Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 116-2 ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เข้าร่วมด้วย! (2)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 116-2 ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เข้าร่วมด้วย! (2)
“นอกจากนี้ ข้ายังเคยได้ยินเกี่ยวกับป่าปีศาจผีแห่งนี้มาก่อน สาเหตุที่มันมีชื่อนี้เป็นเพราะมันคือสถานที่อยู่อาศัยของอสูรสวรรค์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รู้จักกันในนามม้าปีศาจผี พวกมันเป็นอสูรสวรรค์ที่อยู่รวมกลุ่มกันเป็นฝูงใหญ่ และโดยทั่วไปจะมีพลังอยู่ในระดับปรมะขั้นแรก แม้ว่าระดับพลังปราณของอสูรสวรรค์นี้จะไม่ถือว่าสูงหรือต่ำเกินไป แต่มันก็เป็นหนึ่งในอสูรสวรรค์ที่สามารถฝึกให้เชื่องง่ายที่สุด อันที่จริงข้ามีวิธีทำให้พวกมันเชื่องได้จริงๆ หากเราจับม้าปีศาจผีมาเป็นพาหนะได้ เราก็อาจจะไปถึงชายแดนเหนือของอาณาจักรภายใน 3 วัน”
“ม้าปีศาจผีเหล่านี้มีความอึดทนที่ยอดเยี่ยม และพวกมันก็สามารถแบกน้ำหนักได้ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของพวกมัน ความจริงภายในกองทัพตอนเหนือของอาณาจักรจ้งเทียน เรามีกองทหารพิเศษที่เรียกว่ากรมทหารม้าปีศาจผี มีเพียงกรมทหารนี้เท่านั้นที่สามารถต่อสู้กับกองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วด้วยจำนวนที่เท่ากันได้ และทั้งหมดก็ต้องยกความดีความชอบให้ม้าปีศาจผี อย่างไรก็ตาม ม้าปีศาจผีของพวกเขาล้วนได้รับการฝึกฝนและเลี้ยงดูมาในสภาพที่ถูกกักขังโดยมนุษย์และไม่อาจเทียบกับสัตว์ที่เติบโตและอาศัยอยู่ในป่าได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่นด้วยความตื่นเต้น หากพวกเขาแต่ละคนสามารถใช้อสูรสวรรค์ระดับปรมะเป็นพาหนะได้ ไม่เพียงความแข็งแกร่งและพลังโดยรวมของทุกคนจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ความคล่องตัวและความเร็วของพวกเขาก็จะพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนามรบภายภาคหน้า พาหนะที่ดีย่อมมีความสำคัญสูงสุดสำหรับแม่ทัพทั้งหลาย
“ม้าปีศาจผีพวกนี้จับง่ายไหม?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้
เมื่อเห็นว่าล่อลวงเขาสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ยิ้มให้กับตัวเองภายในใจก่อนจะพูดว่า “น่าจะ…มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ควรยากเกินไปสำหรับเรา ม้าปีศาจผีไม่สามารถโจมตีระยะไกลได้ และสาเหตุหลักที่ทำให้พวกมันได้รับการจัดอันดับให้เป็นอสูรสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรกก็เป็นเพราะร่างกายและสรีระของพวกมัน บนร่างกายของม้าปีศาจผีมีเกล็ดสีดำปกคลุมอยู่ทุกส่วน สามารถใช้ป้องกันทัณฑ์สายฟ้าที่ทรงพลังได้อย่างง่ายดาย นอกจากความเร็ว ความอึดทน ความแข็งแกร่ง และน้ำหนักที่สามารถแบกรับได้แล้ว ยังอาจกล่าวได้อีกว่าพวกมันเป็นม้าขี่ที่ดีที่สุดในแผ่นดิน”
โจวเหว่ยชิงลังเล มองไปที่ซ่างหลางและคนอื่นๆ พลางคิ้วขมวด
ตอนนี้คนอื่นๆ รู้แล้วว่าซ่างกวนเฟยเอ๋อร์คือใคร และสำหรับบุคคลที่มาจากวังสวรรค์ไพศาลเช่นหญิงสาวตรงหน้า เมื่ออีกฝ่ายยกย่องม้าปีศาจผีเหล่านี้เสียมากมายใหญ่โต ใครๆ ต่างก็สามารถจินตนาการได้ว่าอสูรสวรรค์เหล่านี้เหมาะสำหรับใช้เป็นม้าขี่เพียงใด ในช่วงเวลานั้นพวกเขาทุกคนจึงเผยให้เห็นความตื่นเต้นบนใบหน้า
หลินเทียนอ้าวพูดกับโจวเหว่ยชิง “เหว่ยชิง ถ้าไม่ใช่อสูรสวรรค์ระดับราชาหรือสูงกว่านั้น มันก็คุ้มที่จะเสี่ยงสำหรับเรา”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าช้าๆ เขารู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองก็มีข้อได้เปรียบในเรื่องนี้เช่นกัน เมื่ออยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง เด็กหนุ่มสามารถใช้กลิ่นอายของพยัคฆ์เทพอสูรมืดแผ่ออกไปกดดันให้อสูรสวรรค์ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเขายอมจำนน นอกจากนี้ ด้วยระดับพลังปราณในปัจจุบันและการวิวัฒน์พลังครั้งที่ 2 ของเขา การสร้างความหวาดกลัวให้กับอสูรสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรกก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ตัดสินใจได้ “เช่นนั้นพวกเราจะเดินผ่านป่าปีศาจผี อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบขบวน พี่ใหญ่ ท่านจะอยู่ข้างหน้าและรับผิดชอบการป้องกันโดยตรง เฟยเอ๋อร์ เจ้าจะอยู่ที่ด้านหลังของกลุ่มและเป็นฝ่ายป้องกันหลักที่ด้านหลัง หยุนลี่ เจ้าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนเคลื่อนที่ และไม่ว่าฝั่งไหนจะต้องการความช่วยเหลือ เจ้าสามารถตัดสินใจเคลื่อนย้ายไปช่วยได้เองตามสมควร”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้า ส่วนซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ยิ้มอย่างตื่นเต้น “ไม่ต้องห่วง หากมีข้าอยู่ด้วย ใครหรืออะไรก็ตามที่พยายามซุ่มโจมตีเราจากด้านหลัง ข้าจะจัดการพวกมันเอง!”
โจวเหว่ยชิงเพิกเฉยต่อหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะกล่าวต่อ “อู่หยา เจ้าจะขนาบอยู่ทางด้านซ้ายของเรา ส่วนขี้เมาเป่าอยู่ด้านขวา พวกเราที่เหลือจะอยู่ตรงกลาง สี่น้อย เจ้าจะรับผิดชอบในการสอดแนมและถ่ายทอดข้อมูล เซียวเอี๋ยน เจ้าและข้าจะอยู่จุดตรงกลางเพื่อโจมตีระยะไกล ซ่างหลาง เจ้าและพี่น้องคนอื่นๆ จะจับกลุ่มล้อมรอบตัวข้าและเซียวเอี๋ยน เมื่อพบศัตรู อย่าลงมือหากไม่มีคำสั่งของข้า เข้าใจไหม?”
ซ่างหลางพยักหน้าตกลงด้วยความเคารพ
หม่าฉุนเดินออกมาอย่างหงุดหงิด “แล้วข้าล่ะหัวหน้า?”
โจวเหว่ยชิงเหลือบมองเขาและพูดว่า “เจ้าไปอยู่ด้วยกันกับอู่หยา”
หม่าฉุนมองอย่างไม่พอใจขณะที่เขาพูดว่า “หัวหน้า นี่ท่านไม่ได้กำลังจะให้นางปกป้องข้าใช่ไหม? ตอนนี้ข้าก็ค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่พอตัว…” สองสามวันที่ผ่านมาเขาได้เรียนรู้มากมายจากหลินเทียนอ้าว แน่นอนว่าระดับพลังปราณในปัจจุบันของเขายังอยู่ในระดับต่ำมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโจวเหว่ยชิงและคนอื่นๆ ไม่อาจหาเวลาสร้างโล่ศาสตรามณียุทธ์ให้เขาได้ ดังนั้นในแง่ของระดับระดับพลังปราณ เขาจึงยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าซ่างหลาง แม้จะมีข้อได้เปรียบทางร่างกายและพลังขั้นสุดยอดของเขา แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงถูกจัดให้อยู่ในระดับที่เท่าเทียมกับซ่างหลางมากที่สุด
“เจ้าแข็งแกร่งมาก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าจึงไว้วางใจให้เจ้าปกป้องอู่หยา!” โจวเหว่ยชิงยกยิ้มขณะที่เขาเอ่ย
…
หลังจากจัดรูปแบบขบวนแถวแล้ว กลุ่มของพวกเขาก็หยุดพักครู่หนึ่งเพื่อรับประทานอาหารแห้งแบบเร็วๆ ก่อนจะออกเดินทางอีกครั้งและเลี้ยวไปยังถนนทางด้านซ้ายเพื่อมุ่งหน้าไปยังป่าปีศาจผี
ดวงอาทิตย์ลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า อากาศปลอดโปร่งและเย็นสบาย เมื่อถูกอาบไล้ด้วยแสงอบอุ่นของดวงอาทิตย์ กลุ่มที่กำลังเร่งเดินทางก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายของพวกเขากำลังแช่อยู่ท่ามกลางไอร้อนอันแสนเบาสบาย
หลังจากเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็เดินมาจนสุดถนน และเบื้องหน้าก็มีป่าทึบขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ น่าแปลกที่บรรดาต้นไม้ใบหญ้าที่นี่ดูเหมือนจะมีสีเข้มคล้ำกว่าป่าแห่งอื่น ทำให้ทั้งพื้นที่มีสีเขียวแก่ดุจน้ำหมึก เมื่อสายลมพัดผ่านไปก็ราวกับว่ามีทะเลลึกตั้งอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ฉากเหล่านี้ดูน่าขนลุกเล็กน้อย และป่าปีศาจผีก็สมควรได้รับการขนานนามเช่นนั้นอย่างแท้จริง
ที่สุดถนน ป้ายบอกทางขนาดใหญ่พลันปรากฏต่อหน้าพวกเขา
“ป่าปีศาจผี ขอเตือนว่ามีอสูรสวรรค์อาศัยอยู่ที่นี่ โดยกลุ่มที่ทรงพลังที่สุดอาศัยอยู่ ณ ใจกลางป่า จงน้อมรับความเสี่ยงทั้งหมดด้วยตัวเอง” ป้ายเตือนถูกปักไว้อย่างชัดเจนโดยอาณาจักรจ้งเทียน
“อสูรสวรรค์ที่ทรงพลัง?” โจวเหว่ยชิงหันไปมองที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์และเอ่ยถามอีกครั้ง
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ “นั่นสำหรับคนธรรมดา เจ้าเป็นคนธรรมดาหรือเปล่าล่ะ?”
โดยปกติแล้วโจวเหว่ยชิงเป็นที่คนเด็ดเดี่ยวและไม่ชอบทำตัวอ่อนปวกเปียก ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี่แล้ว ชายหนุ่มจึงจะไม่ยอมหันหลังกลับไปง่ายๆ และเขาก็เชื่อในสิ่งที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พูด ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราจะมุ่งหน้าเข้าไปในป่า ทุกคนเกาะกลุ่มกันไว้ พวกเราจำเป็นต้องตื่นตัวเต็มที่อยู่ตลอดเวลา สาวน้อยจอมมึน เจ้าอยู่ใกล้ข้า หากมีอันตรายปรากฏขึ้น เจ้าจะช่วยสนับสนุนและปกป้องพวกเรา”
โตวโตวตอบตกลงอย่างไม่ใส่ใจมากนัก การเดินทางอย่างต่อเนื่องไม่หยุดพักในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาทำให้เธอเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด
โจวเหว่ยชิงเข้าไปใกล้เธอและพูดด้วยน้ำเสียงแสนเย้ายวนใจ “ถ้าพวกเราสามารถล่าอสูรสวรรค์ได้ ข้าจะย่างเนื้ออร่อยๆ ให้เจ้ากิน ดีไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ดวงตาของสาวน้อยจอมมึนก็สว่างวาบขึ้นทันที และเธอก็พยักหน้าหงึกๆ อย่างรุนแรง
หยุนลี่ยืนที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ แค่นเสียงขณะที่พูดว่า “หัวหน้า ล่อลวงเด็กน้อยนี้มันไม่ดีนา”
โจวเหว่ยชิงมองไปที่หยุนลี่จากนั้นก็มองไปที่สาวน้อยจอมมึน “ไม่ใช่ว่าเจ้าอิจฉาในความสามารถของนางหรอกหรือ? ทำไมถึงปกป้องนางขนาดนี้ล่ะ?”
ใบหน้าของหยุนลี่กลายเป็นสีแดงน้อยๆ ขณะที่กล่าวว่า “นางเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ใสซื่อและอ่อนแอ การที่ข้าปกป้องนางมันผิดตรงไหน?”
โจวเหว่ยชิงมองเขาด้วยความประหลาดใจพลางพูดว่า “ตาแก่หยุน เจ้าตกหลุมรักสาวน้อยจอมมึนคนนี้หรือ?”
“เหลวไหล! ข้าจะไม่คุยกับเจ้าอีกแล้ว” หยุนลี่กล่าวอย่างโกรธเคือง แต่ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะมองอย่างไร เขาก็ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้อยู่ตลอดเวลา
ริมฝีปากของโจวเหว่ยชิงกระตุกขึ้นเป็นยิ้มขบขันขณะที่กล่าวว่า “การชอบใครสักคนย่อมเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว ในไม่ช้าก็ต้องแต่งงานและมีครอบครัว เจ้าจะกลัวอะไรกัน? ในโลกทุกวันนี้การจะหาหญิงไร้เดียงสาอย่างสาวน้อยจอมมึนนั้นยากมากทีเดียว เจ้าคงจะหาคนที่สองไม่ได้อีกแล้ว ตาแก่หยุน เจ้าจะต้องทำงานหนักเป็นสองเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการทำอาหาร...ถ้าเจ้าอยากให้สาวน้อยจอมมึนตกหลุมรักเจ้า เจ้าจะต้องสามารถเอาใจนางด้วยการทำให้ท้องของนางอิ่ม”
โตวโตวมองไปที่โจวเหว่ยชิง จากนั้นก็หันไปที่หยุนลี่ ใบหน้าของเธอฉายแววสับสน “พวกท่านพูดถึงเรื่องอะไร กัน? ทำไมข้าถึงไม่เข้าใจล่ะ?”
โจวเหว่ยชิงเหลือบมองไปที่หยุนลี่ซึ่งดูค่อนข้างประหม่าจากนั้นก็กล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรอก แต่ข้าเชื่อว่าในอนาคตตาแก่หยุนจะให้อาหารอร่อยๆ แก่เจ้ามากมายทีเดียว มาเถอะ เราต้องรักษารูปขบวนเอาไว้”
เมื่อมองไปที่โจวเหว่ยชิง หยุนลี่ก็อดไม่ได้ที่จะสรรเสริญเขาจากภายใน ทักษะการสังเกตของเพื่อนคนนี้แข็งแกร่งเกินไป เขาแทบไม่ได้เปิดเผยความสนใจที่มีแก่โตวโตวด้วยซ้ำ ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับเดาความคิดของเขาได้แล้ว
อันที่จริงโจวเหว่ยชิงเดาถูกและหยุนลี่ก็ตกหลุมรักสาวน้อยจอมมึนโตวโตวเข้าให้อย่างจังในไม่กี่วันที่พวกเขาใช้เวลาร่วมกันมา ครั้งแรกเป็นเพราะว่าหญิงสาวแสดงความสามารถในการสร้างศาสตรามณียุทธ์อย่างน่าเหลือเชื่อในเมืองเฟยหลี่ก่อนหน้านี้ หยุนลี่จึงให้ความสนใจกับเธอมาก
อย่างไรก็ตาม ยิ่งเขาสังเกตโตวโตวมากเท่าไหร่ เขาก็เริ่มชื่นชอบนิสัยของเธอมากขึ้นเท่านั้น ไร้เดียงสา ใสซื่อ และบริสุทธิ์เหมือนกระดาษขาว นอกจากการกินอาหารแล้ว เธอก็ไม่ได้มีงานอดิเรกอื่นๆ อีก หญิงสาวมักจะไม่พูดอะไรมากและไม่จู้จี้เกี่ยวกับอาหารของเธอด้วย ตราบใดที่มีอาหารให้กิน บนใบหน้าของโตวโตวก็มักจะฉายแววเปี่ยมสุขอยู่เสมอ หยุนลี่เริ่มสนุกกับการเฝ้าดูหญิงสาวผู้นี้กินอาหาร และไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาก็รู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังเคลิบเคลิ้มหลายต่อหลายครั้ง
สาวน้อยจอมมึนไม่ได้สังเกตหรือสัมผัสเกี่ยวกับความรู้สึกของหยุนลี่ได้เลย และเธอก็ยังคงทำตัวว่าง่ายอยู่ข้างๆโจวเหว่ยชิงต่อไป แม้ว่าโตวโตวจะชอบกิน แต่เธอก็ยังปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์ตลอดเวลา
…
เมื่อทั้งกลุ่มเดินผ่านเข้ามาในป่าปีศาจผี สิ่งแรกที่พวกเขาสังเกตเห็นคือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเนื่องจากที่นี่หนาวกว่าข้างนอกมาก ความจริงแล้ว สำหรับป่าที่มีพืชพันธุ์หนาแน่นเช่นนี้ เมื่อถึงฤดูร้อน อุณภูมิภายในจะเย็นลงอย่างมากเพราะมีพืชที่บดบังแสงแดดไม่ให้ส่องลงมาถึงเบื้องล่าง อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาในป่าปีศาจผีแห่งนี้ ที่นี่น่าจะมีอุณหภูมิอย่างน้อย 5 องศาหรือต่ำกว่าปกติมากทีเดียว
จากภายนอก ป่าปีศาจผีดูค่อนข้างมืดมนและน่าขนลุก แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปข้างในจริงๆ กลับรู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่ง ไม่เพียงแต่อากาศจะแจ่มใสและเย็นสบายเท่านั้น แต่ยังมีความชุ่มชื้นเล็กน้อยอีกด้วย เมื่อได้สูดหายใจเข้าลึกๆ หลายๆ ครั้งก็ราวกับว่าความกังวลและความเหนื่อยล้าทั้งหมดจะละลายหายไปในพริบตา ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจของพวกเขารู้สึกผ่อนคลายและไร้กังวล
จู่ๆ สี่น้อยก็หายตัวไปในระยะไกลๆ เพื่อทำการสอดแนมโดยที่โจวเหว่ยชิงไม่ได้เอ่ยปาก ทั้งกลุ่มชะลอตัวเล็กน้อย พวกเขามุ่งหน้าเข้าไปในป่าต่อด้วยความระมัดระวัง
ทุกคนกำลังเดินไปตามเส้นทางอย่างระวังตัวเนื่องจากป่าแห่งนี้น่าจะเต็มไปด้วยบรรดาอสูรสวรรค์
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ความระมัดระวังนี้ก็เลือนหายไปอย่างช้าๆ มีอสูรสวรรค์อยู่อย่างแน่นอน แต่จำนวนของพวกมันมีน้อย ทั้งยังอยู่ห่างไกลกันและไม่ได้มีระดับพลังสูงมากเกินไป ส่วนใหญ่เป็นระดับปฐมหรือระดับปรมะขั้นแรกเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถป้องกันตัวได้อย่างง่ายดายด้วยแนวป้องกันที่ขนาบอยู่ทั้งสองฝั่ง
โจวเหว่ยชิงถือธนูอุษาดำไว้ในมือพร้อมกับจับตาดูสภาพแวดล้อมอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพวกเขากำลังวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ เด็กหนุ่มจึงไม่สามารถใช้พลังคงรูปธนูราชันย์ได้ตลอดเวลาเพราะนั่นจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังปราณสวรรค์อย่างมหาศาล ด้วยธนูอุษาดำ เขาจึงพอจะสามารถจัดการกับเหตุการณ์ธรรมดาส่วนใหญ่ได้
4 ชั่วโมงต่อมา ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจหยุดเดินทางและตั้งค่ายพักแรมขึ้น
การตั้งค่ายเป็นทักษะติดตัวของแต่ละคน ดังนั้นซ่างหลางและผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่คนอื่นๆ จึงได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ พวกเขาเลือกพื้นที่โล่งที่ตั้งอยู่ค่อนข้างสูง ตัดต้นไม้ส่วนหนึ่งออกมาวางเป็นรั้วแนวกั้นเล็กๆ ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะยังคงสามารถมองเห็นพื้นที่รอบๆ ได้ในมุมกว้างโดยไม่ต้องกังวลว่าแนวกั้นที่จะช่วยชะลอการโจมตีของอสูรสวรรค์จะบดบังทัศนวิสัย