Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 67.3 ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ (3)
เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ระดับเทวะ เขารู้ว่าตนไม่สามารถดูแคลนความสามารถของมันได้ เขาจึงต้องรวมรวมและใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อกำจัดมันเท่านั้น
หลังจากโล่ของเขาปะทะกับร่างของสิงโตจ่าฝูง หลินเทียนอ้าวก็ไถลกลับไปข้างหลังไกล 2 ฟุต แต่ร่างกายและโล่ของเขาก็ยังคงแข็งแกร่งดุจขุนเขาอยู่เช่นเดิม ด้านจ่าฝูงสิงโตโลหิตเพลิง แรงปะทะนั้นก็ทำเหวี่ยงมันกลับไปข้างหลังเช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุให้มันกลิ้งไปบนพื้นอีกหลายตลบก่อนจะกลับมายืนตรงได้อีกครั้ง
อู่หยากำลังจะกระโจนเข้าร่วมต่อสู้ด้วย แต่หลินเทียนอ้าวกลับห้ามเธอเอาไว้อย่างรวดเร็ว “กำจัดสิงโตตัวเมียให้หมดก่อน ข้าจะถ่วงเวลาจ่าฝูงเอาไว้”
เวลานี้จากสิงโต 7 ตัวเหลือเพียง 5 ตัวเท่านั้น และทั้งหมดก็ยังคงถูกสกัดเอาไว้ด้วยลูกศรของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แม้ว่าพวกมันจะคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวและพยายามฝ่าห่าลูกศรเหล่านี้เข้ามาใกล้พวกเขา แต่พวกมันก็ทำได้เพียงวิ่งไปมาเพื่อหลบหลีก ไม่สามารถกระโจนเข้าใส่เป้าหมายได้โดยตรงอย่างที่ตั้งใจ
อู่หยา ขี้เมาเป่า เซียวเอี๋ยน และเย่เป่าเปาไม่ได้คลายความระแวดระวังลงแม้แต่น้อย แต่ละคนรวบรวมพลังและโจมตีออกไปอย่างสุดความสามารถ
ครั้งแรกพวกเขายังละล้าละลังเล็กน้อยเนื่องจากกังวลว่าห่าลูกศรของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจจะบังเอิญทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บไปด้วย ทว่าความคิดดังกล่าวก็ต้องถูกลบออกจากสมองอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าทักษะการยิงธนูของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นน่าทึ่งเกินไป เห็นได้ชัดว่ามีกระทั่งลูกศรบางส่วนที่อ้อมหลบพวกเขาก่อนจะตรงเข้าไปหาเป้าหมาย แม้จะยิงด้วยความเร็วดุจสายฟ้าเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีแม้แต่ลูกเดียวที่พลาดเป้า
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้ว่าเหล่าสิงโตโลหิตเพลิงตัวเมียจะเป็นอสูรสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลาง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มที่ทรงพลังและทำงานร่วมกันได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ พวกมันจะเทียบอีกฝ่ายได้อย่างไร?
สำหรับจ่าฝูงสิงโตโลหิตเพลิงที่ทรงพลังที่สุด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลินเทียนอ้าว มันก็ไม่สามารถฝ่าการป้องกันของเขาไปได้อยู่ดี
เดิมทีขณะที่หลินเทียนอ้าวเดิมพันกับโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ เขาได้จำกัดความสามารถของตัวเองไว้โดยการยืนนิ่งๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้มากนัก ตอนนี้เขาจึงจะแสดงพลังที่เป็นเอกลักษณ์ของตนให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้าใจว่าทำไมโจวเหว่ยชิงถึงให้ความสำคัญกับเขามากมายขนาดนี้
จ่าฝูงตัวนี้มีพลังเทียบเท่ากับจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 7 ชุดและมีพลังมากกว่าสมาชิกในกลุ่มมาก พลังทำลายล้างของมันนั้นทรงอานุภาพอย่างน่าประหลาดใจ และแม้ว่าความแข็งแกร่งของอู่หยาจะน่าประทับใจเช่นกัน แต่เธอก็ไม่ยังไม่อาจทำอะไรเปลวไฟของจ่าฝูงตัวนี้ได้มากนัก สำหรับคนอื่นๆ เรียกได้ว่าพลังของสี่น้อยนั้นสู้มันไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนเซียวเอี๋ยนนั้นไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิด และแม้ว่าขี้เมาเป่าจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับมันได้สักพัก แต่นั่นก็คงจะเป็นระยะเวลาไม่นานมากเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังป้องกันขั้นสุดยอดของหลินเทียนอ้าว สิงโตจ่าฝูงก็ต้องรีบหยุดฝีเท้าของมันเอาไว้ทันที
หลินเทียนอ้าวไม่ได้เคลื่อนไหวเร็วมากนัก จากมุมมองของผู้ชมภายนอก เขาอาจดูเหมือนกำลังขยับแค่โล่ยักษ์ของเขาอย่างช้าๆ แต่เพียงแค่นั้นเขาก็สามารถป้องกันการโจมตีได้ถูกที่ถูกเวลาแล้ว ไม่ว่าสิงโตจ่าฝูงจะพยายามอย่างไร มันก็ยังไม่สามารถสบัดตัวให้หลุดพ้นจากแนวป้องกันของเขาไปได้
โล่ประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้นในมือของหลินเทียนอ้าวยังคงสามารถสร้างความประทับใจได้ทุกที่เสมอ ทุกครั้งที่จ่าฝูงสิงโตโลหิตเพลิงต้องการเปลี่ยนทิศทางหรือโจมตีคนอื่นๆ หลินเทียนอ้าวก็จะเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวหรือขยับโล่ของเขาออกไปกันไม่ให้มันรวบรวมพลังหรือปลดปล่อยพลังออกมาได้ นั่นจึงทำให้มันค่อยๆ เริ่มเสียสมดุลไปทีละน้อย
ด้วยเหตุนี้ หลินเทียนอ้าวและสิงโตจ่าฝูงจึงอยู่ในระยะที่ใกล้กันอย่างไม่น่าเชื่อ และการต่อสู้ระยะประชิดเช่นนี้ก็ดูอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าถึงกระนั้นสิงโตจ่าฝูงก็ยังไม่อาจฝ่าแนวป้องกันของหลินเทียนอ้าวไปได้ อีกทั้งยังไม่สามารถกระโจนเข้าไปช่วยเหลือเหล่าตัวเมียได้อีกด้วย มันจึงทำได้เพียงเฝ้าดูเหล่าสิงโตตัวเมียถูกสมาชิกในกลุ่มนักรบเฟยหลี่กำจัดไปทีละตัวๆ
การโจมตีของอู่หยาโหดเหี้ยมเกินไป ด้วยขวานคู่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 1,300 จินในมือของเธอนั้น แม้แต่ตัวจ่าฝูงก็ยังไม่อาจอาจต้านทานได้ นับประสาอะไรกับสิงโตตัวเมียเหล่านั้น จากบรรดาสิงโตตัวเมียที่เหลือทั้งหมด 5 ตัว ตอนนี้เธอกลับฆ่าไปแล้ว 3! สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือ ทันทีที่เลือดของพวกมันกระเซ็นเปื้อนลงบนขวาน ไม่นานก็ดูเหมือนว่าเลือดเหล่านั้นจะถูกขวานของเธอดูดซับเข้าไป จากนั้นแสงสีทองเข้มก็ยิ่งสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าขวานในตำนานเหล่านี้ไม่ใช่อาวุธธรรมดาๆ อย่างแน่นอน!
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดยิงธนูแล้ว เธอค่อยๆ เก็บลูกศรบางส่วนที่ยังไม่เสียหายขึ้นมาอย่างใจเย็น เธอรู้ว่าในตอนนี้เธอไม่จำเป็นสำหรับการต่อสู้ที่เหลือแล้ว สิงโตจ่าฝูงตัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถจัดการหรือก่อกวนได้ง่ายๆ
ในขณะที่เซียวเอี๋ยนจัดการสิงโตตัวสุดท้าย อู่หยาและขี้เมาเป่าก็พร้อมใจกันตีวงโอบเข้าหาหลินเทียนอ้าวจากทั้งสองด้าน
“หัวหน้า ลงมือกันเถอะ” ขี้เมาเป่ายิ้มและพูดอย่างตื่นเต้น
หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เย่เป่าเปา ใช้หอกน้ำแข็งของเจ้ายิงมัน”
เย่เป่าเปายังไม่เข้าใจจังหวะตอบโต้กับคนในกลุ่มมากเท่าไหร่ และด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่น้อยกว่าคนอื่นๆ เขาจึงยังไม่อาจทำงานประสานร่วมกับคนในกลุ่มได้ดีมากนัก หากไม่มีคำแนะนำของหลินเทียนอ้าว เขาก็คงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ดังนั้นตอนนี้เขาจึงค่อยๆ สร้างหอกน้ำแข็งขึ้นมาด้วยพลังทั้งหมดของเขา แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมหลินเทียนอ้าวต้องการให้เขาทำเช่นนั้นก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็แค่ต้องทำตามคำสั่งเท่านั้น ในความคิดของเขา อย่างไรหอกน้ำแข็งนี้ยังไม่อาจฝ่าผ่านปราการไฟของสิงโตจ่าฝูงได้อยู่ดี!
ใช้เวลาประมาณ 5 อึดใจถัดมา หอกน้ำแข็งของเย่เป่าเปาก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ เพียงพริบตาเดียว มันก็กลายเป็นเส้นแสงสีฟ้าเย็นเยียบพุ่งตรงไปที่ศีรษะของสิงโตจ่าฝูง
ในเวลาเดียวกัน หลินเทียนอ้าวก็แสดงให้เย่เป่าเปาและซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้ว่าพลังที่แท้จริงของการป้องกันขั้นสูงสุดของเขาคืออะไร
ขณะที่เย่เป่าเปาร้องตะโกนและปล่อยหอกของเขาออกมา หลินเทียนอ้าวก็ส่งเสียงออกมาเช่นกัน เท้าขวาของเขาเหยียบลงบนพื้นอย่างแรง โล่ประสานในมือพลันเปล่งประกายเป็นแสงสีเหลืองและโล่ทั้งชิ้นก็ทุบเข้าที่ด้านข้างลำตัวของจ่าฝูงอย่างโหดเหี้ยม
ในช่วงเวลานั้น จู่ๆ ปราการไฟของสิงโตโลหิตเพลิงก็ถูกระงับโดยโล่แสงสีเหลืองนั้นเอง ทักษะที่ไม่รู้จักของหลินเทียนอ้าวได้ทำให้สิงโตโลหิตเพลิงตกตะลึงไปเสี้ยววินาที แต่ในวินาทีนั้นกลับเป็นจังหวะเดียวกับที่หอกน้ำแข็งของเย่เป่าเปามาถึงตัวของมันด้วย
ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นเอง หลินเทียนอ้าวก็ได้ฉวยโอกาสโจมตีใส่สิงโตจ่าฝูงเป็นครั้งที่ 2 จุดหมายของเขาไม่ใช่เพื่อโจมตีมัน แต่เพื่อทำให้มันขยับตัว! ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อให้หอกน้ำแข็งสามารถพุ่งเข้าใส่ดวงตาของมันได้!
ด้วยเสียง ‘ฉึก’ อันน่าสยดสยอง ทักษะ 8 ดาวอันทรงพลังอย่างหอกน้ำแข็งที่เย่เป่าเปาปลดปล่อยออกมาก็ได้เจาะทะลวงเข้าไปในดวงตาของสิงโตจ่าฝูงและฝังลึกเข้าไปในลูกตาทันที แม้ว่าไม่นานหอกน้ำแข็งจะหลอมละลายไปเพราะเปลวไฟข้างในก็ตาม ไม่ว่าการป้องกันของสิงโตจ่าฝูงจะแข็งแกร่งและทนทานเพียงใด ในช่วงเวลาที่มันกำลังตกตะลึงและสูญเสียการควบคุมปราการไฟไปเพียงเสี้ยววินาทีนั้น เปลือกตาของมันยังคงเป็นเพียงเปลือกตาธรรมดา! ดังนั้นเปลือกตาที่ไม่มีปราการไฟจะป้องกันหอกอันทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร! ด้วยเหตุนี้มันจึงได้รับบาดเจ็บหนักพลางร้องโหยหวนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวและความเจ็บปวด
ขี้เมาเป่าและอู่หยาไม่ยอมพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปแน่นอน
ขี้เมาเป่ายกกระบองในมือของเขาขึ้น จากนั้นแสงสีทองก็สว่างวาบอีกครั้ง จู่ๆ กระบองของเขาดูเหมือนจะแยกออกเป็นภาพลวงตา 3 ภาพในขณะที่ร่างของเขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้สังเกตอย่างละเอียด ภาพทั้ง 3 ก็จะซ้อนทับกันราวกับว่าเป็นเพียงภาพเดียว
นี่ไม่ใช่ทักษะที่กักเก็บไว้ในมณีธาตุ แต่เป็นทักษะการต่อสู้กระบี่กระบองที่ขี้เมาเป่าฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง ชื่อของมันคือ ‘สามปีศาจจู่โจม’ เมื่อใช้ควบคู่ไปกับทักษะจู่โจมเที่ยงธรรมของธาตุแสงที่เขาเคยใช้ แม้ว่าพลังโจมตีจะไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่มันก็ยังให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งและทรงพลัง
*ตูม* *ตูม* *ตูม* กระบองทั้ง 3 กระแทกเข้ากับศีรษะของสิงโตจ่าฝูงอย่างแรง เสียงร้องโหยหวนของมันพลันถูกขัดเอาไว้ในลำคอ อีกทั้งปราการไฟที่ถูกระงับเอาไว้ก็ไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกครั้ง
การแสดงลำดับถัดมาคือฝีมือของอู่หยา ขวานในตำนานของเธอฟาดลงไปอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าจนแสบตา ทำให้คนในกลุ่มที่เหลือแทบจะมองไม่เห็นแรงระเบิดที่แท้จริง
ปราการป้องกันของสิงโตโลหิตเพลิงนั้นทรงพลังเกินไป แม้แต่ขวานยักษ์ในตำนานก็ไม่สามารถจบชีวิตของมันลงได้ด้วยการฟันลงไปเพียงครั้งเดียว แต่ถ้าหากว่าการฟันครั้งเดียวไม่อาจจบชีวิตมันได้ แล้วถ้าฟันหลายๆ ครั้งล่ะ? อย่างไรตอนนี้สิงโตจ่าฝูงกำลังได้รับบาดเจ็บและอยู่ในสภาวะแตกตื่น พลังป้องกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างปราการไฟก็ถูกระงับเอาไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่ออู่หยาลงมือหลายๆ ครั้ง ไม่กี่วินาทีต่อมาศีรษะของมันก็หลุดออกจากคอทันที เลือดสดๆ สาดกระเซ็นย้อมทั้งอู่หยาและขี้เมาเป่าจนชุ่ม…ในขณะที่มันสิ้นใจเพราะขวานของอู่หยา มีเพียงหลินเทียนอ้าวผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เปียกโชกไปด้วยเพราะโล่ของเขาก็ถือว่าเป็นปราการป้องกันชั้นดีชิ้นหนึ่งเช่นกัน
ขี้เมาเป่าแทบจะพูดไม่ออก ในที่สุดก็ถอนหายใจและพูดว่า “น้องอู่หยา ทักษะสับลมกรดของเจ้ากำลังโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พรสวรรค์แต่กำเนิดของเจ้านั้นยอดเยี่ยมมากจริงๆ” แม้ว่าสมาชิกเผ่าอีกาทองจะมีพลังมหาศาล แต่พวกเขาก็ค่อนข้างเรียบง่ายและไม่ได้ตั้งชื่อหรูหราให้ทักษะต่อสู้ของพวกเขา
อู่หยายิ้มออกมา ขวานในตำนานทั้ง 2 พลันหายไปท่ามกลางแสงพร่ามัว เมื่อพินิจดูอย่างระมัดระวัง จะเห็นได้ว่าอู่หยามีแหวนมิติอยู่บนมือแต่ละข้าง เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อเก็บขวานในตำนานเหล่านั้น
เมื่อเก็บขวานในตำนานลงไปแล้ว เธอก็เตะเข้าที่หัวของสิงโตจ่าฝูงก่อนจะถือขึ้นมาไว้ในมือ เมื่อใช้มือคว้านเข้าไปค้นหาอยู่พักหนึ่ง เธอก็ดึงแก่นพลังสีแดงเข้มออกมา
หลินเทียนอ้าวและคนที่เหลือต่างก็เก็บศาสตรามณียุทธ์ของพวกเขาเช่นกัน เขายิ้มและพูดว่า “ผิวหนังและแก่นพลังของสิงโตโลหิตเพลิงนั้นมีค่ามาก เลือดของพวกมันก็ยังสามารถใช้สร้างหมึกศาสตรามณียุทธ์ได้ อีกทั้งยังค่อนข้างขายได้ราคา พวกเราอย่าให้เสียของดีกว่า มาเถอะ ช่วยกันเก็บให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเราไปถึงเมืองหลวง พวกเราก็สามารถนำพวกมันไปขายและแบ่งผลประโยชน์กันได้”
“เดี๋ยวข้าทำเอง” อู่หยารีบเก็บของเหล่านั้นอย่างตื่นเต้น ส่วนสี่น้อยเองก็บินโฉบลงมาเพื่อช่วยเหลือ
หลินเทียนอ้าวกลับไปที่ทางเข้าถ้ำ หันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่เก็บลูกศรทั้งหมดของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินเทียนอ้าวพยักหน้าให้อีกฝ่าย เขาพูดด้วยท่าทางยอมรับ “ยิงธนูได้ดี”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “หัวหน้าชมข้ามากเกินไปแล้ว พวกท่านทุกคนก็ทรงพลังมากเช่นกัน เพราะอย่างไรตัวข้าก็ยังไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าจ่าฝูงสิงโตโลหิตเพลิง”
หลินเทียนอ้าวยังยิ้มขณะที่เขาตอบว่า “ดูเหมือนว่าทั้งเจ้าและโจวเหว่ยชิงจะมีประสบการณ์และภูมิหลังที่ค่อนข้างดี กลุ่มของเราโชคดีเหลือเกินที่มีพวกเจ้า ทักษะของเจ้าทั้งคู่จะช่วยชดเชยข้อเสียด้านการต่อสู้ระยะไกลและความเร็วในการโจมตี ไม่ว่าทักษะกักเก็บจะดีแค่ไหน อย่างไรความเร็วในการโจมตีก็ไม่มีทางเทียบได้กับลูกศร”
ในบรรดาจ้าวมณีสวรรค์ทั้งหมด ทุกคนล้วนมีเส้นทางในการฝึกฝนของตนเอง บางคนอาจให้ความสำคัญกับการใช้มณียุทธ์และการต่อสู้ระยะประชิดมากกว่า จ้าวมณีสวรรค์เช่นนี้มักจะมีลักษณะทางกายภาพที่ดีและมักจะมีทักษะต่อสู้บางรูปแบบด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืออู่หยานั่นเอง ส่วนในทางกลับกัน มีบางคนที่ให้ความสำคัญกับทักษะกักเก็บ ตัวอย่างของคนประเภทนี้คือเย่เป่าเปาและเซียวเอี๋ยน พวกเขาแข็งแกร่งมากในการต่อสู้ระยะไกล
แน่นอนว่าจ้าวมณีสวรรค์ทุกคนมีพลังมากที่สุดเมื่อใช้ทั้งมณีธาตุและมณียุทธ์พร้อมกัน นี่เป็นข้อได้เปรียบหลักของพวกเขาอยู่แล้ว และการมุ่งเน้นไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนถนัด ไม่ได้บอกว่าพวกเขาจะละทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไป
แม้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะมีมณี 3 ชุด แต่ด้วยทักษะการยิงธนูที่โดดเด่นของเธอ เธอจึงสามารถลดปริมาณพลังปราณที่ต้องสูญเสียไปและรักษาระดับพลังที่ใช้โจมตีให้คงที่ได้ แม้ว่าเธออาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวมณีสวรรค์เช่นอู่หยาหรือหลินเทียนอ้าว แต่หากต้องเผชิญหน้ากับคนอย่างเย่เป่าเปาและเซียวเอี๋ยน นั่นก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะพูดว่าใครจะชนะ ด้วยทักษะการยิงธนูของเธอ ตราบใดที่สามารถรักษาระยะห่างและมีเวลาเพียงพอ แม้แต่เซียวเอี๋ยนที่มีมณี 5 ชุดก็อาจค่อยๆหมดกำลังและตายลงในที่สุด เว้นเสียแต่ว่าระดับพลังปราณของผู้นั้นข้ามผ่านระดับเทวะไปแล้ว ไม่เช่นนั้นระยะโจมตีและความเร็วของทักษะกักเก็บก็ยังห่างชั้นกับลูกศรที่ถูกยิงออกไปจากธนูมากนัก