Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 100 คู่วิญญาณยุทธ์ปีศาจขาว-ดำ (3)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 100 คู่วิญญาณยุทธ์ปีศาจขาว-ดำ (3)
โจวเหว่ยชิงกระพริบตา จากนั้นก็กล่าวว่า “เทียนเอ๋อร์…ความจริงแล้ว…หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็…ดูสิ ถ้าข้าแต่งงานกับเจ้า ปิงเอ๋อร์และแม่มดน้อย…นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าจะมีวังสวรรค์ไพศาล ภูเขาหิมะสวรรค์และนิกายปีศาจสวรรค์คอยหนุนหลังและสนับสนุนข้าหรอกหรือ? ด้วยภูมิหลังที่ทรงพลังเช่นนี้ ข้าจะสามารถเดินไปทั่วแผ่นดินใหญ่ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด ทั้งยังจะไม่มีใครทำอะไรข้าได้ ฮี่ๆๆๆๆๆ”
“หน้าไม่อาย!”
“เจ้าอยากตายหรือ?”
หญิงสาวทั้งสองร้องออกมาด้วยความโกรธ ในคราแรกผู้โชคดีอย่างโจวเหว่ยชิงกำลังมีความสุขกับ ‘ช่วงเวลาแห่งความเร่าร้อน’ ร่วมกับหญิงสาวคู่นี้ ทว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาบริเวณสีข้างทั้ง 2 ฝั่ง ส่วนอ่อนนุ่มแถวๆ บั้นเอวของเขาปะทะเข้ากับการโจมตีขั้นสุดยอดของผู้หญิง นั่นก็คือการบิดทึ้ง 180 องศา! วินาทีต่อมา เขาถูกโยนออกไปปะทะกับต้นไม้ใหญ่เป็นรูปกากบาท ก่อนที่จะค่อยๆ ไถลเลื่อนลงมาจากข้างบนช้าๆ
“เจ้าสองคนรุนแรงเกินไปแล้วนะ! ปฏิบัติต่อสามีในอนาคตของพวกเจ้าแบบนี้ได้อย่างไร? เฮ้อ…ปิงเอ๋อร์สุดที่รักของข้ายังคงดีที่สุดเสมอ! นางย่อมไม่ปฏิบัติกับข้าแบบนี้แน่!”
“หุบปาก!”
เป็นอีกครั้งที่เด็กสาวทั้งสองตะโกนใส่เขาเป็นเสียงเดียวกัน ทำให้โจวเหว่ยชิงต้องหลบอยู่หลังต้นไม้ด้วยความกลัวและไม่กล้าจะพูดอะไรอีก
แม่มดน้อยและเทียนเอ๋อร์มองหน้ากันก่อนที่จะแค่นเสียงประสานและเมินหน้าหนีกันไปคนละด้านโดยไม่สนใจฝ่ายตรงข้ามอีก
เมื่อ 8 ปีที่แล้วมีงานชุมนุมระหว่าง 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในเวลานั้นแม่มดน้อยได้พบกับเทียนเอ๋อร์และเด็กหญิงทั้งสองก็กลายเป็นศัตรูเมื่อถูกจับคู่ให้ต่อสู้กัน หลังจากนั้นความเกลียดชังจึงค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แม้ว่าแม่มดน้อยจะมาจากนิกายปีศาจสวรรค์ซึ่งเทียบไม่ได้กับภูเขาหิมะสวรรค์ที่เทียนเอ๋อร์จากมา แต่เทียนเอ๋อร์ก็ดื้อรั้นมาตั้งแต่ยังเด็กๆ เธอจึงไม่ได้ผ่านการกวดขันมาอย่างเข้มงวดมากนัก ด้วยเหตุนี้ ในเวลานั้นเด็กหญิงทั้งสองจึงมีพลังเท่าเทียมกัน การต่อสู้กันในครั้งนั้นจึงยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้ทั้งคู่ทำได้เพียงแค่ยันกันและกันไว้เท่านั้น และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันและความเป็นศัตรูต่อกันและกันนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่ทั้งคู่พบกัน ดวงตาของเด็กสาวสองคนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะสบตา แม้ว่าระดับพลังปราณของเทียนเอ๋อร์จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจากได้อยู่ร่วมกับโจวเหว่ยชิง แต่แม่มดน้อยก็ยังไม่รู้สึกเกรงกลัวอีกฝ่ายมากนัก
แน่นอนว่าขณะอยู่ต่อหน้าโจวเหว่ยชิง ทั้งคู่ย่อมไม่อาจทะเลาะกันต่อ หรือพูดได้อีกอย่างว่าปัจจุบันโจวเหว่ยชิงเป็นจุดสมดุลร่วมของทั้งคู่ มิฉะนั้นแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เด็กสาวหัวรุนแรงทั้ง 2 อาจทะเลาะกันไปแล้ว
โจวเหว่ยชิงเดินออกมาจากหลังต้นไม้เพื่อมองดูผู้หญิงทั้งสองคน คนหนึ่งสวมชุดคลุมสีดำ ส่วนอีกคนเป็นสีขาว เขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “หากเจ้าสองคนยังเถียงกันต่ออีก ข้าจะไปก่อนแล้วนะ”
แม่มดน้อยกล่าวว่า “ใครอยากจะเถียงกับนาง ข้าทั้งอ่อนโยน ทั้งใจดี และน่ารักมาก ใครจะไปเถียงกับวัวนมล่ะ!”
“ข้าเป็นเสือ ไม่ใช่วัวนม! เป็นพยัคฆ์วิญญาณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งที่สุด!” เทียนเอ๋อร์กล่าวอย่างร่าเริง “ข้ารู้ว่าเจ้าแค่อิจฉาข้าเพราะหน้าอกของเจ้าเล็กเกินไป…ดังนั้นพี่ใหญ่จึงจะไม่ทะเลาะกับเจ้าอีกแล้ว อย่างไรก็ตาม ข้ารู้ว่าอ้วนน้อยชอบใหญ่ๆ…ใช่ไหม อ้วนน้อย? ไม่ใช่ว่าเจ้ามีทักษะประเมินขนาดหน้าอกหรือ? บอกนางสิ ว่าขนาดของข้าคือเท่า ไหร่?”
โจวเหว่ยชิงร้องออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “ 36E…ช่างน่าประทับใจจริงๆ!”
แม่มดน้อยจ้องมองเขาพลางพูดว่า “เจ้าโง่เหว่ยชิง! เจ้ากำลังรวมหัวกับนางเพื่อกลั่นแกล้งข้างั้นหรือ!?”
ในขณะที่ทั้ง 3 คนกำลังโต้เถียงกันอย่างเอิกเกริกวุ่นวายอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีแสงสว่างที่เจิดจ้าจนตาพร่าสาดส่องผ่านยอดต้นไม้ ทำให้พื้นที่ทั้งหมดสว่างไสวขึ้นในพริบตาและดึงความสนใจทั้งหมดของพวกเขาไปทันที
โจวเหว่ยชิงกระโดดขึ้นไปกลางอากาศในชั่วขณะนั้น เขากระแทกลำต้นของต้นไม้หลายครั้งเพื่อดีดตัวขึ้นไปบนยอดไม้ด้านบน เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนแล้ว เด็กหนุ่มก็ต้องประหลาดใจเมื่อมองเห็นว่าในระยะไกลๆ มีแสงสีทองจำนวนมากสาดกระจายอยู่ทั่วผืนฟ้า
“นั่นมันอะไรน่ะ?” โจวเหว่ยชิงอุทานด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้แสงสีทองนั้นจะงดงามตระการตา แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้แผ่คลื่นพลังใดๆ ออกมาด้วย
แม่มดน้อยและเทียนเอ๋อร์ปรากฎตัวข้างๆ เขาอย่างเงียบเชียบ และเทียนเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วพลางพูดว่า “นั่นคือพลุส่งสัญญาณของวังสวรรค์ไพศาล ข้าเคยเห็นมันมาแล้วครั้งหนึ่ง แสงของมันมีลักษณะเฉพาะคือทั้งสว่างจ้าและสังเกตเห็นได้ง่าย ทว่าไม่มีพลังงานใดๆ แผ่ออกมาเป็นพิเศษ ช่วยลดโอกาสที่จะดึงดูดความสนใจของบรรดาอสูรสวรรค์ พลุเช่นนี้มีต้นทุนสูงมาก ดังนั้นหากสาวกของวังสวรรค์ไพศาลใช้มันในเวลานี้จะต้องมีบางสิ่งที่สำคัญเกิดขึ้นอย่างยิ่งแน่นอน ข้าสงสัยว่ามันจะเร่งด่วนขนาดนั้นเลยหรือ? เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาถูกสาวกภูเขาหิมะสวรรค์ล้อมอยู่? อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนย้ายก็เพิ่งจะเสร็จสิ้นเมื่อครู่นี้เอง ดังนั้นเรื่องที่ว่าจึงไม่ควรเกิดขึ้นเร็วขนาดนั้น”
แม่มดน้อยหันไปหาโจวเหว่ยชิงและพูดว่า “เราควรหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้นหรือไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นดี?”
โจวเหว่ยชิงเงียบไปครู่หนึ่ง เขาครุ่นคิดถึงทางเลือกต่างๆ ก่อนจะพูดออกมาในที่สุด “ถ้าเจ้าสองคนสัญญาว่าจะร่วมมือกันและไม่ลากกันและกันลงเหวไปด้วย พวกเราก็สามารถไปดูกันได้ มิฉะนั้นข้าจะหันหลังกลับและวิ่งหนีไปโดยไม่ลังเล และพวกเจ้าทั้งคู่ก็ไม่ต้องตามข้าไปด้วย” ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขามีใบหน้าที่จริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กหนุ่มทอดสายตามองไปในระยะไกลๆ อย่างเคร่งขรึม ปฏิเสธที่จะมองตอบหญิงสาวทั้งสองคน
แม่มดน้อยเดินเข้าไปใกล้โจวเหว่ยชิงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “เหว่ยชิง อย่าโกรธข้าเลย…ข้าจะไม่เถียงกับนางอีกต่อไปแล้ว ข้าจะเชื่อฟังเจ้า ข้าไม่เหมือนกับพวกผู้หญิงที่หน้าอกใหญ่แต่งี่เง่า ผู้ที่มักจะเพิกเฉยต่อความต้องการของกลุ่มอย่างเช่นใครบางคนหรอก”
เทียนเอ๋อร์พูดอย่างหยิ่งผยอง “ข้าจะไม่ลดตัวลงไปเถียงกับเจ้าอีก! เหว่ยชิง ข้าจะปกปิดตัวเองก่อนนะ” เมื่อพูดจบ เทียนเอ๋อร์ก็เปลี่ยนร่างเป็นแมวอ้วนและกลับมาอยู่ในอกเสื้อของเขาเหมือนเคย กลุ่มนักรบอื่นๆ ไม่รู้ว่าโจวเหว่ยชิงมียอดฝีมือเช่นเทียนเอ๋อร์อยู่เคียงข้าง ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าการซ่อนตัวเองจะทำให้พวกเขาได้เปรียบมากที่สุดและสามารถจู่โจมให้อีกฝ่ายไม่อาจตั้งตัวทันได้
โจวเหว่ยชิงยังคงทำหน้าบึ้งอยู่ขณะที่เขาพูดว่า “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” หลังจากพูดแบบนั้น เขาก็ขยับตัวออกไปก่อน โดยการกระโดดกลับลงไปที่พื้นและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปตามทิศทางของเปลวไฟนั้น
ขณะทำเช่นนั้น เขาก็ยังคงเฝ้าดูสิ่งรอบข้างอย่างใจจดจ่อ ทว่าในขณะเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็หัวเราะกับตัวเองในใจด้วย สำหรับ ‘คู่วิญญาณยุทธ์ปีศาจขาว ดำ’ ที่งดงามแต่อันตรายทั้งสองนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาจะต้องทำตัวจริงจังและเป็น การเป็นงานเพื่อทำให้ทั้งคู่ลดความบาดหมางระหว่างกันลงและรับฟังเขาเพียงผู้เดียว บางที นั่นอาจเป็นประโยชน์ของการทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนมาเกือบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เขาแค่ต้องรอดผ่านงานประลองมณีสวรรค์นี้ไปให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องอนาคต…เอาไว้คิดในภายหลังก็แล้วกัน
“มีคนมา คนเดียว” เสียงของแมวอ้วนดังขึ้นเบาๆ ในหูของโจวเหว่ยชิง แม้ว่าสองสามวันมานี้เธอจะไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้เลย แต่ด้วยประสาทสัมผัสที่น่าทึ่งในฐานะอสูรสวรรค์อันดับต้นๆ ของแผ่นดิน แค่ระดับพลังปราณของเทียนเอ๋อร์เพียงอย่างเดียวก็สามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะรู้ตัวด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้เขาได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าเสมอ ไม่ใช่เพราะหญิงสาวไม่อยากลงมือ แต่เธอต้องการให้เขามีโอกาสได้ต่อสู้และเรียนรู้ด้วยตัวเองให้มากที่สุด เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่าการโจมตีนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่โจวเหว่ยชิงจะรับมือไหว เธอก็จะต้องลงมืออย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็เคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ครั้งที่เธอสกัดกั้นการโจมตีของแม่มดน้อยนั่นเอง อาจกล่าวได้ว่าเมื่อมีแมวอ้วนอยู่ด้วย แม้ว่าโจวเหว่ยชิงมีมณีเพียง 3 ชุด เขาก็จะยังมีมณีระดับ 7 ชุดซุกซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของเขาอย่างลับๆ เป็นจ้าวมณีสวรรค์จากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีมณี 7 ชุด!
เมื่อได้ยินคำเตือนของเจ้าแมวอ้วน แม่มดน้อยก็สลายกลายเป็นควันดำหายไปในอากาศ โจวเหว่ยชิงก็พุ่งพรวดไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่เช่นกันเพื่อปกปิดตัวเองและรอซุ่มโจมตี
ในขณะนั้นมีร่างหนึ่งทะยานอยู่กลางอากาศมาจากระยะไกลๆ ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบุคคลนั้นสวมเครื่องแบบสีฟ้าอ่อนซึ่งบ่งบอกว่าเป็นสมาชิกกลุ่มนักรบจ้งเทียน!
เมื่อเจ้าแมวอ้วนเตือนเขาว่ามีฝ่ายตรงข้ามเพียงคนเดียว โจวเหว่ยชิงก็เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงเต็มที่ เมื่อแม่มดน้อยอยู่ด้วย เขาก็มั่นใจว่าพวกเขาทั้งสองคนจะสามารถจัดการกับคู่ต่อสู้ของตนได้แน่นอน ถึงอย่างไรพวกเขาจะต้องต่อสู้กันแบบ 2 ต่อ 1 อยู่แล้ว นี่ยังไม่นับรวมเจ้าแมวอ้วนที่เป็นไพ่ตายของเขาด้วยซ้ำ
ทักษะสัมผัสมืดสกัดกั้นร่างนั้นเอาไว้ได้ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังเคลื่อนไหว และในชั่วพริบตานั้นเอง แสงสีดำที่แข็งแกร่งก็ส่องประกายรอบตัวและห่อหุ้มร่างหญิงสาวผู้นั้นเอาไว้
*ตูม* *ตูม* *ตูม* *ตูม* เสียงระเบิดดังออกมายาวเหยียด และทักษะสัมผัสมืดก็ทำได้เพียงแค่ทำให้ร่างนั้นหยุดชะงักไปชั่วขณะก่อนจะถูกพลังปราณสวรรค์ของอีกฝ่ายทำลายทิ้ง
คนที่กำลังพุ่งเข้ามามีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วจนน่าทึ่ง หลังจากหลุดพ้นจากพันธนาการของทักษะสัมผัสมืดแล้ว หญิงสาวก็ไม่ได้พุ่งไปข้างหน้าต่อทันที ปลายเท้าของเธอกลับแตะลงพื้นและร่างกายก็หมุนไปด้านข้าง บังคับเปลี่ยนเส้นทางการเคลื่อนไหวของตนเองอย่างฉับพลันและพุ่งเฉียดออกไปทางซ้าย 3 หลา
ในชั่วพริบตานั้นเอง หากหญิงสาวยังคงจะมุ่งหน้าต่อไปทางเส้นทางเดิม แสงสีดำก็คงจะสว่างวาบไปทั่วร่างกายของเธอแล้ว ท่ามกลางหมอกสีดำที่หมุนวนเป็นเกลียวคลื่น แม่มดน้อยได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้แม่มดน้อยได้บอกกับโจวเหว่ยชิงว่าในฐานะลูกสาวของผู้นำนิกายปีศาจสวรรค์และในฐานะหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์ของนิกาย เธอจะไม่ได้ถูกประทับตราธาตุมืด และด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเธอจะถูกคนอื่นค้นพบเข้าว่าใช้ทักษะธาตุมืดหรือธาตุปีศาจเหมือนในกรณีของโจวเหว่ยชิง วังสวรรค์ไพศาลก็จะไม่อาจทำอะไรเธอได้อยู่นี่ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนิกายปีศาจสวรรค์ถึงยอมให้เธอมาที่นี่ด้วยตัวเอง
น่าเสียดาย การโจมตีที่แม่มดน้อยมั่นใจอย่างเต็มที่กลับพลาดเป้าไป พลังของเธอไม่แม้แต่จะสามารถบังคับให้คู่ต่อสู้เปิดใช้พลังปกป้องตัวเองด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงอดรู้สึกตกใจไม่ได้
ในเวลานี้ โจวเหว่ยชิงและแม่มดน้อยก็สามารถมองเห็นคู่ต่อสู้ได้อย่างชัดเจนแล้ว คนผู้นั้นคือสมาชิกหญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มนักรบจ้งเทียนนั่นเอง
ดูจากภายนอก รูปลักษณ์ของเธอดูธรรมดาสามัญมาก แต่เมื่อทั้งโจวเหว่ยชิงและแม่มดน้อยหยุดสายตาบนข้อมือของเธอและเห็นมณียุทธ์ที่หมุนวนอยู่รอบข้อมือขวาของอีกฝ่าย ดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยอารามตกใจอย่างรุนแรง
เหตุผลก็ง่ายๆ นั่นเป็นเพราะรอบข้อมือขวาของหญิงสาวผู้นั้น…มณียุทธ์ 12 ดวงกำลังหมุนวนอยู่อย่างช้าๆ…!
ใช่ 12 ดวง…12 ดวง!!!! โจวเหว่ยชิงใช้เวลาจ้องมองและอ้าปากค้างนานเป็นเวลานานสองเท่าของปกติ เขาขยี้ตาอย่างรุนแรง เพ่งดูอีกครั้งก่อนจะยืนยันได้ว่าดวงตาของตนเองไม่ได้มองพลาดไป มณียุทธ์รอบข้อมือของเธอเรียงกันเป็นคู่ๆอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้านบนเป็นประเภทหยกอำพัน ขณะที่ด้านล่างเป็นหยกแดง ความบริสุทธิ์ของทั้งสองสีล้วนบ่งบอกว่าเธอเป็นจ้าวมณีสวรรค์ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือมณีแต่ละดวงมีขนาดเล็กกว่ามณียุทธ์ของจ้าวมณีสวรรค์ทั่วๆ ไปเล็กน้อย
“นี่คือมณียุทธ์ที่แปรสภาพ และในกรณีนี้คือมณียุทธ์แปรสภาพคู่! มณียุทธ์แปรสภาพคู่เช่นนี้แทบจะหายากพอๆกับมณีธาตุทั้ง 6 ของเจ้า และข้าก็ไม่เคยได้ยินว่าเกิดขึ้นจริงมาก่อน นับประสาอะไรกับการมองเห็นด้วยตาตัวเองเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าวังสวรรค์ไพศาลจะมีสาวกเช่นนี้ด้วย”
เมื่อเสียงของเจ้าแมวอ้วนดังขึ้นในหูของโจวเหว่ยชิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า “มณียุทธ์แปรสภาพคือ อะไร!”
แมวอ้วนกล่าวว่า “ในบางครั้งก็อาจมีโอกาสที่มณียุทธ์ของจ้าวมณีสวรรค์จะแปรสภาพไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และในกรณีของนาง ด้วยจำนวนมณียุทธ์ที่เพิ่มขึ้น 2 เท่า นั่นจึงถือเป็นหนึ่งในมณียุทธ์ที่หายากและทรงพลังที่สุดในบรรดาการแปรสภาพทั้งหมด กล่าวคือนางมีมณียุทธ์ 2 ประเภท ซึ่งแต่ละชนิดมีพลังเทียบเท่ากับมณียุทธ์ของจ้าวมณีสวรรค์และทำ ให้นางมีพลังเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 เท่าของจ้าวมณีสวรรค์ธรรมดา ตัวอย่างเช่นเจ้าเป็นผู้ที่มีมณียุทธ์คุณสมบัติด้านความแข็ง แกร่ง และมีเพียงความแข็งแกร่งของเจ้าเท่านั้นที่ได้รับการส่งเสริมจากมณียุทธ์ของเจ้า แต่สำหรับนาง ทั้งความยืดหยุ่นและการประสานงานของนางจะถูกเพิ่มพลังขึ้นทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเจ้าจะเห็นว่านางมีมณียุทธ์ถึง 12 ดวง แต่แท้จริงแล้วนางอยู่ในระดับมณี 6 ชุดเท่านั้น ทว่าทักษะการต่อสู้ในระยะประชิดของนางจะต้องน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่สิ่งที่จ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุดทั่วไปสามารถเทียบเคียงได้ นางเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิดที่เป็นเอกลักษณ์ หรือก็คือจ้าวมณีสวรรค์ประเภทจู่โจมระยะประชิด ยิ่งไปกว่านั้น มณียุทธ์ที่แปรสภาพไปแล้วประเภทนี้ มณี 2 ดวงสามารถหลอมรวมเป็นศาสตรามณียุทธ์เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ทว่าแต่ละชิ้นจะมีขนาดใหญ่กว่าศาสตรามณียุทธ์ของจ้าวมณีสวรรค์ทั่วไป บุคคลนี้จะต้องไม่ใช่ศัตรูที่พวกเราจะต่อกรด้วยได้ง่ายๆ แน่”
ในช่วงเวลาที่เจ้าแมวอ้วนและโจวเหว่ยชิงกำลังสนทนากัน แม่มดน้อยก็เข้าปะทะกับหญิงสาวจากกลุ่มนักรบจ้งเทียนผู้นั้นแล้ว
หลังหลบหลีกการโจมตีของแม่มดน้อยได้แล้ว ดวงตาของหญิงสาวทั้งสองก็สบกันกลางอากาศ แววตาที่โกรธเกรี้ยวของคนทั้งคู่พลันปะทะกันอย่างรุนแรง ในช่วงเวลาถัดมา หญิงสาวสองคนก็เริ่มการโจมตีครั้งต่อไปพร้อมๆ กัน
แม่มดน้อยสลายตัวกลายเป็นหมอกสีดำมุ่งตรงไปยังหญิงสาวผู้นั้นด้วยหวังว่าจะตรงเข้าห่อหุ้มเธอไว้ทั้งหมด ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ใช่หมูบนเขียงที่รอให้เชือด แขนทั้งสองข้างของเธอถูกดึงขึ้นมากระทบกันกลางอากาศ เสียงโลหะแปลกประหลาดดังขึ้นในชั่วพริบตาและหญิงสาวผู้นั้นก็ไม่แม้แต่จะพยายามหลบหลีกหมอกสีดำที่แม่มดน้อยก่อขึ้น ทั้งยังปล่อยให้ตัวเองถูกห่อหุ้มอยู่ภายในนั้นโดยไม่หวาดกลัว
…………………………………………………………