Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 111 ผนึกมืดแช่แข็งชะตา! (3)
ดวงตาของโจวเหว่ยชิงหยุดชะงักไปในทันที เพราะได้ยินว่าท่านพ่อและพ่อทูนหัวของเขายังมีชีวิตอยู่ เด็กหนุ่มจึงฟื้นฟูสภาพจิตใจได้มากพอสมควร สมองของเขาจึงประมวลผลด้วยความเร็วสูงสุด ทันใดนั้น โจวเหว่ยชิงก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมื่อสักครู่ท่านบอกว่าข่าวของข้าสั่นสะเทือนจิตใจของเหล่าราชวงศ์แห่งอาณาจักรเฟยหลี่…ดังนั้นข้าคิดว่า…ท่านควรช่วยบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเวลานี้จะได้ไหม?”
ไช่ไช่พยักหน้ากล่าวว่า “ไม่นานมานี้ เป่าเปารีบกลับมาแจ้งให้เราทราบเกี่ยวกับความพยายามและผลงานของเจ้าในประลองมณีสวรรค์ปีนี้ แน่นอนว่าด้วยการเอาชนะและสังหารกลุ่มนักรบป่ายต้า อาณาจักรตันตุ้น และแม้กระทั่งขึ้นเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งของงานประลอง เจ้าทุกคนคือผู้กล้าของอาณาจักร เกียรติเช่นนี้ไม่เคยมีใครได้รับมาก่อน ฝ่าบาททรงมีความสุขมากและต้องการที่จะมอบตำแหน่งให้กับพวกเจ้าทุกคนเพื่อเป็นเกียรติสูงสุด เพราะถึงอย่างไรพวกเจ้าทุกคนก็ได้นำป้ายมณีสวรรค์กลับมาและยังนำชื่อเสียงเกียรติยศมาสู่อาณาจักรอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่าในหน้าบันทึกประวัติ ศาสตร์ทั้งหมดของอาณาจักรเฟยหลี่ ไม่เคยมีใครทำสิ่งใดเทียบเท่าความสำเร็จของเจ้ามาก่อน อันที่จริงหากเจ้าไม่ได้อยู่ในกลุ่มนักรบเฟยหลี่ สิ่งนี้ก็คงจะเกิดขึ้น…น่าเสียดาย เมื่ออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ถูกบุกถล่มอย่างกะทันหัน มันก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากมาย…”
“เจ้าเป็นลูกชายแม่ทัพโจวจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ และเจ้าก็ได้พิสูจน์ความสามารถที่โดดเด่นของตนเองในระหว่างงานประลองมณีสวรรค์ หากอาณาจักรเฟยหลี่ของเราให้รางวัลใหญ่แก่เจ้า แรงดึงดูดที่เจ้ามีต่อผู้อื่นก็จะเข้าสู่ระดับที่น่ากลัว เมื่ออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ถูกทำลาย…อาณาจักรของเราได้ตัดสินใจที่จะปกป้องพรมแดนของตัวเองและไม่ได้ส่งความช่วยเหลือเพื่อตอบโต้การบุกจู่โจมของอาณาจักรป่ายต้า…เจ้าเข้าใจหรือยังว่าข้าหมายถึงอะไร?”
ดวงตาของโจวเหว่ยชิงพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา และเขาก็พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะกล่าวว่า “ดังนั้น…กล่าวคือ… ราชวงศ์เฟยหลี่กลัวว่าข้าจะส่งผลร้ายต่ออาณาจักร และกลัวว่าข้าจะชักนำผู้มีความสามารถจากอาณาจักรไปแก้แค้นให้ตนเองใช่ไหม?”
ไช่ไช่ยิ้มอย่างขมขื่นและถอนหายใจก่อนที่จะพยักหน้าขณะกล่าวว่า “ใช่ นั่นคือประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้ เหล่าราชวงศ์จึงมีการถกเถียงกันอย่างหนัก ส่วนหนึ่งคิดว่าเจ้าได้ทำสิ่งต่างๆ ให้กับอาณาจักรของเรามากมายและควรต้องได้รับรางวัล อย่างไรก็ตาม อีกเหตุผลหนึ่งก็คือหากเจ้ายังคงอยู่ในโรงเรียนต่อ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และเข้าร่วมกองทัพอาณาจักรเฟยหลี่ของเราในอนาคต มันจะส่งผลกระทบต่อเฟยหลี่อย่างรุนแรง ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่ประชาชนของอาณาจักรเฟยหลี่…”
โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างเฉยเมย สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ เขาไม่ต้องการจะโต้เถียงกับอีกฝ่าย แค่ได้ทราบข่าวเกี่ยวกับบิดาและข่าวที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ หัวใจของโจวเหว่ยชิงก็เบิกบานขึ้นแล้ว
“ไม่เป็นไร ท่านผู้อำนวยการไช่ไช่ เพียงแค่บอกผลลัพธ์สุดท้ายมา ข้าสามารถยอมรับมันได้”
ไช่ไช่กล่าวว่า “ผลลัพธ์สุดท้ายของการโต้เถียงทั้งหมดคือ…มี 2 ทางเลือกสำหรับเจ้า…ประการแรก เจ้าประกาศให้โลกรู้ว่าเจ้าได้ออกจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และเข้าร่วมอาณาจักรเฟยหลี่ของเราในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง รางวัลสำหรับงานประลองมณีสวรรค์ของเจ้าก็จะยังถูกมอบให้เจ้าดังเดิม แต่เจ้าต้องออกจากโรงเรียนและจะไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้ ทางเลือกที่สอง…คือเจ้าไม่เข้าร่วมกับอาณาจักรของเราในฐานะพลเมือง เจ้าจะได้รับ 1 ล้านเหรียญทอง แต่เจ้าจะต้องออกจากโรงเรียนด้วย”
โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างเฉยเมยและกล่าวว่า “ปีนี้ข้าอายุเพียง 17 ปี จำเป็นหรือไม่ที่อาณาจักรเฟยหลี่ต้องกังวลใจขนาดนี้? พันธมิตร…นี่คือพันธมิตรของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์…”
ไช่ไช่ก้มหัวลงด้วยความอับอาย “ข้าขอโทษนะเหว่ยชิง แต่ละอาณาจักรต่างก็มีปัญหาเป็นของตัวเอง…พรมแดนที่ติดกับอาณาจักรวั่นโซ่วเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงและกองทัพของพวกเขาก็โจมตีหนักหน่วงมากขึ้นในปีนี้ เราจึงไม่มีทรัพยากรและกำลังคนมากพอจะช่วยตอบโต้การโจมตีอาณาจักรป่ายต้า และเราทำได้เพียงป้องกันตัวเองจากพวกเขาเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงกล้าโจมตีอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเจ้า…พวกเขาเล็งเห็นถึงสิ่งนี้และรีบคว้าโอกาสเอาไว้ ในงานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้ เจ้าอาจสร้างปาฏิหาริย์มากมาย แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าก็ทำให้หุบเขาอเวจีสีเลือดโกรธเคืองด้วย…”
โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ท่านผู้อำนวยการ ข้าเข้าใจ ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว ข้าจะออกจากโรงเรียน อีกสักครู่ข้าจะไปอำลาเพื่อนร่วมชั้นแล้วจากไปทันที ข้าจะไม่ยอมละทิ้งสถานะการเป็นพลเมืองของบ้านเกิดตนเองแม้อาณาจักรของข้าจะสูญสิ้นไปแล้วก็ตาม ส่วนเงิน 1 ล้านเหรียญทองนั้นก็ไม่จำเป็นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม โปรดช่วยข้าแจ้งให้ราชวงศ์ทราบด้วยว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราจะไม่เป็นพันธมิตรกับอาณาจักรเฟยหลี่อีก”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ดึงโตวโตวซึ่งนั่งฟังอยู่ข้างๆ ด้วยความสับสนออกไป เด็กหนุ่มหันหลังกลับและเดินออกจากห้องนั้นทันที
ไช่ไช่มองตามร่างโจวเหว่ยชิงที่เดินหายลับไปและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา หญิงสาวไม่ได้บอกโจวเหว่ยชิงว่าเธอต่อสู้ในสภาอย่างหนักหน่วงเพื่อเขา และนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอสามารถทำได้ ในอาณาจักรเฟยหลี่มีหลายคนที่ต่อต้านโจวเหว่ยชิง นอกจากนี้ หลายคนยังต้องการขังคุกหรือฆ่าเขาเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตด้วยซ้ำ
เกี่ยวกับโจวเหว่ยชิง ไช่ไช่รู้ดีว่าลึกๆ แล้วเธอยอมรับกับตัวเองว่าอ่านเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ออก เธอไม่รู้ว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนในอนาคต แต่เธอรู้ว่าเขาสามารถเติบโตไปได้อีกไกลแน่นอน อนิจจา ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง แม้เธอจะมีพลัง แต่เธอก็ไม่มีอำนาจมากพอในอาณาจักรเฟยหลี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เกี่ยวกับการตัดสินใจของอาณาจักรนั้น เธอไม่ได้รับโอกาสให้ออกปากพูดเลย สิ่งเดียวหญิงสาวสามารถทำได้คือโน้มน้าวพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในเวลานี้ สิ่งเดียวที่เธอทำได้จึงเป็นเพียงการยืนมองชายหนุ่มผู้มีศักยภาพไร้ขีดจำกัดถูกอาณาจักรขับไสไล่ส่งออกไปทางอ้อม
การปล่อยโจวเหว่ยชิงไปในตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรเฟยหลี่มากที่สุด ประการแรกและที่สำคัญที่สุดคือจะทำให้หุบเขาอเวจีสีเลือดผละออกไปจากแผ่นหลังของพวกเขา ประการต่อมาคือพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าโจวเหว่ยชิงจะมีอิทธิพลกับผู้คนในอาณาจักรเฟยหลี่และอาจส่งผลเสียต่อพวกเขาในอนาคต หากโจวเหว่ยชิงเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ธรรมดา พวกเขาอาจจะไม่ให้ความสนใจมากนักแม้ว่าเด็กหนุ่มจะมีพลังมากเพียงใดก็ตาม น่าเสียดาย เขากลับไม่ใช่คนธรรมดา ในฐานะลูกชายของแม่ทัพโจว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องก้าวไปสู่หนทางแห่งการแก้แค้นอย่างแน่นอน
สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่รู้ก็คือหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้อาณาจักรเฟยหลี่เลือกเส้นทางนี้และเลือกจะปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้เป็นเพราะบิดาของเย่เป่าเปาซึ่งอัครเสนาบดีของอาณาจักร แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการตัดสินใจครั้งนี้ นั่นเป็นเพราะเย่เป่าเปาอยู่เคียงข้างโจวเหว่ยชิงมานานและเขาก็คุ้นเคยกับนิสัยของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี และเขาก็เป็นคนที่อธิบายภัยคุกคามที่โจวเหว่ยชิงอาจนำมาสู่อาณาจักรกับพ่อของเขา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเย่เป่าเปานั้นชื่นชมโจวเหว่ยชิง แม้กระทั่งเคารพในพลังของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงผลประโยชน์ของอาณาจักร และอาจมากกว่านั้นคือความอิจฉาริษยาที่น่ารังเกียจในใจของเขา ในที่สุดเย่เป่าเปาก็เลือกที่จะอธิบายว่าโจวเหว่ยชิงเป็นภัยคุกคาม
ไช่ไช่ไม่ได้บอกโจวเหว่ยชิงทั้งหมดเพราะเธอหวังว่าเขาจะไม่ถืออาณาจักรเฟยหลี่เป็นศัตรูในอนาคต อนิจจา ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้น ความหวังของเธออาจจะดูเป็นสิ่งไร้เดียงสาเกินไปเสียแล้ว
ไช่ไช่ไม่ได้ตำหนิโจวเหว่ยชิงสำหรับการตัดสินใจดังกล่าว ถ้าเป็นเธอ เธออาจไม่สงบเยือกเย็นเท่าเขาก็เป็นได้
ในขณะที่เขาเดินออกจากห้องทำงานของไช่ไช่ รอยยิ้มเย็นเยียบก็ผุดขึ้นข้างริมฝีปากของโจวเหว่ยชิง อาณาจักรเฟยหลี่ ดีมาก อาณาจักรเฟยหลี่!
ความจริงโจวเหว่ยชิงไม่ได้ผิดหวังในสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะระหว่างทางกลับไปยังอาณาจักรเฟยหลี่ เขาได้สูญเสียความหวังในตัวพวกเขาไปก่อนหน้านี้แล้ว
อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ถูกรุกรานโดยกองทัพที่ผนึกกำลังกันระหว่างอาณาจักรคาลิเซและอาณาจักรป่ายต้า ทั้งหมดนั้นกินเวลายาวนานมาก หากอาณาจักรเฟยหลี่ต้องการช่วยเหลืออาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์อย่างแท้จริง พวกเขาก็ควรจะเริ่มลงมือเมื่อนานมาแล้ว ทว่าพวกเขากลับไม่ได้ตั้งใจจะขยับตัวเลยด้วยซ้ำ
จะเกิดอะไรขึ้นหากเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอาณาจักรเฟยหลี่? ในความเป็นจริงโจวเหว่ยชิงไม่เคยวาง แผนที่จะอยู่โรงเรียนทหารเฟยหลี่ตั้งแต่แรก และความรู้สึกในตอนนี้ของเขาก็ถือว่าไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม เขากลับมีความสุขมาก เมื่อได้ยินว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ยังคงสมบูรณ์ดีอยู่ พ่อของเขา พ่อทูนหัว และแม่ของเขาอาจยังมีชีวิตอยู่ ยังคงมีความหวังเหลือรอดสำหรับอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ และอย่างน้อยก็ยังมีดินแดนในรัศมี 100 เมตรที่ยังคงอยู่และได้ชื่อว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ สำหรับโจวเหว่ยชิง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เด็กหนุ่มดึงโตวโตวลงบันไดพร้อมกับเขา ไม่ช้าโจวเหว่ยชิงก็มาถึงห้องเรียนของนักเรียนเอกสามัญ แม้ว่าไช่ไช่จะไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่เขาก็เดาได้อย่างง่ายดายว่าอาณาจักรเฟยหลี่ไม่ต้อนรับเขาอีกต่อไป ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่เขาจะจากไปโดยเร็วที่สุด
เมื่อโจวเหว่ยชิงเข้าสู่ห้องเรียนเอกสามัญ เขาเห็นว่านอกจากนักเรียนทั้งห้องและหมิงฮัวแล้ว ยังมีอีก 2 คนในห้องด้วย คนแรกคือหยุนลี่ ผู้ติดตามตลอดชีพของเขาที่เข้าโรงเรียนในฐานะอาจารย์ชั่วคราว และอีกคนคือหัวหน้านักเรียนรุ่นพี่ ซ่างหลาง
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงกลับมาแล้ว ทั้งสองก็รีบออกมาตามหาเขาอย่างรวดเร็ว
โจวเหว่ยชิงให้โตวโตวนั่งเก้าอี้เดิมของเขา จากนั้นเด็กหนุ่มก็เดินขึ้นไปที่แท่นพูดหน้าชั้นเรียนโดยไม่สนใจหมิงฮัวที่ยืนอยู่ตรงนั้น
หมิงฮัวพูดไม่ออกด้วยความโกรธแต่กลับไม่สามารถขัดอะไรได้ หญิงสาวจึงถอยกลับไปด้านข้างเพื่อยืนร่วมกับหยุนลี่
โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ด้านหลังแท่นพูด มองลงไปเห็นสายตาเร่าร้อนมองมาที่เขาอย่างตื่นเต้น ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็โค้งตัวลงเป็นมุมฉากต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นทุกคน
“หัวหน้า ท่านกำลังทำอะไรอยู่?” นักเรียนทุกคนต่างตกตะลึง และโข่วรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะผุดลุกขึ้นและอุทานเสียงดัง นักเรียนที่เหลือต่างก็ยืนขึ้นเช่นกัน
“ทุกคนนั่งลง…” โจวเหว่ยชิงยืนตัวตรงอีกครั้งและพูดอย่างเคร่งขรึม
ชนชั้นและสถานะที่แตกต่างคืออะไร? ในวันนี้สถานะอันยิ่งใหญ่ของโจวเหว่ยชิงได้แสดงออกมาให้ได้เห็นอย่างแท้จริง นักเรียนทุกคนที่เพิ่งผุดลุกขึ้นต่างนั่งลงอย่างกะทันหัน และทั้งชั้นก็ตกอยู่ในความเงียบ
โจวเหว่ยชิงถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้าโค้งคำนับพวกเจ้าเพราะต้องการขอโทษพวกเจ้าทุกคน ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถทำตามสัญญาก่อนหน้านี้ได้อีกต่อไปแล้ว อีกสักครู่ข้าจะออกจากโรงเรียนและเกรงว่าจะไม่สามารถร่ำเรียนกับพวกเจ้าทุกคนได้อีกต่อไป ข้าจะทิ้งเงินก้อนหนึ่งไว้ให้พวกเจ้า และหากทุกคนพยายามอย่างหนักและไม่ผลาญมันไปอย่างเสียเปล่า ทั้งหมดนี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับกักเก็บทักษะและหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ที่พวกเจ้าต้องการ ข้าต้องขอโทษพวกเจ้าทุกคนอีกครั้งด้วย”
“หัวหน้า ท่าน…ท่านกำลังจะจากไป?” ครั้งนี้แม้แต่หยางเจ๋อชีที่มักจะเงียบขรึมก็ยังอุทานออกมาอย่างรีบร้อน และนักเรียนที่เหลือต่างก็แสดงสีหน้าตกใจเช่นกัน
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าแน่ใจว่าเจ้าทุกคนน่าจะได้ยินแล้ว…บ้านเกิดของข้า…อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ถูกรุกรานและยึดครองโดยอาณาจักรคาลิเซและอาณาจักรป่ายต้า อาณาจักรเฟยหลี่ได้ตัดสินใจที่จะไม่ตอบโต้การโจมตีเหล่านั้นและยังห้ามไม่ให้ข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ต่อ เช่นนี้ข้าคงทำได้แค่จากไป ข้าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว ไม่ว่ายังไงพวกเจ้าทุกคนก็ยังคงเป็นพี่น้องที่ดีของข้า อย่างน้อยเราก็เคยนั่งอยู่ในห้องเรียนเดียวกันและเรียนด้วยกันมาก่อน โปรดอย่าลืมสิ่งที่ข้าพูดกับพวกเจ้าทุกคน แม้ว่าเราจะเป็นชนชั้นสามัญ แต่เราต้องเหยียดแผ่นหลังให้ตรง ข้าไม่อยากจากพวกเจ้าไป แต่นี่คือเส้นทางที่ข้าจำต้องเดิน ข้าหวังว่าในอนาคตข้าจะได้พบกับพวกเจ้าและร่วมต่อสู้กับพวกเจ้าทั้งหมดในสนามรบ เจ๋อชี มานี่หน่อย…”
หยางเจ๋อชีเดินไปหาโจวเหว่ยชิงทั้งๆ ที่ยังมีอาการตกตะลึง
โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆ ตบมือบนไหล่ของเขาขณะที่กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ข้าจากไป เจ้าทำงานได้ดีในการเป็นผู้นำคนที่เหลือ และทุกคนก็ยอมรับในตัวเจ้าเช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ เมื่อข้าจากไป เจ้าจะเป็นหัวหน้าห้องเรียนเอกสามัญของเรา อย่าลืมสิ่งที่พวกเราต้องสืบทอดต่อ ความสามัคคีคือความเข้มแข็ง หากพวกเราทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวก็ย่อมไม่มีใครสามารถกลั่นแกล้งเราได้ บัตรเก็บเหรียญทองใบนี้มีเงินอยู่ 10 ล้านเหรียญทอง และนี่ก็เป็นทั้งหมดที่ข้าสามารถฝากไว้ให้พวกเจ้า แม้ว่าข้าจะไม่อาจทำตามสัญญาทั้งหมดและไม่อาจสร้างศาสตรามณียุทธ์ให้พวกเจ้าได้อีกต่อไป แต่อย่างน้อยข้าก็พาทุกคนมาไกลขนาดนี้แล้ว ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะใช้สิ่งนี้อย่างชาญฉลาด…”
ในขณะที่พูดอย่างนั้น โจวเหว่ยชิงก็ยัดบัตรที่เขาเตรียมไว้ใส่มือของหยางเจ๋อชี เขากวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อมองเพื่อนร่วมชั้นเรียนทั้งหมดของเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก หมุนตัวไปรอบๆ เพื่ออำลา
…………………………………………………………..