Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 115-2 กลศึกทรมานตน! (2)
“พี่ใหญ่อ้วนน้อย มีอะไรหรือ?” โตวโตวโผล่ไปที่ด้านข้างของโจวเหว่ยชิงทันที
ราวกับแสดงเวทย์มนต์ ขนมขาไก่พลันปรากฏในมือของโจวเหว่ยชิงคล้ายกับเสกได้ “สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ดีๆ ให้พี่ใหญ่คนนี้ดูสักชิ้นแล้วเจ้าจะได้กินขาไก่อันแสนอร่อยนี้”
“ตกลง! ตกลง!” เมื่อเห็นของกิน ดวงตาของโตวโตวก็สว่างวาบขึ้น ก่อนที่ใครจะเห็นการเคลื่อนไหวของเธอ กระดาษศาสตรามณียุทธ์ก็ลอยขึ้นไปในอากาศแล้ว
ขณะที่กระดาษแผ่นนั้นลอยอยู่ในอากาศ ช่วงเวลาต่อมา…ทันใดนั้นแสงก็เจิดจ้าขึ้น 4 สี และคนอื่นๆ ก็ได้เห็นว่าพู่กันศาสตรามณียุทธ์ 4 ด้ามได้ปรากฏขึ้นในมือของเธอแล้ว โดยโตวโตวจะถือพู่กันไว้ 2 ด้ามในมือแต่ละข้าง ขณะที่หญิงสาวโบกสะบัดฝีแปรงอย่างรวดเร็วก็ดูเหมือนว่าพู่กันเหล่านั้นกำลังเริงระบำขึ้นและลง แสงหลากสีทั้งหมดคล้ายจะมุ่งตรงเข้าไป ณ จุดเดียวกันและตรึงแน่นอยู่บนกระดาษศาสตรามณียุทธ์
พวกเขาหายใจเข้าออกแทบจะไม่ถึง 3 ครั้ง จู่ๆ แสงสีทองก็ส่องสว่างเจิดจ้าขึ้นแยงตาและกระดาษศาสตรามณียุทธ์ก็บินไปหาหยุนหลี่ทันที พู่กันทั้ง 4 ด้ามในมือของสาวน้อยจอมมึนหายไปแล้ว และขาไก่ในมือของโจวเหว่ยชิงก็ไปปรากฏขึ้นในมือของเธอแทน
เมื่อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ตกใส่มือของหยุนหลี่ เขาก็ทำได้เพียงจ้องมองอย่างโง่งมและตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็พึมพำกับตัวเอง “ไม่มีแบบร่าง…หลอมรวมกันกลางอากาศ…นี่…นี่คือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์ชั้นสูง!”
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างที่ไร้แบบแผนหรือการหลอมรวมกันกลางอากาศ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทักษะระดับสูงสุดที่ใช้ในการการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ มีเพียงผู้สืบทอดเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ หยุนหลี่ยังรู้เพียงขั้นที่ว่าจะเรียนรู้พวกมันได้อย่างไรเพราะตัวเขาเองก็มีตำราที่ตกทอดมาเช่นกัน ทว่าชายหนุ่มก็ยังห่างชั้นจากการจะทำเช่นนั้นได้ เขารู้ดีว่าแม้ตนเองจะไปถึงระดับเทวะ บางทียังไม่อาจเรียนรู้ได้ด้วยซ้ำ
แม้ว่าหยุนหลี่จะมาถึงขั้นปรมาจารย์แล้ว แต่ในระดับของเขา มันก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างม้วนม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์ อัตราความสำเร็จของชายหนุ่มยังคงต่ำมาก ในอนาคตอันใกล้นี้ แม้กระทั่งการตราก ตรำทำงานหนักของเขาก็อาจจะยังไม่ทำให้ไปถึงระดับเดียวกับหญิงสาวตรงหน้าได้เลยด้วยซ้ำ ระดับที่สามารถสร้างม้วนคัมภีร์เช่นนั้นได้อย่างง่ายดาย
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งคุยโม้กับโจวเหว่ยชิงเกี่ยวกับการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์ก่อนอายุ 30 ปี แต่หญิงสาวที่มีอายุน้อยคนนี้กลับอยู่ในระดับปรมาจารย์เช่นกัน…เป็นคนที่เก่งกว่าเขาหลายเท่า…และเธอก็ดูไม่น่าจะอายุถึง 20 ปีด้วยซ้ำ!
ในขณะนั้นเอง หยุนลี่ก็เกิดอาการตกตะลึงงัน
โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มและกล่าวว่า “หึๆ โตวโตวอายุยังไม่ถึง 30 แต่นางก็ใกล้จะเหยียบระดับเทวะแล้ว! หยุนลี่ ความภาคภูมิใจเป็นสิ่งที่ดี แต่ความเย่อหยิ่งมากเกินไปก็อาจจะทำให้คนถอยหลังลงคลองได้ เจ้าต้องขยันให้มากขึ้นแล้วนะ!”
ความจริงโจวเหว่ยชิงเองก็ตกใจมากเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าความสามารถในการสร้างศาสตรามณียุทธ์ของโตวโตวนั้นจะน่ากลัวขนาดไหน เป็นเพียงเพราะเขาเคยเห็นมณี 7 ชุดของเธอมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวดีกว่าหยุนลี่เล็กน้อย
นอกจากหยุนลี่แล้ว ซ่างหลางและกลุ่มสหายของเขาก็ยืนอยู่ที่นั่นเช่นกัน ทั้งหมดต่างอ้ากรามค้างและตกตะลึงกันอย่างเต็มที่ อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ 3 คน…จริงๆแล้วคือ 3 คน! แต่ละคนยิ่งน่ากลัวกว่าอีกคนไปเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงระดับเทวะแล้ว! แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่ได้ให้สัญญาแก่พวกเขา แต่ในลานเล็กๆ แห่งนี้ก็มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อยู่ 3 คนแล้ว โดยหนึ่งในนั้นเกือบจะอยู่ในระดับเทวะ! จะมีสัญญาอะไร การรับประกันอะไรที่ดีกว่านี้อีก?
ท้ายที่สุดแล้ว ในดินแดนไร้ขอบเขตแห่งนี้ อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะก็มีเกียรติและสถานะที่ยิ่งใหญ่มากอยู่แล้ว การเลื่อนขั้นของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์แต่ละระดับนั้นยากกว่าการเพิ่มระดับของจ้าวมณีสวรรค์หลายเท่า
แม้ซ่างหลางจะคาดหวังในตัวโจวเหว่ยชิง ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่ตัดสินใจจะเป็นผู้ติดตามของเด็กหนุ่ม แต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดอย่างแท้จริงว่าแม้แต่อาจารย์หยุนที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีและมีความสามารถคนนี้ก็จะเป็นผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิงเช่นกัน! นั่นยังไม่นับว่ายังมีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่เหนือกว่าอาจารย์หยุนอีกคนด้วย!
ซ่างหลางคุกเข่าลงข้างหนึ่งโดยไม่ลังเลใดๆ อีกต่อไป และอีก 11 คนที่เหลือก็รีบทำตามทันที
ซ่างหลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “หัวหน้าโจว โปรดประทับตราพวกเราด้วย ข้า ซ่างหลาง ยินดีที่จะเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของท่าน”
โจวเหว่ยชิงโบกมือและพูดว่า “ไม่จำเป็น พวกเจ้าทุกคนลุกขึ้น”
ซ่างหลางคิดว่าการตั้งคำถามและความสงสัยของเขาก่อนหน้านี้ทำให้โจวเหว่ยชิงโกรธเคือง เขาจึงพูดอย่างร้อนรนทันที “หัวหน้าโจว ข้าไม่ได้สงสัยท่าน แต่พวกเรามีจำนวนมากมายเกินไป ดังนั้นข้าจึง…”
โจวเหว่ยชิงหัวเราะเล็กน้อย ส่ายหัวเบาๆ พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ข้างๆ เขา หลินเทียนอ้าวกระทืบเท้าขวาลงบนพื้นอย่างแรง จู่ๆ แรงสั่นสะเทือนอันทรงพลังก็ถูกส่งผ่านพื้นดินมาเพื่อบังคับผู้ที่คุกเข่าทั้ง 12 คนลุกขึ้นยืน เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเทียนอ้าว ซ่างหลางและคนที่เหลือต่างก็ย่อมไม่มีทางเทียบเคียงอีกฝ่ายได้
เมื่อมองไปยังใบหน้าที่หดหู่ของพวกเขา โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้เว้นวรรคนานเกินไป “ซ่างหลางและพี่น้องท่านอื่นๆ สำหรับพวกเจ้า การที่ทุกคนรับรู้สถานการณ์ของข้า รู้ว่าข้าถูกขับไล่ออกจากโรงเรียนแต่กลับยังเลือกที่จะติดตามข้า นั่นก็ได้พิสูจน์ให้เห็นหลายอย่างแล้ว ข้าดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ทุกคนเต็มใจจะเป็นผู้ติดตามของข้า และแม้ว่าตราประทับอาจเป็นสิ่งผูกมัดที่ดี แต่ข้าก็ได้คิดไว้แล้ว สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่กลุ่มทหารธรรมดาๆ แต่เป็นกลุ่มพี่น้องที่อยู่เคียงข้างข้า”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกคนเป็นพี่น้องกับข้า โจวเหว่ยชิง ข้าไม่จำเป็นต้องประทับตราพวกท่าน หากวันหนึ่ง พวกท่านรู้สึกว่าข้าไม่สมควรให้ติดตามอีกต่อไป ท่านสามารถจากไปได้ทุกเมื่อ”
การตัดสินใจเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับโจวเหว่ยชิง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปไม่นาน แต่เขาก็ไม่ใช่ชายหนุ่มคนเดิมที่เพิ่งก้าวเข้ามาในโรงเรียนทหารเฟยหลี่เป็นครั้งแรกอีกต่อไปแล้ว
ความมั่นใจนั้นเพิ่มขึ้นมาเพราะพลัง และเพราะความเชื่อมั่นในตัวเอง เขาจะสามารถจัดการกับทุกคนที่เข้ามาหาเขา เพื่อให้ได้มาซึ่งความภักดีโดยไม่ต้องใช้ตราประทับใดๆ ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงไม่ต้องการใช้ตราประทับเพื่อจำกัดอิสรภาพของคนเหล่านี้ คนที่จะต่อสู้เคียงข้างเขา เป็นพี่น้องในกองทัพของเขา
เมื่อได้ยินคำว่า ‘พี่น้อง’ ซ่างหลางและรุ่นพี่อีก 11 คนที่มากับเขาก็ชะงักไป พวกเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ในหมู่พวกเขา บางคนที่อ่อนไหวค่อยๆ เผยสีหน้ากังวลออกมา
โดยธรรมชาติแล้วโจวเหว่ยชิงย่อมรู้พวกเขากังวลเรื่องอะไร เด็กหนุ่มจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ท่านไม่ต้องกังวลว่าข้าจะไม่ปฏิบัติต่อท่านเหมือนคนอื่นๆ ที่มีตราประทับ ทุกคนที่นี่เป็นพี่น้องของข้าและจะไม่มีใครมีตราประทับเช่นกัน”
ในขณะที่พูดอย่างนั้น โจวเหว่ยชิงก็เหวี่ยงฝ่ามือของเขาไปยังหน้าผากของหยุนลี่
ด้วยระดับพลังของหยุนลี่ เมื่อถูกลอบโจมตีโดยฉับพลัน เขาก็มักจะสามารถตอบสนองโดยสัญชาตญาณ ทว่าในครั้งนี้ชายหนุ่มกลับตระหนักได้ทันทีว่าตนไม่มีโอกาสหลบหลีกการจู่โจมนั้นพ้น ตอนแรกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าโจวเหว่ยชิงจะโจมตีเขา ดังนั้นเมื่อเด็กหนุ่มฟาดฝ่ามือลงมา หยุนลี่ก็ปลดปล่อยทักษะโซ่ตรวนวายุออกมาแล้ว
ระดับพลังปราณของโจวเหว่ยในปัจจุบันชิงเกือบจะเทียบเท่าหยุนลี่แล้ว นอกจากนี้ทั้งคู่ก็อยู่ในระดับมณี 4 ชุดเหมือนกัน ทักษะควบคุมที่ได้รับการจัดอันดับสูงเช่นทักษะโซ่ตรวนวายุนั้นไม่อาจถูกทำลายได้ง่ายๆ โดยผู้ที่มีระดับพลังเท่ากัน ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีทำให้การจู่โจมของเขาปิดฉากอย่างสมบูรณ์
แสงสีแดงเข้มปรากฏขึ้นรอบๆ หน้าผากของหยุนหลี่ และสัญลักษณ์ของพิธีเลือด ตราประทับธาตุมืดก็กะพริบชั่วขณะก่อนจะถูกลบล้างออกไป…ตลอดกาล
“เหว่ยชิง…เจ้า…” หยุนลี่จ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า
โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างเต็มที่และกล่าวว่า “การโกหกย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดี! เจ้าเป็นคนเดียวในสถานที่แห่งนี้ที่ถูกประทับตรา…และตอนนี้ข้าก็ได้ลบมันออกแล้ว ถือว่าข้าไม่ได้โกหกอีกต่อไป อะไร…เจ้าไม่เต็มใจที่จะเป็นพี่ชายของข้า? อยากจะเป็น ผู้ติดตามของข้าแทนงั้นรึ?”
หยุนหลี่ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอและพูดอย่างดื้อรั้น “หากไม่มีตราประทับ ข้าก็จะจากไปแล้ว” แม้จะพูดแบบนั้น แต่ขาของเขากลับไม่ยอมขยับ ดวงตาของชายหนุ่มมองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างฉงนใจ
หลินเทียนอ้าวที่ยืนอยู่ด้านข้างยิ้มน้อยๆ ขณะที่มองดูการกระทำของโจวเหว่ยชิง ชายหนุ่มพยักหน้าให้กับตัวเองอยู่ภายใน ความเป็นผู้นำ แรงดึงดูด และพรสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงนับวันจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ทำสิ่งเหล่านี้ เขาก็เผยเสน่ห์และความสามารถของตนเองออกมาโดยไม่รู้ตัว…แม้แต่คนที่มีประสบการณ์มากกว่าอย่างหลินเทียนอ้าวก็พลอยได้รับผลกระทบไปถึงจิตใจส่วนลึก
นับประสาอะไรกับคนที่อายุพอๆ กับโจวเหว่ยชิง
ด้วยเสียง *ตุ๊บ* ซ่างหลางคุกเข่าลงต่อหน้าโจวเหว่ยชิงอีกครั้ง แสงไฟในดวงตาของเขาลุกโชนไปด้วยอารมณ์ ชายหนุ่มกล่าวอย่างร้อนใจว่า “พวกเราเป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ก็เป็นทหารที่ซื่อสัตย์และพร้อมจะตายเพื่อท่าน”
คำเหล่านี้ถูกพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ ในโรงเรียนทหารเฟยหลี่ ชนชั้นสูงหลายคนพยายามวาดฝันและวางแผนว่าจะใช้ประโยชน์จากพวกเขาอย่างไร จะใช้งานเยี่ยงทาสได้อย่างไร แม้พวกเขาจะเป็นจ้าวมณี หรือแม้กระทั่งจ้าวมณีสวรรค์ แต่ชนชั้นสูงเหล่านั้นก็ไม่เคยปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเป็นพี่น้อง ส่วนใหญ่ปฏิบัติเหมือนพวกเขาเป็นคนรับใช้ระดับสูงที่สามารถนำมาใช้งานได้ดี โจวเหว่ยชิงใช้การกระทำเพียงอย่างเดียว เขาไม่ได้ให้สัญญาหรือคำพูดที่สวยงาม เพียงแค่เอ่ยออกมาอย่างเรียบง่ายและใจเย็น ทว่ากลับทำให้หัวใจของซ่างหลางลุกเป็นไฟ
อีก 11 คนก็คล้ายจะอยู่ในสถานะเดียวกัน ทว่าพวกเขากลับไม่รู้ว่าควรจะแสดงความรู้สึกอย่างไร เมื่อซ่างหลางเป็นผู้เริ่ม พวกเขาทั้งหมดจึงเป็นผู้ตามและคุกเข่าลงทั้งสองข้าง “พี่น้อง…และทหารผู้ภักดี!”
ครั้งนี้หลินเทียนอ้าวไม่ได้ลงมือบังคับให้พวกเขาลุกขึ้นยืน และโจวเหว่ยชิงเองก็พยุงพวกเขาขึ้นทีละคน เด็กหนุ่มรู้ว่าในที่สุดเขาก็มีกองกำลังเป็นของตัวเองแล้ว
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็ล่วงเลยมาถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าเดาว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องจากไป เราไม่อาจอยู่ในเมืองเฟยหลี่ไปได้นานกว่านี้แล้ว”
หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็หันไปทางห้องที่หม่าฉุนและอู่หยาอยู่ ก่อนจะตะโกนบอกเสียงดัง “พวกเจ้าเสร็จแล้วหรือยัง?”
ในที่สุดประตูก็แง้มเปิดออก และเมื่ออู่หยาและหม่าฉุนเดินออกมา สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทุกคน แม้แต่หลินเทียนอ้าวก็ต้องเบิกตากว้างจนแทบจะถลน ทุกคนต่างรู้สึกได้ทันทีว่าขากรรไกรของตนแทบร่วงลงไปที่พื้น
อู่หยามักจะกล้าหาญ ตรงไปตรงมา และไม่มีความเป็นผู้หญิงมากนัก ทว่าตอนนี้เธอกลับเป็นเหมือนลูกนกตัวน้อยที่ซบอยู่ในอ้อมแขนหม่าฉุน ผู้ซึ่งโอบไหล่หญิงสาวไว้พร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ชายหนุ่มมีสีหน้าพึงพอใจและสายตาที่อ่อนโยนขณะที่มองเธอ
ขี้เมาเป่ากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก กระซิบกับสี่น้อยข้างๆ เขาว่า “ข้าตาฝาดไปรึเปล่า? นั่นยังใช่อู่หยาของเรา คนที่โค่นศัตรูได้เร็วกว่าใครหรือไม่?”
สี่น้อยพึมพำ “ข้าไม่รู้…ข้าไม่รู้…อย่างไรก็ตาม ข้าสามารถพูดได้ว่ามีเพียงรูปร่างของพี่ชายคนนี้เท่านั้นที่สามารถจับคู่กับนางได้…”
โจวเหว่ยชิงยิ้มออกมา เมื่อมองไปที่อู่หยาและหม่าฉุน เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าทั้งสองคนได้ตกลงปลงใจกันแล้ว “ เจ้าสองคนหยุดแสดงความใกล้ชิดได้แล้ว เจ้าจะติดตามพวกเราไปหรือกลับบ้านเกิด?”
หม่าฉุนยิ้มและพูดว่า “ไป แน่นอนว่าพวกเราจะไป อู่หยาจะไปกับเราด้วย ดังคำกล่าวที่ว่าหากสามีร้องเพลง ภรรยาจะเป็นผู้คลอประสาน หากไม่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง ข้าจะมีหน้ากลับบ้านได้อย่างไร ข้าไม่อยากถูกพ่อตีจนตายหรอกนะ อู่หยายกโทษให้ข้าที่หนีจากงานแต่งแล้ว ทว่าข้ายังไม่ให้อภัยตัวเอง ข้าต้องพิสูจน์ตัวเองว่าคู่ควรกับนางก่อนที่พวกเราจะกลับไป หลังจากนั้นเราก็จะแต่งงานกัน”