Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 34.3 แหวนปกปิดตัวตน (3)
โจวเหว่ยชิงค่อนข้างตกใจเพราะสิ่งที่ถังเซียนพูดนั้นถูกต้องทั้งหมด หลังจากทดทดสอบมาหลายครั้ง เขาก็พบว่าต้องรอ 10 วินาทีหลังจากใช้ทักษะสัมผัสมืดเขาจึงจะสามารถใช้มันอีกครั้ง นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการขาดแคลนพลังปราณสวรรค์ แต่เป็นช่วงเวลาฟื้นฟูหลังจากใช้ทักษะธาตุมืด
ถังเซียนกล่าวต่อไป “สำหรับเจ้าในตอนนี้ 10 วินาทีอาจดูสั้นมาก แต่เมื่อระดับพลังของเจ้าเพิ่มสูงขึ้น 10 วินาทีก็มากพอจะตัดสินความเป็นความตายของเจ้าได้ 10 ครั้งแล้ว ยิ่งเจ้ามีทักษะการควบคุมมากขึ้นเท่าไหร่ เจ้าก็จะสามารถใช้ทักษะประสานงานที่คาบเกี่ยวกันได้ดีขึ้น สามารถพลิกแพลงใช้ทักษะต่างๆ ในสนามรบกับศัตรูของเจ้าได้ดีกว่าเดิม หากเจ้าสามารถควบคุมศัตรูของเจ้าได้ เจ้าก็จะเอาชนะหรือฆ่าพวกมันได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าพวกมันจะแข็งแกร่งแค่ไหน ตราบใดที่ถูกเจ้าควบคุมเอาไว้อย่างสมบูรณ์ มันก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสได้โต้กลับด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม จ้าวมณีสวรรค์ที่ทรงพลังก็มักจะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งมากเช่นกัน หากเจ้าควบคุมและโจมตีมันแค่ครั้งเดียว เจ้าก็อาจจะยังไม่สามารถฆ่ามันได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าจะต้องควบคุมพวกมันด้วยทักษะหลายๆ ชนิด จำไว้ แม้ว่าสหายร่วมรบจะสำคัญ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อถือได้เท่ากับตัวเอง อย่าฝากชีวิตไว้ในมือคนอื่น ถ้าเจ้าต้องการจะแข็งแกร่ง เจ้าต้องเรียนรู้วิธีควบคุมตัวเอง”
“ควบคุมตัวเอง” โจวเหว่ยชิงทวนคำพูด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับมีประตูบานหนึ่งถูกเปิดออกในใจของเขา คำว่า ‘ควบคุมตัวเอง’ นั้นดูเรียบง่าย แต่ก็มีความลับที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่มากมาย อีกทั้งยังความหมายที่ล้ำลึกซ่อนอยู่เบื้องหลัง
จู่ๆ ถังเซียนก็เคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน เธอยกมือขึ้น จากนั้นแสงสีเทาก็พุ่งตรงมาที่โจวเหว่ยชิง เขายกมือขึ้นรับโดยไม่รู้ตัว เมื่อคว้ามันได้เขาก็พบว่ามันเป็นแหวนสีดำวงหนึ่ง เมื่อเขาตรวจสอบอย่างใกล้ชิดก็พบว่าสีของมันเป็นสีดำสนิทไม่สะท้อนแสงใดๆ เลย อีกทั้งยังดูค่อนข้างธรรมดามาก
ถังเซียนลูบผมของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างอ่อนโยนขณะที่เธอพูดว่า “อ้วนน้อย แหวนนั้นเรียกว่า ‘แหวนปกปิดตัวตน’ และถือว่าเป็นสินสอดของปิงเอ๋อร์ที่ข้ามอบให้เจ้า หากเจ้าสวมมันที่นิ้วนางข้างซ้ายและหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์บางส่วน เจ้าจะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของไพฑูรย์ตาแมวสองสีให้กลายเป็นทักษะธาตุบางชนิดที่เจ้ามีได้ นั่นจะสามารถช่วยปกปิดตัวตนของไพฑูรย์ตาแมวสองสีได้”
โจวเหว่ยชิงรู้สึกพอใจมาก ของชิ้นนี้อาจจะดูไร้ประโยชน์สำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ทว่ามันกลับเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับเขา นี่ไม่เพียงแต่จะสามารถป้องกันเขาจากปัญหาที่เกิดขึ้นหากมีคนค้นพบไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขา แต่มันยังสามารถใช้หลอกล่อศัตรูที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ ทำให้พวกมันประหลาดใจด้วยทักษะธาตุชนิดอื่นที่พวกมันคาดไม่ถึง ราวกับว่าของชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขา!
“ท่านป้า…เอ่อไม่สิ ท่านแม่ เพราะนี่คือสินสอดของปิงเอ๋อร์ เพราะฉะนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะขอรับ” โจวเหว่ยชิงสวมมันที่นิ้วนางอย่างรวดเร็วด้วยความยินดี ทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นมากอดแขนมารดาเอาไว้ด้วยความเขินอาย
ถังเซียนยิ้มจางๆ และพูดว่า “อ้วนน้อย จำไว้ ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าทำร้ายปิงเอ๋อร์ ข้าจะเอาแหวนวงนี้คืนพร้อมกับชีวิตของเจ้า”
แม้ว่าเธอจะยิ้มในขณะที่พูด แต่โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลังและทำได้เพียงแค่ยิ้มโง่เง่าไม่ตอบอะไร
ถังเซียนกล่าวว่า “เจ้าทั้งสองคนพูดคุยกันสักพักเถิด ข้าจะเข้าไปข้างในก่อน” ขณะที่พูด เธอก็จ้องไปที่โจวเหว่ยชิงก่อนจะเดินกลับเข้าไปข้างใน
ทันทีที่ถังเซียนจากไป โจวเหว่ยชิงก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เขาขยับเข้าไปด้านข้างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เพียงไม่กี่ก้าวและโอบกอดเธอเอาไว้ แต่ทว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับร้องออกมาด้วยความตกใจ “ปล่อยข้าเร็ว เดี๋ยวท่านแม่จะเห็น!”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ท่านแม่ของพวกเราได้ยืนยันความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าแล้ว นางคงไม่ว่าอะไรหากเห็นพวกเรากอดกัน มา มามอบจูบสามีของเจ้าหน่อย”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นปิดปากของเขา “หยุดเล่นได้แล้ว อ้วนน้อย เฮ้อ ให้ข้ากอดเจ้าสักพักได้ไหม”
โจวเหว่ยชิงชะงัก สายตาของเขาดูนุ่มนวลขึ้นขณะวางเธอลงกับพื้นและโอบกอดเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน ต่อมาเขาก็บอกเธอถึงเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวังและแผนการณ์ของเขา
“หากเจ้าปฏิเสธงานแต่งกับองค์หญิง เจ้าจะผ่านองค์จักรพรรดิและบิดาของเจ้าไปได้อย่างไร?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ปิงเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแยกตัวออกมาและสร้างประโยชน์ให้กับอาณาจักร ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่มีวันแต่งงานกับตี้ฝูหยา ข้าชอบเจ้ามากกว่า ไม่ใช่เพราะเจ้างดงามกว่านาง แต่เป็นเพราะนิสัยของเจ้าดีกว่านางมาก ในใจของข้า เจ้าดีมาก เจ้าสมบูรณ์แบบสำหรับข้า ปิงเอ๋อร์ ข้ารักเจ้า” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สั่นสะท้าน เธอสวมกอดเขาแน่นขึ้น
โจวเหว่ยชิงอยู่ที่นี่เกือบ 4 ชั่วโมงก่อนจากไปอย่างไม่เต็มใจ อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปเขาก็ได้ส่งแหวนมิติให้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ยังไงซะ เธอก็ต้องมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเฟยหลี่เพียงลำพังและนั่นก็ยังกินเวลาหลายเดือน เขาคงจะรู้สึกดีขึ้นหากเธอมีต้าหวงและเอ้อหวงเดินทางไปด้วยเพื่อคอยปกป้องเธอตลอดการเดินทาง
หลังออกจากบ้านของปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็มุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อบอกลามารดาของเขาและเก็บข้าวของ เขาสะพายคันธนูอุษาดำไว้บนหลังและออกจากเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ไปยังอาณาจักรเฟยหลี่
ระดับปราณในปัจจุบันของโจวเหว่ยชิงแตกต่างจากในอดีตอย่างมาก ทันทีที่เขาออกจากเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ หลุมดำพลังปราณทั้ง 11 บริเวณจุดตายที่เขาทะลวงไปทั้งหมดก็เริ่มหมุนด้วยความเร็วสูงสุด ดึงพลังปราณจากชั้นบรรยากาศภายนอกเข้ามาอย่างตะกละตะกลามเพื่อเติมเต็มพลังปราณในร่างของเขา เขาพุ่งเข้าไปในป่าดารา ใช้เส้นทางลัดมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเฟยหลี่ ในเวลานี้จุดตายทั้ง 6 ของวิชาเทพอมตะส่วนที่ 2 ได้ถูกเขาทะลวงไปแล้ว
วิชาเทพอมตะส่วนที่ 2 คือจุดตาย 8 จุดที่แผ่นหลัง จุดตายที่เขาทะลวงไปแล้วมีดังต่อไปนี้
จุดตายเฟ่ยซู อยู่บนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 3
จุดตายเจวี๋ยหยิน อยู่บนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 4
จุดตายซินฉวย อยู่บนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 5
จุดตายเจี่ยนชู อยู่บนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนเอวชิ้นที่ 2
จุดตายหมิงเหมิน อยู่บนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนเอวระหว่างชิ้นที่ 2 และ 3
และจุดตายจื่อซีที่อยู่ห่างจากจุดตายหมิงเหมินไป 3 นิ้ว
เมื่อเทียบกับจุดตายทั้ง 5 ของวิชาส่วนแรกแล้ว จุดตายในส่วนที่สองนั้นถือว่าอันตรายกว่ามาก มีหลายจุดที่หากทะลวงแล้วสามารถทำให้เสียชีวิตได้ทันที ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ แม้ระดับพลังของโจวเหว่ยชิงจะดูเหมือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบตามทันซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ทุกครั้งที่เขาทะลวงจุดตาย มันก็คือการต่อสู้ระหว่างความเป็นความตายของเขานั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เขาต้องเผชิญก็ทำให้เขารู้สึกราวกำลังจะตายเสียให้ได้ มันเป็นความทรมานที่เขารู้สึกรวดร้าวไปทุกส่วน โชคดีที่ทุกครั้งที่เขาทะลวงจุดตาย เขาจะมีซ่างกวนปิงเอ๋อร์คอยอยู่ใกล้ๆ เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยให้เขาเสมอ เมื่อเขาทะลวงผ่านจุดตายหมิงเหมิน ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็ทำให้เขาคลั่งจนกัดลิ้นของตัวเองแทบขาด ในเวลานั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เป็นคนส่งแขนของเธอเข้าปากเขาเพื่อไม่ให้เขาทำเช่นนั้น จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงเห็นรอยกัดจางๆ บนแขนของเธอจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นอยู่
วิชาเทพอมตะนั้นง่ายต่อการฝึกฝนและให้ผลลัพธ์รวดเร็วมาก แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นคือข้อเสียของมัน อย่างไรก็ตาม ข้อดีของมันก็เห็นได้ชัดมากเช่นกัน ในขณะนี้หลุมดำพลังปราณทั้ง 11 จุดของเขากำลังหมุนไปพร้อมๆ กัน ระดับปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงจึงเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเดิมหลายเท่า แม้ว่าในตอนนี้ปริมาณพลังปราณสวรรค์ที่เขาต้องการจะมากขึ้น แต่อัตราการเพิ่มขึ้นของปราณสวรรค์ก็ไม่ได้ช้าลง อีกทั้งประโยชน์สูงสุดของมันก็คือความเร็วในการฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ เมื่อเขาใช้ทักษะระหว่างการต่อสู้ พลังปราณสำรองของเขาอาจจะอยู่ได้นานพอๆ กันกับอาจารย์ของเขา มู่เอิน ผู้ซึ่งมีพลังปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพอยู่ในระดับที่ 5 แล้ว ดูจากข้อได้เปรียบนี้ ทุกคนก็พอจินตนาการได้แล้วว่าวิชาเทพอมตะนั้นร้ายกาจเพียงใด
เมื่อเขาทะลวงจุดตายได้มากขึ้น เกราะเทพอมตะของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเช่นกัน และด้วยความเร็วของหลุมดำพลังปราณทั้ง 11 จุด พลังการป้องกันของเกราะนี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเกราะนี้จะถูกกระตุ้นให้เปิดใช้เองเมื่อถูกโจมตี ตอนนี้ร่างของเขาจึงแทบจะต้านทานลูกศรธรรมดาได้ทุกประเภท
“เจ้าแมวอ้วน ข้าไม่ได้บอกให้เจ้ารีบขยายตัวให้ใหญ่ขึ้นแล้วให้ข้าขึ้นขี่หรอกหรือ?” โจวเหว่ยชิงบิดหูของเสือขาวตัวน้อยที่งีบหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างสบายอกสบายใจ
“กรรรร!” เจ้าแมวอ้วนส่งเสียงขู่เล็กน้อย จากนั้นมันก็ทำท่าทีไม่สนใจเขาและกลับไปพักผ่อนต่อ
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างโกรธเคือง “ไอ้เจ้าตัวน้อยนี่! เจ้าขยายร่างให้ใหญ่ขึ้นได้แล้ว! ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว เจ้าควรจะรับใช้เจ้านายของเจ้าบ้าง! 2 ปีนี้มานี้ข้าเลี้ยงดูเจ้าอย่างดีและยังพาเข้านอนด้วยทุกคืน แต่เจ้าก็ยังกล้าเพิกเฉยข้า! ฮึ่ม ระวังตัวให้ดีเถิด บิดาจะทุบตีเจ้า! ดูต้าหวงและเอ้อหวงสิ อย่างน้อยข้าก็ขี่พวกมันได้ เทียบกับพวกมันแล้ว เจ้าน่ะไร้ประโยชน์มาก!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าแมวอ้วนก็เบิกตาด้วยความโมโห มันส่งเสียงขู่อย่างโกรธเกรี้ยว ราวกับจะบอกว่าเจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับหมีโง่สองตัวนั้นได้อย่างไร!
อนิจจา ท้ายที่สุดแล้วโจวเหว่ยชิงไม่อาจทำอะไรเจ้าแมวอ้วนได้ นับตั้งแต่วันที่เจ้าหนูน้อยช่วยชีวิตพวกเขา มันก็ไม่เคยเปลี่ยนร่างอีกเลย แม้เขาจะบอกว่าเลี้ยงมันอย่างดี แต่นั่นก็ยังขัดต่อความรู้สึกผิดชอบของเขามาก สองปีที่ผ่านมา เจ้าตัวน้อยนี้ไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลยแม้แต่น้อย ทั้งมันยังไม่ได้เติบโตขึ้นเลยด้วยซ้ำ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่เห็นได้ชัดคือการเปลี่ยนแปลงของเส้นขนของมัน ตอนนี้โจวเหว่ยชิงเริ่มคุ้นเคยกับการมีมันอยู่เคียงข้าง การได้เย้าแหย่และเล่นกับมันก็กลายเป็นสิ่งที่เขาชอบทำในยามว่างเช่นกัน
…
7 วันให้หลัง ณ เมืองภูเขาลอยฟ้า
หลายวันที่โจวเหว่ยชิงเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ในที่สุดเขาก็เดินทางมายังเมืองได้อย่างง่ายดายเพราะคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้ขณะที่เขาอยู่ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาได้เขียนจดหมายถึงฮูเหยียนเอ้าป๋อเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขาเนื่องจากเกรงว่าอาจารย์จะคิดว่าเขายังอยู่ในค่ายทหารและไปตามหาเขาที่นั่น หลังจากเข้าสู่เมืองภูเขาลอยฟ้าแล้ว โจวเหว่ยชิงก็รีบมุ่งหน้าไปยังลานเล็กๆ ที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อพักอยู่ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะเคาะประตู เขาก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“วะฮ่าๆ วะฮ่าๆ! หลังจากผ่านไปสองปี ในที่สุดบิดาก็ทำสำเร็จ! ใครบอกว่ามีเพียงอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะเท่านั้นที่สามารถสร้างคัมภีร์หลุมบรรจุมณีได้! บิดาก็สำเร็จเช่นกัน! วะฮ่าๆ นี่ถ้าหากข้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ล่ะก็ ข้าคงกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะไปนานแล้ว!”
“ตาแก่ฮูเหยียน เจ้าทำสำเร็จจริงๆ เหรอ?” น้ำเสียงตื่นเต้นอีกเสียงดังออกมา
“ใช่! ในที่สุด ข้าก็ทำสำเร็จหลังจากผ่านไปสองปี ไอ้เจ้ากระดาษแผ่นน้อยๆ นี้ทำยากกว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มากทีเดียว”
โจวเหว่ยชิงเคาะประตูพลางคิดกับตัวเอง: อะไรทำให้อาจารย์ฮูเหยียนตื่นเต้นขนาดนี้? ใช้เวลาสองปีในการสร้างม้วนคัมภีร์? ไอ้เจ้าคัมภีร์นั่นต้องมีอะไรดีแน่ๆ! เขาอาจจะทำให้ข้า? ฮ่าๆ!
“เจ้าไม่เห็นป้ายที่ประตูหรือ?” น้ำเสียงฉุนเฉียวของฮูเหยียนเอ้าป๋อดังออกมาจากภายใน
น่าแปลกที่ทันทีที่เขาตะโกนออกไป ในบ้านก็เกิดความเงียบขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีประตูก็เปิดออก ใบหน้าประหลาดใจของฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูก็โผล่ออกมา ฮูเหยียนเอ้าป๋อกระพริบตาใส่เขาและพูดว่า “เด็กเหลือขอตัวน้อย เจ้าเป็นตัวนำโชคหรือ?”
……………………………
Related