Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 120 โดมท้าประลอง (2)
ทหารที่อยู่ข้างๆ รีบนำชุดเกราะหนังและหมวกเกราะมาให้ทันที
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ส่ายหัว บ่งบอกว่าเธอไม่ต้องการมัน และเมื่อถึงเวลานี้ คู่ต่อสู้ของเธอก็ได้เข้าสู่พื้นที่ประลองแล้ว
ฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็กหนุ่มที่ดูแข็งแกร่ง เต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้และความมีชีวิตชีวาของคนรุ่นเยาว์ กล้ามเนื้อที่นูนขึ้นมาเกือบทำให้เครื่องแบบทหารดูรัดติ้วไป ทั้งหมดล้วนทำให้เขาดูดุดันสมกับเป็นชายชาติทหารคนหนึ่ง
“น้องชายไม่ต้องกังวลไป พี่ใหญ่คนนี้จะไม่รังแกเจ้า ถึงอย่างไรเราทุกคนก็อยู่ในกรมทหารเดียวกันอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มหัวเราะขณะที่เอ่ยกับซ่างกวนเฟยเอ๋อร์
หญิงสาวส่งเสียงหึในลำคอ ทว่าไม่ได้ตอบโต้กลับ เธอทำเพียงงอนิ้วเรียกเขาแล้วพูดว่า “เข้ามา”
เด็กหนุ่มหัวเราะและพูดว่า “โอ้ กล้าหาญดี ข้าชอบ เอาล่ะ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ!” เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็พุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ที่ด้านข้างพลางเฝ้าดูอย่างเยือกเย็น มองเพียงปราดเดียวเขาก็สามารถบอกได้ว่าเด็กหนุ่มฝ่ายตรงข้ามไม่มีพลังปราณสวรรค์เลย ทว่าร่างกายของเขากลับยอดเยี่ยมมาก การเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว จากลักษณะภายนอก ความแข็งแกร่งของเขาย่อมต้องเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป สมกับเป็นทหารชั้นยอดที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
แท้จริงแล้วชายหนุ่มคนนี้เป็นนักสู้ที่มีประสบการณ์โชกโชน ด้วยการพุ่งจู่โจมเพียงครั้งเดียวนี้ เขาก็ไปถึงตัวซ่าง กวนเฟยเอ๋อร์แล้ว มือซ้ายของชายหนุ่มแสร้งทำท่าฟาดไปที่ใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม ทั้งหมดก็เพื่อดึงดูดความสนใจของเธอเป็นหลักในขณะที่มือขวาพุ่งออกไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย
อย่างที่เขาพูดเมื่อสักครู่ เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ และการโจมตีทั้งหมดก็ถูกออกแบบมาเพื่อที่จะจับ ‘เขา’ และโยน ‘เขา’ ออกจากสนาม
เมื่อเห็นการโจมตีรูปแบบนั้น โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาลงพลางคร่ำครวญกับตัวเอง เฮ้อ พี่ชายคนนี้ดวงซวยแล้ว แม้จะมีเจตนาดี แต่เขาคนนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ตนกำลังเผชิญหน้าอยู่นี้เป็นผู้หญิงจริงๆ การที่เขาพยายามคว้าไปที่หน้าอกของหญิงสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่รู้จักกันในนามปีศาจน้อยแห่งวังสวรรค์ไพศาลนั้น…
พลังของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อยู่ในระดับใดน่ะหรือ? แม้จะไม่มีพลังปราณสวรรค์ แต่ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของเธอก็ยังเหนือกว่าคนปกติทั่วๆ ไป เช่นนี้หญิงสาวจะถูกหลอกด้วยวิธีง่ายๆ ได้อย่างไร? เมื่อเห็นคู่ต่อสู้คว้าเข้ามาที่หน้าอกของเธอ หญิงสาวก็พลันรู้สึกโมโหขึ้นมา ทว่าเธอกลับก้าวต่อไปข้างหน้าแทนที่จะถอยหนี หญิงสาวไถลร่างลงเล็กน้อยเพื่อพลิกตัวกลางอากาศ จากนั้นมือของเธอก็พุ่งออกไป
ชายหนุ่มฝ่ายคู่ต่อสู้ที่ประเมินเธอต่ำไปจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามือทั้งสองข้างของเขาชาหนึบ ทันใดนั้นร่างขนาดใหญ่ของเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศ หมุนคว้างไปรอบๆ ก่อนจะกระแทกลงกับพื้นอย่างโหดเหี้ยมเสียงดังกึกก้อง
มีทหารจำนวนมากกำลังเฝ้าดูการต่อสู้ด้วยความสนใจ และในพริบตานั้นพวกเขาก็ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง การเคลื่อนไหวของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์รวดเร็วเกินไปและไม่มีใครเห็นได้ชัดเจนว่าเธอลงมืออย่างไร ราวกับว่าร่างทั้งสองนั้นเคลื่อนไหวเป็นเงาเลือนลาง ก่อนที่นักสู้หนุ่มคนนั้นจะถูกโยนทิ้ง
แม้แต่ผู้บัญชาการกองร้อยทั้ง 2 ก็สัมผัสได้ว่าซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไม่ได้ใช้พลังปราณสวรรค์ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของเธอเอง
“เป็นทักษะต่อสู้ที่น่าประทับใจจริงๆ! ดูเหมือนว่ากรมทหารที่ 7 ของเราจะมีผู้กล้าคนใหม่แล้ว!” ผู้บัญชาการกองร้อยที่นั่งทางด้านซ้ายเริ่มปรบมือ
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไม่ได้แลตามองไปยังคู่ต่อสู้ที่เพิ่งจะพ่ายแพ้ของตน อีกทั้งยังกลับไปยืนที่ด้านข้างของโจวเหว่ยชิงแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดชายหนุ่มฝ่ายตรงข้ามก็ลุกขึ้นยืน ด้วยร่างกายที่กำยำของเขา การถูกโยนออกนอกสนามจึงไม่ได้ทำให้บาดเจ็บอะไรเลย ทว่ามันก็ยังทำให้ชายหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ที่สำคัญคือเขาตกใจและประหลาดใจกับการสูญเสียอย่างกะทันหันเช่นนี้ เนื่องจากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาพ่ายแพ้ไปได้อย่างไร เด็กหนุ่มจึงก็รีบเดินออกไปด้านข้างด้วยความอับอาย
ผู้บัญชาการกองร้อยยกนิ้วให้ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก่อนจะพูดว่า “ดีมาก ข้าไม่คาดคิดเลยว่าน้องชายจะมีทักษะที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้แม้จะมีรูปร่างที่เพรียวบางก็ตาม เจ้าต้องการจะลองอีกรอบไหม? คราวนี้ข้าจะหาคนที่แข็งแกร่งกว่าให้”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ส่ายหัว ปรากฏเป็นภาพของชายหนุ่มผู้แสนเชื่อฟังและไม่มีพิษภัย “ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกองทัพกับนายน้อยของข้า แค่สามารถอยู่เคียงข้างนายน้อยได้ ข้าก็พอใจแล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดเทียบกับนายน้อยได้หรอกขอรับ เขาเป็นผู้ที่ทรงพลังอย่างแท้จริง”
เมื่อมองไปยังรูปลักษณ์ที่ไม่มีพิษภัย ทั้งซื่อสัตย์ และแสนเชื่อฟังของเธอ โจวเหว่ยชิงก็แทบจะกระอักเลือดออกมา เขาคิดมาตลอดว่าทักษะการแสดงของตนเองนั้นยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่ง แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มตระหนักได้แล้วว่าเมื่อเปรียบเทียบกับซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ เขาก็เป็นได้เพียงแค่ตัวแสดงแทนเท่านั้น โชคดีที่เธอเชื่อฟังคำสั่งของเขา ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
ความประทับใจที่โจวเหว่ยชิงมีต่อซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ดีขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น อย่างน้อยเธอก็สามารถมองภาพรวมของสถานการณ์ออกและไม่ก่อความวุ่นวาย
“โอ้?” ผู้บัญชาการกองร้อยทั้งสองหันไปหาโจวเหว่ยชิงทันที มองเด็กหนุ่มด้วยความสนอกสนใจ
โจวเหว่ยชิงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ ใบหน้าของเขาฉายแววเรียบง่ายและซื่อสัตย์ขณะที่กล่าวว่า “ตระกูลของข้าตกต่ำมานานแล้ว นอกจากข้ารับใช้น้อยที่เต็มใจจะติดตามข้าคนนี้แล้ว พวกเราก็ไม่มีคนอื่นอีก นั่นคือเหตุผลที่ข้ามาร่วมกองทัพ”
ผู้บัญชาการกองร้อยที่นั่งทางขวากล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ลงมือและแสดงพลังของเจ้าออกมา หากเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ เจ้าจะไม่ถูกทอดทิ้งหรือกลบฝังอยู่ในกรมทหารที่ 17 ของเราอย่างแน่นอน”
“ดี” โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมาก่อนจะก้าวเข้าไปในเขตการประลอง
เมื่อเขาเข้าสู่สนาม ทุกคนก็รู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นทหารเก่าแก่ที่มีประสบการณ์โชกโชน ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงเข้ามาอยู่ในค่ายทหาร ขณะที่เขาเข้าร่วมกับกองทัพอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เด็กหนุ่มก็มีอายุเพียง 13-14 ปีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้เวลาอยู่ในค่ายทหารมากนัก แต่ทั้งหมดก็ประทับอยู่ในใจเขาไม่รู้ลืม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่เขาได้อยู่ร่วมกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์
เมื่อโจวเหว่ยชิงเข้ามาในเขตสนาม ผู้บัญชาการกองร้อยทั้งสองก็สบตากันก่อนจะพยักหน้า พวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบสนามประลองระดับเริ่มต้นโดยเฉพาะ และทั้งคู่ก็สามารถจัดลำดับการต่อสู้และเลือกคู่ต่อสู้ให้แต่ละคนได้
ทหารหนุ่มอีกคนที่มีอายุประมาณ 20 ปีกระโดดเข้ามายังใจกลางสนามประลองทันที ดวงตาของเขามีแววหนักแน่นและเคร่งขรึมมากกว่าคู่ต่อสู้คนก่อนหน้านี้ของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ เขาจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างมุ่งมั่น ราวกับว่าทุกการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มจะอยู่ภายใต้การเฝ้าจับตาดูของเขา เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ไม่ได้ดูถูกคู่ต่อสู้เหมือนทหารคนก่อนหน้า
ผู้บัญชาการกองร้อยตะโกนออกมา “เริ่มได้!”
ทหารหนุ่มพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิงโดยไม่ลังเล จากนั้นก็พุ่งไปด้านข้างอย่างกะทันหันในทิศทางที่คาดเดาไม่ได้ ชายหนุ่มวนเวียนอยู่รอบตัวโจวเหว่ยชิงเพื่อพยายามมองหาจุดบอด
โจวเหว่ยชิงหัวเราะและกล่าวว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องลงทุนทำเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ ข้ามีจุดบอดมากมายที่ท่านสามารถใช้ประโยชน์ได้ นี่!” ขณะพูดอย่างนั้น เขาก็กางแขนออกกว้าง เปิดเผยร่างกายให้คู่ต่อสู้สำรวจทุกส่วน
เมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงกำลังดูถูกและเหยียดหยามตน สีหน้าของชายหนุ่มก็ดูโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที ในพริบตานั้น เขาจึงพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิงอย่างไม่ลังเล การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วและมีพลังปราณสวรรค์เจือปนอยู่เล็กน้อย เขาใช้ข้อศอกซึ่งเป็นส่วนที่แข็งที่สุดในร่างกายมนุษย์ฟาดไปที่หน้าอกของโจวเหว่ยชิงโดยตรง
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมคือโจวเหว่ยชิงไม่แม้แต่จะพยายามหลบการโจมตีนั้น เขายืนอยู่ที่เดิมในท่ากางแขนออก ปล่อยให้คู่ต่อสู้ฟาดหน้าอกของเขาโดยตรง
*ปั่ก* เกิดเสียงดังกึกก้องขณะที่ข้อศอกกระแทกเข้ากับหน้าอกของโจวเหว่ยชิงอย่างโหดเหี้ยม ทว่ากลับเป็นทหารหนุ่มเสียเองที่มีสีหน้าตกใจและหวาดกลัว นั่นเป็นเพราะเขากำลังรู้สึกเหมือนข้อศอกเพิ่งจะกระแทกเข้ากับกระดานโลหะ แรงต้านที่รุนแรงและแข็งแกร่งนั้นจึงส่งผลให้ทั้งแขนของเขาชาหนึบไปหมด
เมื่อมาถึงจุดนี้ ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ลงมือบ้าง แขนที่กางออกของเขาพลันหุบเข้าจับไหล่ของทหารหนุ่ม ยกร่างของอีกฝ่ายขึ้นอย่างง่ายดายในขณะที่กดมือลงไปยังจุดตายบริเวณไหปลาร้า ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มเบื้องหน้าชาไปทั้งตัว
“เจ้าไม่ใช่คู่ของข้า คนต่อไป?” ขณะที่พูดอย่างนั้น โจวเหว่ยชิงก็ปล่อยเขาลงกับพื้นอย่างแรง
ในแต่ละวันโดมท้าประลองจะมีการต่อสู้เกิดอย่างน้อย 10 รอบหรือมากกว่านั้น ในช่วงเวลาที่ไม่มีศึกสงคราม เหล่าทหารจะได้รับช่วงเวลาพักผ่อนที่มากมายจนน่าเบื่อหน่าย ทหารส่วนใหญ่จึงมาฆ่าเวลาว่างกันที่นี่ อย่างไรก็ตาม ผู้ชมรอบข้างกลับไม่เคยได้เห็นการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน
สายตาของผู้บัญชาการกองร้อยทั้งสองนั้นเฉียบคมกว่าทหารทั่วๆ ไป และโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงสามารถบอกได้ว่าแม้การต่อสู้ครั้งนี้จะดูธรรมดา ทว่าความจริงแล้วมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
พวกเขารู้ดีว่าทหารหนุ่มนั้นแข็งแกร่งเพียงใด พลังปราณสวรรค์ของเขาอยู่ในระดับแรกด้วยซ้ำ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไม่ใช่จ้าวมณี แต่ก็ต้องแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังใช้ศอกในการโจมตี พลังของมันจะต้องมีอย่างน้อย 100 จินขึ้นไป และหากถูกกระแทกที่บริเวณหน้าอก ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดก็ตาม แม้จะมีพลังปราณสวรรค์สักสองสามระดับใช้ป้องกันตัวเอง แต่เขาผู้นั้นก็ย่อมจะต้องรู้สึกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นบ้างแน่นอน
การที่โจวเหว่ยชิงสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้อย่างง่ายดายในลักษณะเช่นนี้ สำหรับผู้บัญชาการกองร้อยทั้งสองแล้ว ก็มีความเป็นไปได้เพียง 2 ประการคือ หนึ่งโจวเหว่ยชิงเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นที่ผิดธรรมชาติ สามารถปลดปล่อยการโจมตีได้อย่างที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้ สอง เขาเป็นจ้าวมณีที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง
“คนถัดไป เฒ่าโม่ เจ้าออกไป”
“ขอรับ”
ทหารวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปีกระโดดออกมา เขาไม่ได้กำยำมากนักและสูงประมาณ 1.5 เมตรเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าโจวเหว่ยชิง ชายผู้นี้ก็ดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ด้วยซ้ำ เขาผอมแห้งจนเกือบจะเหมือนไม้เสียบผี ทว่าการเคลื่อนไหวกลับคล่องแคล่วว่องไว
ในโดมท้าประลองไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากนัก และเขาก็คำนับโจวเหว่ยชิงง่ายๆ ด้วยท่ากำปั้นประกบฝ่ามือ หลังจากพริบตานั้น ชายที่ชื่อเฒ่าโม่ก็พุ่งเข้าใส่โจวเหว่ยชิงทันที
ทว่าก่อนที่เขาจะไปถึงร่างของโจวเหว่ยชิง ทหารผู้นั้นก็กระโดดไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ปลายเท้าของเขากระแทกพื้นขณะที่ไถลไปข้างหลังเด็กหนุ่ม ก่อนจะใช้มือฟาดลงไปที่สันคอด้วยความฉับไวโดยไร้ความลังเล
อนิจจา เขากำลังเผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิงซึ่งไม่แม้แต่จะหันกลับมามองสถานการณ์ข้างหลัง ในทางตรงกันข้าม เด็กหนุ่มกลับเอนร่างไปข้างหน้าเล็กน้อยและปล่อยให้มือของเฒ่าโม่ฟาดลงบนคอของเขา ทว่าขณะที่ฝ่ามือของฝ่ายตรงข้ามกำลังจะมาถึงคอของโจวเหว่ยชิง เขาก็คว้าจับมันเอาไว้ได้เสียก่อน ด้วยประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าคนทั่วๆ ไป มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่เด็กหนุ่มจะทำเช่นนั้นได้
ในช่วงเวลาถัดมา เฒ่าโม่ที่มีร่างกายผอมโซก็ถูกยกขึ้นด้วยแขนข้างเดียว ลากออกไปและกระแทกลงกับพื้น ในเวลาเดียวกับที่ร่างของทหารผู้นั้นกำลังจะแตะพื้น โจวเหว่ยชิงก็พุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยขาขวา ใช้ปลายเท้าช่วยประคองก้นของเขาเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ฟาดกับพื้นแรงเกินไป ก่อนจะส่งชายคนนั้นออกนอกสนามไปอย่างนุ่มนวล
เห็นได้ชัดว่าเขาออมมือ และเฒ่าโม่ก็ต้องล่าถอยด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ด้วยชัยชนะสองครั้งติดต่อกัน โจวเหว่ยชิงจึงกลายเป็นจุดรวมความสนใจของทุกคนในทันที รูปแบบการต่อสู้ของเขาสุดแสนจะตรงไปตรงมา ทว่ากลับมีประสิทธิภาพมาก เขาไม่ได้แสดงพลังโอ้อวดหรือท่าที่ยิ่งใหญ่หรูหรา เพียงแค่ยอมรับหมัดจากจากคู่ต่อสู้ง่ายๆ คว้าฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาในช่วงเวลานั้นและ…การต่อสู้ก็จบลงทันที ง่ายๆ เพียงเท่านี้เอง
อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ ผู้บัญชาการกองร้อยทั้ง 2 ต่างก็กำลังขัดแย้งกันอย่างหนัก มันเป็นเรื่องดีที่จะได้พบกับทหารใหม่ๆที่มีความสามารถ แต่การได้พบกับเขาในสนามที่ตนรับผิดชอบเช่นนี้ ทั้งคู่ก็รู้สึกเพียงว่าอึดอัดใจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้บัญชาการกองร้อยทั้งสองจะอยากสอนบทเรียนให้โจวเหว่ยชิง แต่พวกเขาจะยังส่งใครออกไปได้อีกเล่า!