้ตัว นี่ไม่ใช่สัญชาตญาณของมนุษย์ แต่เป็นสัญชาตญาณของสัตว์ป่า หรือก็คือเสือดำตัวใหญ่นั้นนั่นเอง
“นี่ไม่ใช่ศรติดตามไร้เสียง มันน่าจะเป็นศรไร้เสียงธรรมดา ไม่เช่นนั้นข้าก็ควรจะโดนมันเล่นงานไปแล้ว เจ้าปล่อยข้า” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้โจวเหว่ยชิงรีบถอดหมวกลมออกจากศีรษะเพื่อใช้เป็นเกราะป้องกัน แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขา แน่นอนว่าตอนนี้เธอสวมเสื้อเกราะ และตอนนี้การกอดเธอเอาไว้ก็ไม่ค่อยสบายตัวนักเพราะเกราะแข็งๆ นั่น
“เราใกล้จะถึงที่ตั้งค่ายหลักของเราแล้ว จะมีการซุ่มโจมตีจากศัตรูได้อย่างไร?” โจวเหว่ยชิงกล่าวเมื่อเริ่มโคจรพลังปราณสวรรค์ นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่จะได้เผชิญหน้ากับศัตรูจริงๆ และถ้าบอกว่าไม่รู้สึกกังวลเลย นั่นก็คงจะเป็นเรื่องโกหกพกลม
ทันใดนั้น ประสาทสัมผัสของโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้ปล่อยมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และกระชากเธอเกลือกกลิ้งไปอีกทางทันที *ปั่ก* เลือดพุ่งออกมาจากตำแหน่งที่พวกเขาทั้งคู่เพิ่งถลาออกมา ม้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกยิงและลูกธนูดอกหนึ่งก็แทงทะลุผ่านมายังจุดที่ทั้งสองคนเคยอยู่อย่างรุนแรงหมายเอาชีวิต
ในเวลานี้ความโกลาหลเกิดขึ้นในขบวนทัพทันที ขณะที่พลธนูต่างก็กวาดยิงธนูออกไปในบริเวณรอบๆ ทหารราบส่วนที่เหลือก็ร่วมใจกันตั้งแถวล้อมรอบพื้นที่อย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องผู้บัญชาการของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้มีเพียงเสียงระเบิดและเสียงกรีดร้องเท่านั้น โจวเหว่ยชิงพาซ่างกวนปิงเอ๋อร์วิ่งวกวนไปมาในกลุ่มผู้คน เธอปลดปล่อยมณีสวรรค์ของเธอออกมาทันทีและกระโจนออกจากอ้อมกอดของเขา แม้ว่าเธอจะสวมชุดเกราะทว่าเธอก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายลมขณะที่เธอกระโจนออกไป
ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็เห็นศัตรูได้อย่างชัดเจน พวกมันมีไม่มากนัก มีจำนวนแค่เพียงประมาณ 10 คนเท่านั้น แต่ทว่าพวกมันกลับเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่น่าประหลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่พุ่งเข้าปะทะกับทหารแนวหน้า มือทั้งสองข้างของเขาถือค้อนสงครามที่มีขนาดใหญ่มาก แต่ละอันใหญ่เท่าโต๊ะตัวหนึ่งเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังแผ่กลิ่นอายที่ดูชั่วร้ายออกมาอีกด้วย เมื่อลูกธนูหลายดอกพุ่งเข้าหา เขาก็สามารถปัดมันทิ้งไปได้ง่ายๆ และไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ชายหนุ่มได้เลย ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็มีทหารมากกว่า 10 นายที่เสียชีวิตอย่างน่าสงสารด้วยค้อนสงครามขนาดมหึมานั่น
คนๆ นี้ดูเหมือนจะอายุมากกว่า 40 ปี เขามีใบหน้าที่ดูมอมแมมและหยาบกร้าน ร่างกายส่วนบนเปลือยเปล่าอ เผยให้เห็นร่างกายที่แข็งแกร่ง ผิวกายสีคล้ำแดด และกล้ามเนื้อที่แข็งนูนออกมาเป็นก้อนๆ อย่างน่าเหลือเชื่อ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงมากที่สุดคือข้อมือขวาของเขา บนนั้นมีมณียุทธ์ 5 ดวงลอยวนล้อมรอบอยู่อย่างชัดเจน
มณียุทธ์ของอีกฝ่ายประกอบด้วยสี 2 สี ครึ่งหนึ่งเป็นหยกเหลือง ขณะที่อีกครึ่งเป็นหยกน้ำแข็ง หยกเหลืองเป็นตัวแทนของการป้องกัน และความอึดทนของร่างกาย ส่วนหยกน้ำแข็งนั้นแสดงถึงความแข็งแกร่ง ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาดูดุร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าคนๆ นั้นต้องเป็นจ้าวมณีระดับปรมะขั้นกลาง และขณะนี้มณียุทธ์ 2 ใน 5 ดวงของอีกฝ่ายกำลังส่องประกายด้วยแสงระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าค้อนนั่นเป็นผลมาจากศาสตรามณียุทธ์ของเขา
ข้างๆ ชายหนุ่มยังมีพรรคพวกอีก 12 คน ทุกคนล้วนเป็นจ้าวมณียุทธ์ และแต่ละคนก็มีอาวุธแตกต่างกันไป ในนั้นมี 4 คนที่มีมณี 4 ดวง ส่วนคนที่เหลือต่างก็มีมณี 3 ดวง ทั้ง 12 คนขยับเข้ามาพร้อมๆ กัน ใช้กำลังกวาดพลทหารที่เผชิญหน้ากับพวกเขาทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ห่าลูกศรที่หลั่งไหลเข้าไปหาไม่มีผลอะไรกับฝ่ายนั้นมากนัก เนื่องจากพวกเขาสามารถมุ่งตรงไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้อย่างง่ายดาย
…………………………………………………………………