Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 67.1 ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ (1)
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าถนัดธนูยิงเร็ว แม้ว่าพลังในการต่อสู้ของข้าจะเทียบไม่ได้กับอ้วนน้อย ข้าไม่มีทักษะควบคุมเหมือนเขา แต่อัตราความเร็วในการยิงของข้าก็เหนือกว่าเขา หัวหน้าหลิน ท่านก็ปฏิบัติกับข้าเหมือนเป็นนักธนูจ้าวมณี 3 ดวงทั่วๆ ไปคนหนึ่งเถอะ” เธอระบุความสามารถของตนเองทันทีเพื่อให้หลินเทียนอ้าวสามารถจัดวางกลยุทธ์ของเขาได้ ท้ายที่สุดพวกเขาก็เป็นกลุ่มเดียวกันแล้ว ถ้าผู้นำไม่ทราบความสามารถของคนในกลุ่ม เขาจะวางแผนใช้ความสามารถของคนทั้งกลุ่มให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
หลินเทียนอ้าวพยักหน้ายอมรับ แม้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจไม่ได้มีพลังมากมายนัก แต่หญิงสาวผู้งดงามไม่มีใครเทียบได้คนนี้ก็ให้ความรู้สึกเป็นกันเองและสบายใจมาก
“เอาล่ะ หน้าที่ของเจ้าคือเน้นโจมตีระยะไกล แต่อย่าไปไกลเกิน 5 หลาจากตัวข้าล่ะ” แน่นอนว่าหลินเทียนอ้าวย่อมต้องอยากปกป้องซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ไม่ใช่แค่เพราะเธออ่อนแอที่สุดในกลุ่ม แต่ยังเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเธอกับโจวเหว่ยชิง ในฐานะผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิง การปกป้องคนรักของเจ้านายจึงเป็นสิ่งที่เขาพึงกระทำ
เกือบ 15 นาทีหลังจากที่โจวเหว่ยชิงหายเข้าไปในถ้ำกับเจ้าแมวอ้วน สี่น้อยก็กลับมาจากการสำรวจ สีหน้าของเขาดูซีดเซียวขณะพุ่งตรงไปหาหลินเทียนอ้าว “หัวหน้า เกิดเรื่องแย่แล้ว! ตอนที่ข้าสอดแนมบริเวณรอบๆ ข้าสังเกตเห็นว่าพวกสัตว์และอสูรตัวเล็กๆ ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากบางสิ่งบางอย่าง ทุกตัวอยู่ในสภาพที่ถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวถึงขีดสุด แม้ว่าพวกมันดูเหมือนจะหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่ก็เถอะ แต่สิ่งที่พวกมันทั้งหมดเป็นเหมือนกันทุกตัวคือจ้องมองไปยังทิศทางเดียวกันตลอด และนั่นก็คือทิศทางที่พวกเราอยู่ เสือขาวตัวน้อยของโจวเหว่ยชิงเป็นตัวอะไรกันแน่? แค่วิวัฒน์ระดับขึ้นธรรมดาๆยังทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นขนาดนี้…ดูเหมือนว่าเหล่าอสูรสวรรค์ที่อยู่ใกล้ๆก็ถูกดึงดูดมาที่นี่ด้วยเช่นกัน”
หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วมุ่น แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ พวกเขาก็จะต้องปกป้องโจวเหว่ยชิงและแมวอ้วนเอาไว้ให้ได้ ดังนั้นขณะนี้ทุกคนจึงได้แต่พยายามภาวนาให้ไม่มีอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังอยู่แถวๆ นี้
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทว่าสภาพแวดล้อมก็ยังคงเงียบสงบ หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมง สมาชิกทุกคนที่รู้สึกวิตกกังวลก็ผ่อนคลายลงในที่สุด แต่ทว่าหลินเทียนอ้าวก็ยังคงไม่ยอมลดความระแวดระวังและสั่งการให้ทุกคนประจำที่เอาไว้ให้ดี
ทันใดนั้นเสียงคำรามที่ฟังดูโกรธเกรี้ยวก็ดังออกมาจากทางทิศตะวันตก แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้มากนัก แต่คลื่นเสียงที่ดูน่าเกรงขามนั้นก็ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป
หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ทุกคนเตรียมตัว”
หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นเหม็นสาบก็โชยมาในอากาศ ทันใดนั้นแผ่นดินก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นเมื่ออสูรสวรรค์ขนาดใหญ่จำนวน 8 ตัวปรากฏกายขึ้นมาพร้อมๆ กัน
อสูรสวรรค์เหล่านี้มีรูปร่างเหมือนสิงโต และจ่าฝูงที่เดินนำหน้าก็มีความยาวเกือบ 4 เมตร และความสูง 1.5 เมตร! แผงคอของพวกมันเป็นสีแดงเพลิง ดวงตาที่ฉายประกายดุร้ายก็มีสีแดงก่ำคล้ายเม็ดทับทิมสีแดง มีสิงโตอีก 7 ตัวขนาบอยู่ข้างๆ สิงโตตัวใหญ่นี้ แม้ว่าพวกมันจะไม่มีแผงคอเหมือนตัวจ่าฝูงก็ตาม ด้วยเหตุนี้ พวกมันทั้งหมดจึงน่าจะเป็นตัวเมีย เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พวกมันมีเหมือนๆ กันคือขนสีแดงเพลิงที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งตัว
ทันทีที่สิงโตฝูงนี้ปรากฏกายขึ้น พวกมันก็แตกแถวเป็นรูปครึ่งวงกลมและล้อมพวกเขาที่เฝ้าหน้าถ้ำเอาไว้ทันที ไม่นานก็ส่งเสียงขู่คำรามออกมาอย่างต่อเนื่อง
สิงโตจ่าฝูงแหงนคอคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างโกรธเกรี้ยว เสียงนั้นทำให้สมาชิกในกลุ่มรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง เห็นได้ชัดว่าเสียงคำรามที่พวกเขาได้ยินก่อนหน้าก็มาจากสิงโตตัวนี้เช่นกัน
กรงเล็บของสิงโตทั้ง 8 กวาดไปมาที่พื้นอย่างกระสับกระส่าย แสดงให้เห็นถึงสภาพอารมณ์ที่ไม่มั่นคงขณะที่พวกมันจ้องมองไปยังปากถ้ำด้านหลังพวกเขา
หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ทุกคนระวังให้ดี พวกนี้คือสิงโตโลหิตเพลิง สิงโตตัวผู้น่าจะมีพลังอยู่ในระดับเทวะขั้นแรก ส่วนสิงโตตัวที่เหลือน่าจะเป็นระดับปรมะขั้นกลาง นี่เป็นปัญหาแน่…หากมีโอกาสจัดการพวกมัน…ห้ามลังเลเด็ดขาด”
อู่หยายิ้มเย็น สะบัดมือนำขวานออกมา จากนั้นก็หมุนควงขวานยักษ์ในมือเป็นรูปวงกลมด้วยท่าทีสบายๆ สำหรับขี้เมาเป่าที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของหลินเทียนอ้าว เขายิ้มเยาะอย่างเย็นชาขณะที่ยกข้อมือขึ้น มณีหยกดำทั้ง 5 ดวงพลันปรากฏขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่ามณียุทธ์ของเขาเป็นประเภทความทรหด ไม่นานมณีของเขาก็ส่องแสงเป็นประกายวูบวาบขณะที่มันแปรเปลี่ยนเป็นกระบองสีดำสนิทในมือของเขา ในเวลาเดียวกันชุดเกราะสีดำที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันก็ก่อตัวขึ้นรอบๆ ศีรษะ หน้าอก เอว และข้อมือของเขา เห็นได้ชัดว่าศาสตรามณียุทธ์ของเขาคือชุดศาสตรามณียุทธ์และยังไม่ใช่ชุดที่เสร็จสมบูรณ์! นี่เป็นการออกแบบของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะขั้นสูงสุด และทั้งชุดก็น่าจะประกอบไปด้วยศาสตรามณียุทธ์จำนวนไม่น้อยกว่า 8 ชิ้น
ปีกศาสตรามณียุทธ์ของสี่น้อยก็ถูกปลดปล่อยออกมาเช่นกัน เขาบินขึ้นไปลอยตัวอยู่เหนืออากาศขณะที่จ้องมองไปยังเหล่าสิงโต เตรียมพร้อมจะลงมือหากถึงคราวจำเป็น หน้าที่ของเขาคือก่อกวนและขัดขวางการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
เซียวเอี๋ยนและเย่เป่าเปาต่างก็หมุนเวียนพลังปรานสวรรค์ของพวกเขาออกมาเช่นกัน ที่น่าแปลกใจคือทั้งคู่เรียกไม้คฑาสั้นออกมาไว้ในมือ พวกมันมีความยาวประมาณ 4 ฉื่อและมีลูกแก้วคริสตัลทรงกลมติดอยู่ด้านบน
ไม้คฑาเหล่านี้เป็นศาสตรามณียุทธ์ชนิดพิเศษซึ่งมีไว้เสริมพลังให้กับทักษะกักเก็บในมณีธาตุของพวกเขา พวกมันเหมาะกับจ้าวมณีสวรรค์ที่เน้นใช้พลังธาตุเข้าโจมตีมากที่สุด
หลินเทียนอ้าวยืนอยู่ตรงใจกลางของกลุ่ม เขายกมือขวาขึ้นปลดปล่อยโล่ประสานศาสตรามณียุทธ์ออกมา แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีเพียง 3 ชิ้นก็ตาม ดวงตาของเขาจดจ่ออยู่ที่สิงโตจ่าฝูงอย่างแน่วแน่ สำหรับสมาชิกจากโรงเรียนเจ้ามณี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ ก่อนหน้านี้เพื่อฝึกฝนการทำงานเป็นกลุ่ม พวกเขาเคยใช้เวลาช่วงหนึ่งออกล่าอสูรสวรรค์ด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าสิงโตโลหิตเพลิงทั้ง 8 ที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขาจะทรงพลังมาก แต่พวกมันก็รู้ว่าต้องสงบและไม่วู่วาม
*โฮกกกกก* สิงโตโลหิตเพลิงตัวผู้หันหน้าไปทางหลินเทียนอ้าวและส่งเสียงคำรามอย่างป่าเถื่อนขณะที่มันใช้อุ้งเท้าขวากระแทกพื้นอย่างรุนแรง ร่างกายของมันดูเหมือนสว่างไสวขึ้นมาด้วยเปลวเพลิงสีแดงเลือด ราวกับว่าขนของมันกำลังติดไฟอยู่ นอกจากนี้ก็ไม่ใช่แค่จ่าฝูงเท่านั้น สิงโตตัวอื่นๆ ก็ทำตามอย่างรู้งาน แม้ว่าเปลวไฟของมันจะดูอ่อนกำลังกว่าจ่าฝูงมากก็ตาม
“มาแล้ว!” หลินเทียนอ้าวตะโกนบอกคนในกลุ่ม
ในขณะที่เขาตะโกนออกไป สิงโตทั้ง 7 ก็ตั้งท่าพร้อมสู้ทันที ในบรรดาอสูรสวรรค์ประเภทสิงโตทั้งหมด สิงโตโลหิตเพลิงถือว่าแข็งแกร่งน้อยกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะอ่อนแอ เนื่องจากพวกมันมีความแข็งแกร่งทางกายภาพสูงมาก ผิวหนังหนาๆ ของพวกมันนับว่าใช้เป็นเกราะป้องกันตามธรรมชาติได้เป็นอย่างดี และเมื่อพวกมันโจมตีคู่ต่อสู้ก็ยังมีเปลวไฟพิเศษซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้ศัตรูได้อย่างสาหัสอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของพวกมันคือการโจมตีระยะไกล ดังนั้นพวกมันจึงถูกจัดอันดับไว้ค่อนข้างต่ำ แม้แต่ราชาสิงโตโลหิตเพลิงที่มีพลังมากที่สุดก็อยู่ในระดับเทวะขั้นกลางเท่านั้น ด้วยเหตุนี้สิงโตจ่าฝูงก็น่าจะยังมีระดับพลังไม่มากไปกว่าตัวราชา
ขณะที่สิงโตทั้ง 7 กระโจนออกมาข้างหน้า ความเร็วของพวกมันก็ดูน่าอัศจรรย์มาก ราวกับว่าในพริบตาเดียวก็มีเลือด 7 สายกำลังพุ่งเข้าหาคนทั้งกลุ่ม
อาจเป็นเพราะร่างกายใหญ่โตของอู่หยาและกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวของเธอ สิงโตเหล่านั้นจึงไม่กล้าพุ่งเข้าทำร้ายเธอตรงๆ แต่มี 3 ตัวพุ่งเข้าหาขี้เมาเป่าในขณะที่อีก 2 ตัวพุ่งเข้าหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ฝ่าย 2 ตัวที่เหลือเดินวนไปรอบๆเพื่อพยายามหาทางเข้าใกล้เซียวเอี๋ยนและเย่เป่าเปา เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายหลักในการโจมตีครั้งนี้คือขี้เมาเป่า
หลินเทียนอ้าวไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังของเพื่อนพ้องในกลุ่ม ดังนั้นสายตาของเขาจึงจับจ้องไปที่สิงโตตัวผู้ตลอดเวลาเพราะเขารู้ดีว่าอสูรสวรรค์ระดับเทวะตัวนี้อันตรายที่สุด และเขาก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะสามารถเอาชนะมันได้ด้วยตัวคนเดียว
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดคิดว่าในบรรดาสมาชิกทั้งหมด คนแรกที่ฉวยโอกาสลงมือก่อนคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์
เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่สิงโตทั้ง 7 กระโจนเข้าหาเป้าหมายที่ตนเลือก แสงสีเขียว 7 สายก็พุ่งออกมาจากร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทันที ไม่มีใครเห็นการเคลื่อนไหวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทุกคนรู้สึกได้เพียงว่าธนูของเธอขยับน้อยๆ ก่อนที่แสงสีเขียวทั้ง 7 สายจะพุ่งสวนออกมาจากคันธนู
ลูกศรเหล่านั้นทะยานเข้าหาสิงโตทั้งหมดอย่างรวดเร็ว แต่เป้าหมายหลักของเธอคือสิงโตทั้ง 3 ที่พุ่งเข้าหาขี้เมาเป่า การโจมตีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นได้ถูกกำหนดทิศทางเอาไว้แล้วอย่างมีแบบแผน ลูกศรแต่ละดอกจะพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงในเวลาที่ต่างกัน สิงโต 2 ตัวที่กำลังพุ่งเข้าใส่ขี้เมาเป่าถูกลูกศรโจมตีเข้าใส่ก่อน ลูกศรเหล่านั้นเต็มไปด้วยพลังปราณสวรรค์ธาตุลม พวกมันจึงเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและตรงเข้าหาดวงตาของสิงโตโลหิตเพลิงทั้งคู่ แม้ว่าอสูรสวรรค์เหล่านี้จะมีผิวหนังที่แข็งแกร่งมาก แต่ดวงตาก็ยังเป็นจุดอ่อนของพวกมันอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ สิงโตทั้ง 2 จึงต้องหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ แต่ลูกศรนั้นกลับเร็วเกินไปที่จะหลบ พวกมันจึงทำได้เพียงหลับตาเพื่อให้เปลือกตาของพวกมันช่วยปกป้องดวงตาที่แสนเปราะบางเอาไว้
เมื่อลูกศรพุ่งผ่านปราการเพลิงที่ล้อมรอบตัวสิงโตโลหิตเพลิงทั้ง 2 เอาไว้ ลูกศรเหล่านั้นก็เคลื่อนที่ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้น ในขณะที่ลูกศรปะทะเข้ากับเปลือกตาของพวกมันก็ยังทำให้สิงโตเหล่านี้ร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด การเคลื่อนไหวของพวกมันจึงช้าลงทันที จังหวะการก้าวเดินก็เสียศูนย์ไปเล็กน้อย และไม่ใช่แค่สิงโตทั้ง 2 ตัวนี้เท่านั้น บรรดาสิงโตตัวอื่นๆที่กระโจนเข้าใส่สมาชิกในกลุ่มจากทิศทางที่แตกต่างกันก็มีอาการคล้ายกันทั้งหมด ในขณะนั้นเอง ลูกศรดอกสุดท้ายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กำลังทะยานเข้าหาสิงโตตัวสุดท้ายที่กำลังพุ่งเข้าใส่ขี้เมาเป่า
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากแผนการที่วางเอาไว้ ขณะที่สิงโต 3 ตัวพุ่งเข้าใส่ขี้เมาเป่า หากสิงโต 2 ตัวถูกทำให้ชะงักด้วยลูกศรของเธอ ที่อยู่ของตัวสุดท้ายก็จะถูกเปิดเผยออกมาด้วย แต่เดิมขี้เมาเป่านั้นกดดันมากที่ถูกสิงโตทั้ง 3 ตัวรุมโจมตีพร้อมๆ กัน ทว่าเวลานี้กลับเหลือเพียงตัวเดียวแล้ว เห็นดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า รีบคว้าโอกาสดีไว้ทันที กระบองสีดำในมือของเขาเปล่งประกายแสงสีทองออกมาอย่างฉับพลัน เขาควงมันเป็นรูปครึ่งวงกลมและฟาดไปที่ศีรษะของสิงโตตัวสุดท้ายอย่างโหดเหี้ยม ก่อนหน้านั้นดูเหมือนว่ากระบองของเขาจะขยับวูบวาบไปมากลางอากาศ หมุนหลอกล่อไปซ้ายทีขวาที ทำให้สิงโตตัวนั้นไม่อาจตัดสินใจเลือกทิศโจมตีได้อย่างถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นคือแสงสีทองจากศาสตรามณียุทธ์ของเขาก็ยังทำให้เปลวไฟรอบๆ ตัวสิงโตสั่นไหวอย่างรุนแรงและค่อยๆ อ่อนกำลังลงด้วย
ในเวลาเดียวกันกับที่กระบองของขี้เมาเป่าพุ่งออกไป ลูกศรดอกสุดท้ายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มาถึงพอดี ครั้งนี้เป้าหมายของมันก็คือดวงตาเหมือนอย่างเคย แต่รอบนี้มันพุ่งเข้าใส่เปลือกตาอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงดังบาดหู ไม่น่าเชื่อว่าจู่ๆ ลูกศรดอกนั้นก็สามารถแทงทะลุเปลือกตาของสิงโตตัวนี้ไปได้อย่างโหดเหี้ยม
จากบรรดาลูกศรทั้งหมด 7 ดอก นี่เป็นลูกศรที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใส่พลังปราณลงไปมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังใช้ทักษะที่กักเก็บเอาไว้ในมณีธาตุของเธออย่างศรไร้เสียงด้วย ความสามารถทะลุทะลวงของมันไม่เพียงแต่ทรงพลังกว่า แต่ยังสามารถต้านทานปราการไฟที่ปกป้องร่างของสิงโตพวกนั้นได้ดีกว่าลูกศรดอกอื่นๆ ด้วย
สิงโตโลหิตเพลิงตัวสุดท้ายมุ่งความสนใจไปที่การโจมตีของขี้เมาเป่า มันจึงไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมากนัก ทว่าจู่ๆมันก็รู้สึกตกใจเมื่อเปลือกตาของมันถูกลูกศรแทงทะลุ แม้ว่าลูกศรจะไม่ได้แทงลึกมากนักและอาการบาดเจ็บก็ได้ไม่ร้ายแรง เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อยมันก็จะยังไม่ตาบอดถาวร แต่นั่นก็ยังเป็นถึงดวงตาอันบอบบางของมัน! สำหรับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ ดวงตาถือว่าเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดจุดหนึ่ง เมื่อถูกยิงด้วยลูกศร ทุกคนย่อมสามารถจินตนาการได้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน