Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 120 โดมท้าประลอง (1)
เมื่อเห็นค่ายทหารในระยะไกลๆ ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็มองไปที่โจวเหว่ยชิงและพูดว่า “อ้วนน้อยโจว เราควรเข้าร่วมกรมทหารไหนดี?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าเราจะเข้าร่วมกับกรมไหน แค่เลือกมาสักที่ก็พอ”
ทั้งคู่นำม้าปีศาจผีกลับเข้าไปในแหวนมิติก่อนจะเดินไปยังค่ายทหารที่ใกล้ที่สุด
เมื่อเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าในบริเวณรอบนอกของค่ายทหารขนาด 500 เมตรนี้ แต่ละแห่งมีสิ่งปลูกสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ตั้งอยู่ มันมีรูปทรงกลมและมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางเกือบ 100 เมตร มีการออกแบบที่เรียบง่าย เกือบจะเหมือนหินทรงกลมขนาดใหญ่ที่ไร้ฝาปิด พวกเขามองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างใน แต่มีทหารจำนวนมากกำลังเดินเข้าๆ ออกๆ สิ่งปลูกสร้างนั้นอยู่
ทันใดนั้น โจวเหว่ยชิงก็คิดกับตัวเองว่า นี่น่าจะเป็นโดมท้าประลอง!
ในขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ค่ายทหาร ทันใดนั้นหน่วยหนึ่งที่ประกอบไปด้วยทหารม้าอาวุธเบาสิบคนก็พุ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของคนทั้งคู่
ทหารม้าอาวุธเบาเหล่านี้สวมชุดเกราะหนังเบา มีฝักดาบคล้องอยู่ที่เอวและมีธนูยาวพาดที่ด้านหลัง ข้างลำตัวม้าของพวกเขามีแล่งธนูแขวนไว้ 2 อัน และที่ศีรษะม้าก็ได้รับการปกป้องด้วยเกราะหนัง พวกเขามาพร้อมกับชุดทหารสีน้ำเงินของกองทัพอาณาจักรจ้งเทียน ทหารเหล่านี้ดูองอาจกล้าหาญและมีกลิ่นอายที่ดุร้าย
“หยุด!” หัวหน้าหน่วยตะโกนสั่งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ “นี่คือพื้นที่เขตทหาร ห้ามผู้ใดเข้า”
โจวเหว่ยชิงเผยรอยยิ้มซื่อตรงอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างรวดเร็วก่อนจะกล่าวว่า “พี่ใหญ่ท่านนี้ พวกเรามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกับกองทัพ”
“เข้าร่วมกับกองทัพ?” หัวหน้าหน่วยทหารม้ามองดูพวกเขาเป็นเวลานานก่อนที่จะพยักหน้าว่า “ดูจากรูปร่างของเจ้าแล้วก็พอใช้ได้ แต่สำหรับเขา…อาจจะยังขาดไปสักเล็กน้อย” โดยธรรมชาติแล้วผู้ที่ ‘ขาด’ คุณสมบัติไปเล็กน้อยนั้นย่อมเป็นซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ที่มีรูปร่างเพรียวบาง
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไม่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งๆ หน้ามาตลอดชีวิต และในทันใดนั้น หญิงสาวก็ปะทุขึ้นมาทันที ทว่าก่อนที่เธอจะทันได้สูญเสียการควบคุมตนเอง โจวเหว่ยชิงก็รีบคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้และบีบแน่นเพื่อส่งสัญญาณให้รู้ตัว
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์รู้ดีว่าเขากำลังบอกเป็นนัยว่าห้ามระเบิดอารมณ์ออกมา แต่เมื่อได้จับมือเขาเช่นนี้ จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย ฝ่ามือของโจวเหว่ยชิงร้อนมาก มือเรียวหนาของเขามั่นคงและหนักแน่น ขณะถูกฝ่ายตรงข้ามกุมมือไว้เช่นนี้ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กลับรู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างมาก ในขณะนั้นเธอจึงค่อยๆ กลืนความโกรธลงท้องไป
“มากับข้าสิ” ภายใต้การนำของหัวหน้าหน่วยหน่วย ทหารม้าจึงหมุนตัวกลับและมุ่งหน้าไปยังภายในค่ายทันที โจวเหว่ยชิงจึงรีบดึงซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ให้เดินตามไปด้านหลังหน่วยทหารนั้นเช่นกัน
ด้วยการคุ้มกันของหน่วยทหารม้า พวกเขาจึงไปถึงสิ่งปลูกสร้างทรงกลมที่เห็นก่อนหน้านี้ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นหัวหน้าหน่วยก็ลงจากหลังม้า
“พี่น้องกรมทหารที่ 16 มีใครอยู่แถวนี้บ้างไหม?” เขาตะโกนไปยังอาคารทรงกลมนั้นเสียงดัง
ชายหนุ่ม 3 คนมุ่งหน้าออกมาจากภายในทันที พวกเขาเป็นทหารราบที่สวมเกราะหนังเหมือนกัน ทว่าหนากว่าและครอบคลุมร่างกายได้มากกว่า นอกจากนี้ อาวุธของพวกเขายังเป็นหอกยาว ไม่ใช่ดาบยาวดังเช่นหน่วยทหารม้าเบา
“มีอะไรขอรับ?” ทหารราบที่สูงและอ้วนที่สุดคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าก่อนจะเอ่ยถาม
หัวหน้าหน่วยทหารม้าชี้ไปที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก่อนจะพูดว่า “ชายหนุ่ม 2 คนนี้ต้องการจะเข้าร่วมกองทัพ ข้าฝากพวกเขาไว้กับเจ้าด้วย”
ทหารราบร่างสูงหัวเราะอย่างเต็มเสียงและกล่าวว่า “ขอบคุณมาก เอาล่ะ เจ้าสองคนมากับข้า” ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขากวักมือเรียกโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ให้ตามไป
เวลานี้โจวเหว่ยชิงได้ปล่อยมือของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์แล้ว ถึงอย่างไรในสายตาของคนอื่น พวกเขาทั้งคู่ก็เป็นผู้ชาย และถ้าหากยังเดินจับมือกันต่อไป นั่นก็คงจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก
ขั้นตอนการลงทะเบียนเป็นทหารถูกจัดขึ้นในอาคารทรงกลมนี้ และความสนใจของโจวเหว่ยชิงก็ถูกจุดประกายขึ้นมาในทันที นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นว่าทหารราบคนอื่นๆ ต่างพยายามจัดแถวรายล้อมตัวทั้งคู่ไว้ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายนั้นยังไม่ได้ไว้ใจพวกเขาเลยซะทีเดียว
ทันทีที่เข้าไปในอาคารทรงกลมเบื้องหน้า ทั้งคู่ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายดุเดือดร้อนแรงซึ่งเล็ดลอดออกมาจากภายใน
ด้านในของอาคารทรงกลมนั้นดูเรียบง่ายมาก บางทีอาจจะมากกว่าที่เห็นภายนอกเสียด้วยซ้ำ ด้านในเป็นสนามรูปวงกลม ล้อมรอบไปด้วยแท่นนั่งโลหะที่มีขนาดและความสูงต่ำแตกต่างกันออกไป เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาอย่างดี มั่นคง ทนทาน และเรียบง่ายมาก ในเวลานี้ที่นั่งทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยผู้คน ตรงกลางเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ นอกจากพื้นที่ตรงกลางประมาณ 30 ตารางเมตรซึ่งเป็นเวทีกลมที่แกะสลักขึ้นจากหินแล้ว พื้นที่อื่นๆ ก็ยังแบ่งออกเป็น 10 สนามย่อยที่แตกต่างกันออกไป ทั้งยังมีการต่อสู้ในทุกๆ สนามอีกด้วย
บริเวณนั้นเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย เสียงโห่ร้องยินดี เสียงร้องอย่างโกรธเกรี้ยว และแม้แต่เสียงตะโกนที่ไม่รู้ที่มา
แค่เข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ แม้กระทั่งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกว่าอารมณ์ของพวกเขาปะทุขึ้น เลือดในกายพลันเดือดพล่านไปพร้อมๆ กับฝูงชนทั้งหมดที่นี่
ทหารราบร่างสูงที่นำพวกเขามายิ้มและพูดว่า “เป็นยังไงบ้าง? โดมท้าประลองของเราไม่ได้แย่ขนาดนั้นใช่ไหม? มาเถอะ ให้ข้าช่วยพาเจ้าไปลงทะเบียนก่อน ภายหลังหากเจ้าสนใจก็สามารถเข้ามาเล่นในโดมท้าประลองแห่งนี้ได้ พวกเรากรมทหารที่ 16 ล้วนแล้วแต่เคารพผู้ที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ!”
ขณะพูดเช่นนั้น เขาก็พาทั้งคู่ไปที่มุมด้านในสุดของอาคารซึ่งมีโต๊ะหลายตัวตั้งกันอยู่เรียงราย เขาเดินอ้อมไปด้านหลังและหยิบหนังสือเล่มใหญ่ออกมาจากใต้โต๊ะ
“บอกชื่อพวกเจ้าทีละคน”
“อ้วนน้อยโจว” เป็นอีกครั้งที่โจวเหว่ยชิงใช้นามแฝงที่คุ้นเคยของเขา สิ่งที่ตามมาคือขั้นตอนการลงทะเบียนง่ายๆ อ้วนน้อยโจวและซ่างกวนเฟย ทั้งสองเป็นพลเมืองของอาณาจักรจ้งเทียน
ในไม่ช้า ขั้นตอนการลงทะเบียนก็เสร็จสมบูรณ์ และทหารร่างสูงก็ยื่นแผ่นโลหะธรรมดาๆ ให้พวกเขาก่อนจะกล่าวว่า “เอาล่ะ จากนี้ไปเจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของกรมทหารที่ 16 ของเรา และนี่คือตราประจำตัวของเจ้า ประการแรก มีบางสิ่งที่เราจะแจ้งให้เจ้าทราบในตอนนี้ กรมทหารที่ 16 ของเราเป็นส่วนหนึ่งของกองพลที่ 7 ของอาณาจักรซึ่งประกอบไปด้วย 10 กรมทหาร และแม้ว่าจะถูกเกณฑ์เข้ามาแล้ว แต่เจ้าก็ยังต้องได้รับการมอบหมายหน้าที่ตามความสามารถของตนเอง ท้ายที่สุดหากความสามารถของเจ้ายังไม่สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยนี้ เจ้าก็จะถูกมอบหมายให้ไปอยู่ที่หน่วยขนส่งหรือหน่วยทำอาหาร ดังนั้นเจ้าทุกคนจึงต้องทุ่มเทให้มากๆ”
“การสอบเข้านั้นง่ายมาก หลังจากนี้เจ้าจะได้เข้าร่วมสนามประลองระดับเริ่มต้นในโดมท้าประลอง หากเจ้าชนะ นั่นหมายความว่าเจ้าสอบผ่าน แน่นอนว่าเจ้าสามารถสู้รอบต่อๆ ไปได้อีกหากชนะ และยิ่งเจ้าชนะในรอบถัดไปมากเท่าไหร่ หน้าที่ความรับผิดชอบและตำแหน่งของเจ้าก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น โดยปกติแล้วหากทำผลงานได้ดีก็ไม่จำเป็นต้องร่วมฝึกกับเหล่าทหารเกณฑ์ หาไม่แล้ว เจ้าก็จะยังต้องเข้าร่วมการฝึกอยู่ดี ในบรรดาหน่วยทหารทั้งหมดที่นี่ หน่วยที่ดีที่สุดคือหน่วยทหารม้าอาวุธหนักของเรา แต่ในการจะเข้าร่วมกับพวกเราได้นั้น เจ้าจะต้องผ่านการฝึกเฉพาะทางด้วย”
โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย “พี่ใหญ่ ท่านช่วยบอกเกี่ยวกับกฎของโดมท้าประลองได้หรือไม่? ที่เมืองเทียนเป่ยข้าได้ยินมาว่าหากทำผลงานได้ดีที่นี่ เราจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นนายทหารยศสูงขึ้นด้วย”
ทหารร่างสูงยิ้มอย่างดูแคลนเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “น้องชายน้อย การจะเป็นผู้บัญชาการทหารไม่ใช่เรื่องง่าย ในทุกๆ สนามที่นี่มีทหารนับไม่ถ้วนที่หวังจะใช้เส้นทางลัดนี้เพื่อไปถึงสรวงสวรรค์และสร้างชื่อให้ตัวเองในคราวเดียว น่าเสีย ดาย ความสำเร็จนั้นอยู่ห่างไกลมากจนเกินไป เพราะเจ้าสนใจอยากจะรู้ ดังนั้นข้าก็จะบอกเจ้าไว้ เรื่องนี้ค่อนข้างเหมือนกันในทุกกรมทหาร”
“เจ้าน่าจะได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว โดมท้าประลองของเราประกอบด้วยสนามเล็กๆ 10 สนาม และสนามเวทีหลักตรงกลาง สำหรับ 10 สนามด้านนอก ทุกๆ คนจะสามารถเข้าร่วมได้และยังเป็นสิ่งที่ข้าเรียกว่าสนามระดับเริ่มต้นก่อนหน้านี้อีกด้วย การต่อสู้ทั้งหมดจะดำเนินไปโดยห้ามใช้อาวุธใดๆ และเฉพาะในกรณีที่เจ้าสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามติดต่อกัน 10 รอบในสนามระดับเริ่มต้นเท่านั้น เจ้าจึงจะมีคุณสมบัติให้สามารถเข้าสู่การสนามประลองระดับกลาง ในขณะเดียวกัน หากทำเช่นนั้นได้ เจ้าก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าหมู่โดยตรง หลังจากนั้นจะมีผู้คุมสังเวียนระดับกลางทั้งหมด 20 คนที่รับผิดชอบการแข่งในระดับนี้ และพวกเขาก็จะจับฉลากเพื่อประลองกับผู้ที่ชนะ 10 รอบติดต่อกันจากรอบเริ่มต้น ในทำนองเดียวกัน ถ้าเจ้าชนะผู้คุมสังเวียนระดับกลางเหล่านี้ติดต่อกันได้ 5 คน เจ้าจะได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นผู้บัญชาการกองร้อย เป็นผู้นำทหารกว่าร้อยคน! ในขณะเดียวกัน เจ้าก็จะได้รับโอกาสให้สามารถท้าผู้คุมสังเวียนของกรมทหารทั้งหมดให้ต่อสู้ด้วยได้ เข้าใจหรือไม่?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าเอาชนะผู้คุมสังเวียนของกรมทหารได้? ข้าจะได้เป็นผู้บัญชาการกองพันหรือไม่?”
ทหารร่างสูงหัวเราะร่วนก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม อย่าพยายามวิ่งก่อนคลานเลย เกรงว่านั่นจะเป็นการทำอะไรเกินตัวมากไปหน่อย เจ้าเนี่ยนะคิดจะเอาชนะผู้คุมสังเวียนของกรมทหาร? อย่ามัวแต่ฝันกลางวันเลย เอาล่ะ มานี่ ข้าจะพาเจ้าไปสนามแข่งระดับเริ่มต้น”
ทหารตัวสูงคนนั้นเดินนำไป โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ตามเขาไปยังหนึ่งใน 10 สนามประลองระดับเริ่มต้น ทหารร่างสูงหยุดเดินและเอ่ยว่า “ในสนามประลองระดับเริ่มต้น ชัยชนะทุกครั้งจะถือเป็นเงินรางวัล 1 เหรียญเงิน ในเวลาเดียวกัน ผู้แข่งขันก็สามารถเดิมพันข้างตัวเองได้ ทว่าแต่ละครั้งจะลงได้เพียง 1 เหรียญเงินเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ผู้ชมร่วมเดิมพัน เข้าใจหรือไม่?”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ทหารร่างสูงพูดต่อ “ดีมาก เจ้ารอที่นี่ ข้าจะไปจัดเตรียมสนามให้เจ้าต่อสู้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นจงอยู่ที่นี่และเตรียมตัวให้พร้อม ข้าขอเตือนเจ้าก่อน พี่น้องของเราทุกคนที่นี่เคยก้าวผ่านเปลวไฟแห่งสงคราม เหตุการณ์นองเลือดและฆ่าฟันในการสนามรบจริงๆ มาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจจะจัดการได้ง่ายๆ
ที่ด้านข้างของสนามประลองระดับเริ่มต้นแต่ละแห่งมีผู้ดูแลอยู่สองสามคน สำหรับสนามของพวกเขา มีชายซึ่งสวมชุดเกราะแหวนและหมวกเกราะที่ประดับขนนกสีแดงอยู่ 2 คน
ในกองทัพจ้งเทียน ยศของเจ้าหน้าที่ทหารอาจแยกแยะได้จากขนนกที่ประดับบนหมวกของพวกเขา เรียงตามสีของสายรุ้ง จากต่ำไปสูง สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า สีน้ำเงิน และสีม่วง อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าหน้าที่ทหารจะสามารถครอบครองหมวกเกราะนี้ได้ อย่างน้อยพวกเขาก็จะต้องเป็นผู้บัญชาการระดับกองร้อยขึ้นไป กล่าวคือชาย 2 คนนี้เป็นผู้บัญชาการกองร้อยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับต่ำในกองทัพ
ทหารร่างสูงก้าวไปข้างหน้าเพื่อรายงานต่อผู้บัญชาการกองร้อยทั้ง 2 ด้วยความเคารพ และหนึ่งในนั้นก็พยักหน้าให้เขาก่อนจะเอ่ยบางอย่างเบาๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ทหารร่างสูงก็กลับมาที่ฝั่งของโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ “มานี่ ตามข้ามา”
เวลานี้เป็นช่วงหยุดพักระหว่างการต่อสู้ เนื่องจากการต่อสู้ครั้งก่อนในสนามนี้เพิ่งจบลงและสนามก็กำลังถูกจัดการอยู่
ทหารร่างสูงคนนั้นนำโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไปหาหัวหน้ากองร้อยทั้ง 2 ซึ่งดูจะมีอายุประมาณ 30 ปี รูปร่างใหญ่โตและแข็งแรงบึกบึน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีขนาดตัวใหญ่ยักษ์เหมือนหลินเทียนอ้าว อู่หยาหรือหม่าฉุน แต่ในแง่ของรูปร่าง พวกเขาก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับโจวเหว่ยชิง
เมื่อมองเห็นร่างกายที่แข็งแรงกำยำของโจวเหว่ยชิง ผู้บัญชาการกองร้อยทั้ง 2 ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ หนึ่งในนั้นรีบกล่าวว่า “เอาล่ะ ส่งน้องชาย 2 คนนี้ลงไปเล่นในรอบต่อไป มาดูกันว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ระวังให้ดีล่ะ อย่าใช้กำลังมากเกินไปจนเผลอทำร้ายทหารใหม่ของเรา”
โจวเหว่ยชิงส่งสัญญาณให้ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ด้วยสายตา และเธอก็เข้าใจความนัยของเขาในทันที โดยธรรมชาติแล้วเขาเตือนหญิงสาวไม่ให้เปิดเผยพลังของตนเองมากเกินไป โดยเฉพาะมณีสวรรค์ของเธอ หลังจากจ้องมองเด็กหนุ่มกลับเพียงเสี้ยววินาที ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ก้าวเข้าสู่เขตการต่อสู้
เมื่อมองเห็นรูปร่างที่ผอมเพรียวและบอบบางของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ ซึ่งจะเป็นคนแรกที่ออกไปสู้ก่อน ผู้บัญชาการกองร้อยที่นั่งทางซ้ายก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่เลว ไม่เลว ช่างกล้าหาญเสียจริงๆ มอบชุดอุปกรณ์ป้องกันให้เขาเสีย”