Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 64.2 กลุ่มนักรบเฟยหลี่ (2)
ทั้ง 5 คนแต่งกายด้วยชุดรัดรูปสีเขียวเข้ม ในหมู่พวกเขา คนที่อยู่ตรงกลางด้านหน้าสุดของกลุ่มมีแถบสีทองคาดอยู่รอบๆ ชุดคลุมในขณะที่คนอื่นๆ เป็นแถบสีเงิน บริเวณหน้าอกด้านซ้ายของพวกเขามีสัญลักษณ์ดาบคู่สีทองขนาดเล็กเท่าไข่ไก่ประดับอยู่ เครื่องแต่งกายเหล่านั้นทำให้พวกเขาดูองอาจและสง่างาม
ในบรรดาคนทั้ง 5 คนที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดคือคนที่อยู่ทางซ้าย คนผู้นั้นสูงเกือบ 2 เมตร มีลาดไหล่กว้าง ลักษณะดูหนักแน่นทรงพลัง อีกทั้งมือขนาดใหญ่ทั้งสองข้างก็ยังโดดเด่นมาก ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือยักษ์ใหญ่ผู้นี้เป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวในบรรดากลุ่มคนทั้ง 5!
หน้าตาของนักเรียนหญิงคนนี้ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร ในความเป็นจริงใบหน้าของเธอกลับตรงกันข้ามกับรูปร่างภายนอกด้วยซ้ำ เธอมีดวงตากลมโตคู่หนึ่ง ใบหน้ารูปไข่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยนพร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่ดูมีเสน่ห์ อย่างไรก็ตาม เมื่อหันไปมองร่างกายที่ใหญ่โตของเธอ นั่นจึงกลายเป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าตกใจไปเสียหน่อย รูปร่างนั้นไม่อาจเรียกได้ว่ามีเสน่ห์ยั่วยวน บางทีคำว่าสาวน้อยผู้แข็งแกร่งอาจฟังดูยุติธรรมมากกว่า
แน่นอนว่านักเรียนหญิงคนนี้เป็นคนที่ดึงดูดความสนใจของทั้ง 3 ไปได้มากที่สุด แต่สายตาของโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่เธอเป็นเวลานานนัก พวกเขารีบหันหน้าหนีและมองคนที่อยู่ตรงกลางทันที นั่นเป็นเพราะนี่คือบุคคลที่พวกเขารู้จัก! เขาคือหลินเทียนอ้าว จ้าวมณีสวรรค์ประเภทป้องกันขั้นสุดยอดที่มีมณี 5 ชุดพร้อมกับชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้น คนที่เพิ่งเดิมพันกับโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่…และพ่ายแพ้!
“ทำไมเป็นเขาล่ะ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจ
โจวเหว่ยชิงหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็วและขยับกายเข้าหาเธอ ไม่นานหญิงสาวก็สงบลงและปิดปากเงียบ
เย่เป่าเปามองพวกเขาอย่างอยากรู้อยากเห็นและพูดว่า “เจ้ารู้จักพวกเขา? ทั้ง 5 คนนี้น่าจะเป็นสมาชิกหลักในกลุ่มนักรบอาณาจักรเรา”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ข้าเคยเห็นคนที่อยู่ตรงกลางมาก่อนแล้ว เขาเป็นหัวหน้ากลุ่มหรือ?”
ขณะนี้หลินเทียนอ้าวได้นำอีก 4 คนเดินมาหาพวกเขาแล้ว หากโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จำเขาได้ แน่นอนว่าหลินเทียนอ้าวก็ต้องจำพวกเขาได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงจ้องมองทั้ง 2 คนด้วยความงุนงงเล็กน้อย เมื่อทั้งสองฝ่ายขยับเข้าใกล้กันมากยิ่งขึ้น มีเพียงนักเรียนหญิงคนเดียวเท่านั้นที่มองพวกเขาอย่างสนอกสนใจ ส่วนอีก 3 คนที่เหลือดูเบื่อหน่ายและไม่ได้ใส่ใจพวกเขาเท่าไหร่นัก
เมื่อหลินเทียนอ้าวหยุดเดิน เย่เป่าเปาก็มุ่งหน้าเข้าไปทักทายเขา “สวัสดี ข้าชื่อเย่เป่าเปา พวกเรา 3 คนเป็นตัวแทนจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่และจะเข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์กับพวกท่าน ได้โปรดดูแลพวกเราด้วย”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและยื่นมือขวาไปหาเย่เป่าเปาขณะที่เขาพูดว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก”
โจวเหว่ยชิงยิ้มให้เขาและพูดว่า “การประลองมณีสวรรค์คือธุระที่เจ้าต้องไปจัดการเป็นเวลา 3 เดือนงั้นหรือ?”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกล่าวว่า “ท่านเป็นนักเรียนของโรงเรียนทหารเฟยหลี่จริงหรือ?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “อันที่จริงข้าเป็นหัวหน้าห้องของห้องเรียนเอกสามัญชั้นปีที่ 1 ชื่อโจวเหว่ยชิง สวัสดีทุกๆ คน”
ปากของหลินเทียนอ้าวกระตุกเล็กน้อยขณะที่เขาคิดกับตัวเอง ไม่เพียงแต่มาจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่ แต่ยังเป็นเพียงนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งเท่านั้น? ด้วยความสามารถและระดับพลังปราณเช่นนี้ ทำไมเขาถึงไม่เข้าร่วมกับโรงเรียนเจ้ามณี! อนิจจา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ เขาไม่อาจทำอะไรได้แล้ว
นักเรียนร่างใหญ่อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างสงสัย “หัวหน้า ท่านรู้จักเขาหรือ?”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกำลังจะเปิดปาก แต่โจวเหว่ยชิงกลับรีบพูดแทรกขึ้นว่า “ข้าโชคดีที่ได้รู้จักกับหัวหน้าหลินในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่วันในศูนย์การค้า” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาก็ส่งสัญญาณบางอย่างให้หลินเทียนอ้าวอย่างรวดเร็วด้วย
แม้หลินเทียนอ้าวจะไม่รู้ว่าทำไมโจวเหว่ยชิงถึงต้องการปกปิดความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่เขาก็ยินดีที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของอีกฝ่าย ท้ายที่สุดแล้วการประลองมณีสวรรค์ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขาและเขาไม่ต้องการให้เกิดผลกระทบใดๆ กับการแข่งขันในครั้งนี้
หลินเทียนอ้าวกล่าวว่า “ข้าจะแนะนำทุกคนให้รู้จัก” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาก็ชี้ไปที่ ‘หญิงงามร่างยักษ์’ และพูดว่า “นี่คืออู่หยา อายุ 21 ปี และยังเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 1 คนเดียวของเราในกลุ่ม นางเพิ่งเข้าร่วมกับโรงเรียนของเราในปีนี้และมีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งที่ทรงพลังมาก เจ้ามณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุด มณี 3 ชุด”
อู่หยา (แปลว่าอีกา)? เด็กผู้หญิงมีชื่อเช่นนี้ด้วยหรือ? โจวเหว่ยชิงรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะชอบหญิงงาม แต่ด้วยขนาดร่างกายที่ใหญ่โตของเธอ เธอจึงไม่ใช่ประเภทที่เขาชอบสักเท่าไหร่
อู่หยายิ้มและพูดว่า “สวัสดีทุกคน” เสียงของเธอทุ้มกว่าเด็กผู้หญิงทั่วไป ทว่าก็เป็นโทนเสียงที่มีเอกลักษณ์มาก
จากนั้นหลินเทียนอ้าวก็ชี้ไปที่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ อู่หยาซึ่งเป็นเด็กผู้ชายตัวผอมที่มีรูปร่างแตกต่างกับเธออย่างมาก เขาสูงเพียงแค่ 1.5 เมตรเท่านั้น “เราทุกคนเรียกเขาว่าเจ้าสี่น้อย เจ้าสามารถเรียกเขาแบบนั้นได้เช่นกัน เขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรก มณี 4 ดวง”
เจ้าสี่น้อยไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่แสยะยิ้มขณะจ้องมองไปยังอีกฝ่าย ทันใดนั้นทั้ง 3 คนก็รู้สึกสั่นสะท้านราวกับถูกงูรัด
จากนั้นหลินเทียนอ้าวก็ชี้ไปยังเพื่อนตัวใหญ่ที่ถามคำถามเขาก่อนหน้านี้ “นี่คืออาเป่า เราทุกคนเรียกเขาว่าขี้เมาเป่า นอกจากความหลงใหลต่อสุรารสเลิศของเขาแล้ว เขาก็ไม่มีข้อบกพร่องอื่นๆ อีก จ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลาง มณี 5 ชุด”
คนต่อมาคือนักเรียนคนสุดท้ายที่ไม่มีคุณสมบัติโดดเด่นใดๆ หน้าตาของเขาดูธรรมดา รูปร่างก็ธรรมดาอีกทั้งดวงตาของเขาก็ดูไร้อารมณ์มาก เขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่ง “เซียวเอี๋ยน จ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลาง มณี 5 ชุด”
ในที่สุดก็ถึงตาเขาแนะนำตนเอง “ข้าชื่อหลินเทียนอ้าว และข้าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนักรบเฟยหลี่ในการประลองนี้”
โจวเหว่ยชิงรับฟังเขาอย่างเงียบๆ ในขณะเดียวกันก็สังเกตท่าทีของทั้ง 5 คนที่อยู่ตรงหน้าเขาไปด้วย เขาพบว่านอกจากหลินเทียนอ้าวแล้ว คนที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงอันตรายคือเซียวเอี๋ยน แม้ว่าเขาจะดูไร้อารมณ์ แต่เขากลับให้ความรู้สึกราวกับว่าสามารถกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมได้ คนแบบนี้อาจดูธรรมดามาก แต่ทว่ากลับเป็นคนที่อันตรายที่สุด
หลินเทียนอ้าวหรี่ตาพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม ทันใดนั้นก็ราวกับมีแสงเจิดจ้าสว่างไสวออกมาจากตัวของพวกเขา “หากไม่เป็นการโอ้อวดมากเกินไป อาจกล่าวได้ว่าพวกเราเป็นกลุ่มนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยลงสนามประลองมาแล้ว เป้าหมายของพวกเรานั้นง่ายมาก การเข้าสู่ 4 อันดับแรก”
หากก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงและเย่เป่าเปาสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของสมาชิกในกลุ่มหลัก หลังจากได้เห็นทั้ง 5 คนและฟังหลินเทียนอ้าวแนะนำตัวแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าทั้ง 5 คนนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่มีอะไรให้ต้องพูดให้มากความเกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ชุดอีกแล้ว สำหรับคนที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี การมาถึงระดับเช่นนี้ได้ขณะที่อายุยังน้อยแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีพลังและความสามารถมากแค่ไหน สำหรับเจ้าสี่น้อยที่มีมณี 4 ชุด มองจากท่าทางของเขาแล้ว เขาอาจจะมีมณียุทธ์ประเภทว่องไวหรือความเร็วที่มีพรสวรรค์สูงมาก สำหรับอู่หยา การที่เธอสามารถเป็นตัวแทนของโรงเรียนเจ้ามณีในขณะที่มีมณีเพียง 3 ดวงก็บ่งบอกแล้วว่าเธอจะต้องมีความพิเศษบางอย่างเช่นกัน
ในฐานะหัวหน้าของสมาชิกกลุ่มโรงเรียนทหารเฟยหลี่ เย่เป่าเปารีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเช่นกัน พวกเรามาจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่ และข้าจะแนะนำตัวสั้นๆ นี่คือโจวเหว่ยชิง จ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุด มณี 3 ชุด ส่วนนี่คือซ่างกวนปิงเอ๋อร์…เอ่อ…แม่นางปิงเอ๋อร์ ข้าเกรงว่าข้าจะไม่รู้ระดับพลังปราณของเจ้า”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยิ้มและพูดว่า ข้าก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดที่มีมณี 3 ชุดเช่นกัน”
เย่เป่าเปาพยักหน้าและกล่าวว่า “สำหรับตัวข้า ข้าคือเย่เป่าเปา จ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรกที่มีมณี 4 ชุด อีก 3 เดือนต่อจากนี้พวกเราจะติดตามพวกท่านไปเข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์ ได้โปรดช่วยดูแลพวกเราด้วย”
นักเรียนร่างผอมแห้งนามว่าเจ้าสี่น้อยเบ้ปากอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องสรรหาคำพูดสวยหรูให้มากความ พวกเจ้าเป็นแค่ตัวสำรอง ส่วนใหญ่ก็มาที่นี่เพียงเพื่อชมดูการต่อสู้เท่านั้น ไม่ใช่เข้ามาร่วมกลุ่มกับพวกเราเสียหน่อย จงรู้ฐานะของตัวเองและอย่าทำให้พวกเราเดือดร้อนก็แล้วกัน”
แสงเยียบเย็นผุดขึ้นมาในดวงตาของเย่เป่าเปาขณะที่สายตาของเขาแข็งกระด้างขึ้น เขาเป็นผู้นำของนักเรียนชนชั้นสูงและยังเป็นหลานชายของเสนาบดีอาณาจักรเฟยหลี่ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เคยถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน เขาพยายามทำตัวสุภาพและอดทนอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่คำพูดของสี่น้อยก็ยั่วยุเขาจนหน้ามืดเช่นกัน หากเขายังฝืนอดทนต่อไป เขาก็คงจะไม่ใช่เย่เป่าเปา ผู้นำคนต่อไปของตระกูลเย่แล้ว
“พวกเรารู้ฐานะของตัวเองดีและก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อพยายามต่อสู้กับท่านหรือฉกฉวยผลประโยชน์จากชื่อเสียงของพวกท่านแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม โปรดจำไว้ว่าเรามาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนกองทัพอาณาจักรเฟยหลี่เช่นกัน บางทีความสามารถในการต่อสู้ของเราอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าพวกท่าน แต่ในฐานะทหาร ถ้าท่านยังดูถูกพวกเราต่อไปเช่นนี้ พวกเราก็คงจะต้องกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับพวกท่านเสียแล้ว”
เย่เป่าเปากล่าว 2-3 คำสุดท้ายอย่างเฉียบขาดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง กลิ่นอายของขุนนางผู้สูงศักดิ์แผ่กระจายออกมาทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงเห็นเย่เป่าเปามีท่าทางช่นนี้ เขาพยักหน้าให้กับตัวเอง เย่เป่าเปาคนนี้ไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยง่ายๆ แค่แรงกดดันจากกลิ่นอายของเขาเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนได้แล้ว
การแสดงออกของสี่น้อยเปลี่ยนไปทันที “หึ ศัตรูคู่อาฆาตงั้นรึ ข้าเองก็อยากเห็น…” ขณะที่กำลังจะพูดต่อ เขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยประกายเย็นเหยียบในดวงตาของหลินเทียนอ้าว
หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือตัวสำรอง นับจากนี้เป็นต้นไปพวกเราก็จะเป็นกลุ่มเดียวกันและเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกันแล้ว เราจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายในครั้งนี้ให้ได้ ข้าจะไม่ยอมให้การทะเลาะวิวาทใดๆ สร้างปัญหากับกลุ่มอย่างแน่นอน”
สี่น้อยมองไปที่เย่เป่าเปาอีกครั้ง ทว่าดวงตาของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความรังเกียจ
ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็พูดแทรกออกมาอย่างเฉื่อยชา เขาหาวหวอดขณะเดินไปที่ด้านข้างของเย่เป่าเปา ขณะนี้รูปลักษณ์ของเขาไม่มีอะไรน่ายกย่องเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้านแล้ว แต่รูปลักษณ์ที่ผอมซูบไร้เรี่ยวแรงและรอยคล้ำรอบดวงตาของเขาก็เป็นสิ่งไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้ เขาแทบไม่ได้นอนในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำ จิตวิญญาณจึงทรุดโทรม อีกทั้งพลังของเขาก็เหลือน้อยเต็มที่
“หัวหน้าหลิน ก่อนจะออกเดินทางข้ามีคำถามจะถามท่าน” โจวเหว่ยชิงบิดตัวอย่างเกียจคร้านขณะที่เขาหันไปถามหลินเทียนอ้าว
หลินเทียนอ้าวจ้องมองอีกฝ่าย หลังจากพ่ายแพ้ให้แก่โจวเหว่ยชิงเขาก็อารมณ์ไม่ดีมา 2-3 วันแล้ว แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจจะกลับไปแก้ไขอะไรได้ อย่างไรเขาก็ถูกประทับตราไปเสียแล้ว อีกทั้งยังไม่มีทางทำลายมันได้ การเข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์นี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นความปรารถนาสุดท้ายของเขาก่อนที่จะต้องไปเข้าร่วมกับโจวเหว่ยชิงเพื่อรักษาสัญญาของตนเอง ใครจะรู้ว่าเขาจะได้พบกับเด็กเจ้าเล่ห์ผู้นี้อีกครั้ง เขาค่อนข้างขยาดแผนการชั่วร้ายของโจวเหว่ยชิง กลัวว่าเขาจะต้องการทำลายโอกาสในการประลองของพวกเขาในครั้งนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง เขาก็ถามขึ้นอย่างเคร่งขรึมทันที “คำถามอะไรหรือ?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ข้าแค่อยากถามว่าการกำหนดสมาชิกในทีมหลักและการเปลี่ยนตัวสมาชิกนั้นขึ้นอยู่กับพลังและความแข็งแกร่งหรือไม่? หากสมาชิกในทีมหลักอ่อนแอกว่าตัวสำรอง…ควรมีการเปลี่ยนตำแหน่งกันหรือไม่?”