Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 75.1 ชุดศาสตรามณียุทธ์สวรรค์ไพศาลไร้สิ้นสุด (1
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 75.1 ชุดศาสตรามณียุทธ์สวรรค์ไพศาลไร้สิ้นสุด (1
เมื่อได้ฟังคำแนะนำของผู้นำทาง ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็ต้องสูดลมเย็นๆ เข้าปอด แท้จริงแล้วข้อกำหนดในการเข้าสู่ชั้นที่ 4 และ 5 ของที่นี่คือการครอบครองมณีสวรรค์ 7-9 ชุดนั่นเอง โดยมีข้อแม้เพิ่มเติมคือต้องเป็นสมาชิกของสำนักกักเก็บทักษะหรือศาลาศาสตรามณียุทธ์ของอาณาจักรจ้งเทียนเท่านั้น! ข้อกำหนดเช่นนี้ถือว่าหยิ่งผยองมาก แต่พวกเขากลับสามารถตั้งกฏเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นสายตาประหลาดใจของพวกเขา เด็กหนุ่มในชุดขาวจึงพูดต่อ “ท่านทั้งคู่ไม่ควรรู้สึกอึดอัดใจไปที่ไม่อาจเข้าสู่ชั้นที่สูงขึ้นได้ ความจริงทั้ง 3 ชั้นแรกของเราล้วนขายแต่วัตถุดิบคุณภาพสูงที่เพียงพอต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่อยู่แล้ว แม้ราคาอาจจะสูงกว่าข้างนอกเล็กน้อย แต่รับประกันว่าคุณภาพเยี่ยมแน่นอน”
หลังจากประหลาดใจครู่หนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็ฟื้นคืนสติและถามต่อว่า “แล้วชั้นที่มีหอประมูลล่ะ? พวกเราสามารถเข้าไปได้ไหม? มีสินค้าประเภทไหนขายบ้างหรือ?”
เด็กหนุ่มตอบว่า “แน่นอนว่ามีเฉพาะสินค้าที่ดีที่สุดเท่านั้นที่วางขายที่นั่น รับประกันได้ว่าเป็นของคุณภาพชั้นยอด โดยส่วนใหญ่แล้วการประมูลแต่ละครั้งจะมีสินค้าออกประมูลเพียง 1-2 ชิ้นเท่านั้น แต่หากจะเข้าสู่ชั้นหอประมูล คนผู้นั้นจะต้องเป็นบุคคลที่สามารถเข้าสู่ชั้นที่ 4 ขึ้นไปได้เป็นอย่างน้อยขอรับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักบางอย่างได้ทันที แน่นอน! ถ้าเขาเป็นเจ้าของศาลาศาสตรามณียุทธ์หรือเป็นส่วนหนึ่งเหล่าขุนนางชั้นปกครองของอาณาจักรจ้งเทียน เขาก็คงจะลงมือทำในสิ่งที่คล้ายกัน เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าทรัพยากรและบุคคลผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นจะยังคงถูกเก็บไว้ในอาณาจักร ทั้งยังเป็นวิธีชักจูงผู้มีความสามารถระดับสูงจากภายนอกได้ดีที่สุดอีกทางหนึ่งด้วย
เมื่อมองไปยังโจวเหว่ยชิงที่กำลังง่วนอยู่กับความคิดของตนเอง เด็กหนุ่มก็ถามขึ้นว่า “นายท่านยังมีคำถามอื่นอีกหรือไม่ขอรับ?”
โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ล่ะ ขอบคุณมาก เราจะไปเดินดูให้ทั่วชั้นแรกก่อน”
ผู้นำทางยังคงให้คำแนะนำง่ายๆ แก่พวกเขาอีกหลายประโยคในขณะที่เดินนำทั้งคู่ไปยังห้องในชั้นแรก ชี้ให้เห็นร้านค้าที่ถูกจัดแยกออกเป็นสัดส่วนต่างๆ ก่อนที่จะเดินจากไปเพื่อให้พวกเขาจะเดินดูสินค้าของด้วยตัวเอง
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พึมพำ “อ้วนน้อย ไม่น่าแปลกใจเลยที่มีผู้คนมากมายอยากเข้าไปในเกาะมณีสวรรค์ แค่ในเมืองหลวงจ้งเทียนก็มีสถานที่ที่น่าทึ่งเช่นศาลาศาสตรามณียุทธ์นี้อยู่แล้ว…เจ้าลองจินตนาการดูสิว่าบนเกาะมณีสวรรค์จะมีของล้ำค่ามากแค่ไหน และผู้คนบนนั้นจะทรงพลังขนาดไหน? ข้าคิดว่าสินค้าที่ขายในชั้นที่ 4 และ 5 นั้นน่าจะมาจากเกาะมณีสวรรค์แน่”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้าพูดถูก นั่นเป็นไปได้สูงจริงๆ ความสามารถในการสรรหาเหล่ากลุ่มคนผู้มีพรสวรรค์ของอาณาจักรจ้งเทียนนั้นยอดเยี่ยมกว่าอาณาจักรอื่นๆ มากทีเดียว มา พวกเราไปลองเดินดูกันดีกว่า”
ทั้งสองคนเดินเที่ยวไปรอบๆ ชั้นแรกของศาลา สอดส่องสายตาไปทั่วร้านรวงในส่วนต่างๆ ก่อนที่พวกเขาจะได้เข้าไปชมของจริงก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงแค่สินค้าที่วางขายในชั้นแรกเท่านั้น แต่หลังจากเดินดูรอบๆ โจวเหว่ยชิงก็ต้องตกตะลึงพลางสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ตลอดมาเขาคิดว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้นมีราคาแพงมาก แต่เมื่อสำรวจในศาลาแห่งนี้ เขาก็รู้ว่าตนเองเป็นกบที่อาศัยอยู่แต่ในกะลาโดยแท้
หากไม่นับรวมม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว แม้แต่หมึกศาสตรามณียุทธ์สำหรับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานก็มีราคาสูงถึง 3,000 เหรียญทอง ในขณะที่หมึกศาสตรามณียุทธ์สำหรับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงนั้นมีราคามากกว่า 20,000 เหรียญทอง! ด้านม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ราคาของพวกมันก็สูงขึ้นมากอย่างไร้เหตุผล แม้แต่ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานก็มีราคามากกว่า 100,000 เหรียญทองแล้ว!
ดังคำกล่าวที่ว่าเมื่อสิ่งใดหายากมันก็จะมีค่ามากขึ้น ทว่าแม้นี่จะเป็นเพียงชั้นแรก แต่เขาก็ยังพบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นับร้อยชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นระดับต่ำ มีระดับกลางและระดับสูงอยู่บ้างบางส่วน
หลังจากกวาดตามองไปรอบๆ ในที่สุดทั้งคู่ก็หยุดที่ร้านขายม้วนคัมภีร์ที่สร้างเสร็จแล้วแห่งหนึ่ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดขึ้นมาเบาๆ “อ้วนน้อย ม้วนคัมภีร์ที่นี่แพงเกินไปจริงๆ ราคาของพวกนี้น่าเหลือเชื่อมาก ดูสิ ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงกล่องเดียวที่วางขายอยู่ร้านนี้มีราคาสูงถึง 800,000 เหรียญทอง! ตอนนี้ข้ารู้ซึ้งแล้วว่าราคาของผู้อาวุโสฮูเหยียนถูกมาก!”
เดิมทีตอนที่โจวเหว่ยชิงพยายามจะซื้อธนูราชันย์จากฮูเหยียนเอ้าป๋อ อีกฝ่ายได้เสนอราคาถึง 300,000 เหรียญทอง…และมันก็เป็นถึงม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์อีกด้วย!
โจวเหว่ยชิงขมวดคิ้วและพูดว่า “ราคาที่นี่ดูไร้เหตุผลมากเกินไป อาจมีเงื่อนไขแปลกๆ ก็ได้ ให้ข้าลองถามดูก่อน
เมื่อเขาพูดเช่นั้น เขาก็เดินเข้าไปถามชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีขาวคล้ายกับผู้นำทางก่อนหน้านี้ “สวัสดีขอรับ ท่านเป็นเถ้าแก่ร้านนี้ใช่หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน เมื่อได้ยินคำถามของโจวเหว่ยชิง เขาก็เปิดเปลือกตาขึ้นมองทั้งคู่ก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ ข้าเป็นเถ้าแก่ร้าน เจ้ากำลังตามหาอะไรหรือ?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ข้าแค่อยากถามคำถามสักข้อ ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของท่านไม่แพงเกินไปหน่อย หรือ? ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงของท่านมีราคาถึง 800,000 เหรียญทอง ส่วนม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานก็มีราคาตั้ง 100,000 เหรียญทอง?”
ชายวัยกลางคนไม่ได้มีท่าทีสุภาพเหมือนผู้นำทางคนก่อนหน้านี้ เขาเบ้ปากขณะกล่าวว่า “ม้วนคัมภีร์ของข้าตั้งราคาอย่างเป็นธรรมแล้ว เจ้าทั้งคู่ไม่ใช่พลเมืองจ้งเทียนใช่ไหม? ข้าจะบอกอะไรให้ นี่เป็นเพราะพวกเจ้าอยู่ในเมืองหลวงจ้งเทียน…หากเป็นเมืองหลวงอื่นๆ แม้จะไปค้นคลังสมบัติของราชวงศ์ เจ้าก็ไม่อาจพบม้วนคัมภีร์จำนวนมากมายขนาดนี้ได้ ราคาสินค้าที่นี่อาจจะแพง แต่มั่นใจได้ว่ามีให้เลือกสรรเป็นจำนวนมากและมีคุณภาพสูงแน่นอน”
โจวเหว่ยชิงเกิดความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาทันที เขาจึงถามว่า “เถ้าแก่ ท่านรับซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์หรือไม่? ข้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์”
“….หา? เจ้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์?!” เมื่อได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ สายตาของชายวัยกลางคนที่ใช้มองโจวเหว่ยชิงก็ดีขึ้นมาก เขาลุกขึ้นยืนทันที “ใช่! เรารับซื้อ แน่นอนว่ารับซื้อ เราจะรับซื้อมากเท่าที่เจ้าต้องการจะขายเลยทีเดียว! ม้วนคัมภีร์ระดับพื้นฐาน 50,000 เหรียญทอง ม้วนคัมภีร์ระดับกลางขึ้นไปจะขึ้นอยู่กับคุณภาพ ตั้งแต่ 100,000 – 150,000 เหรียญทอง ส่วนม้วนคัมภีร์ระดับสูงจะอยู่ที่ประมาณ 150,000 – 300,000 เหรียญทอง น้องชาย เนื่องจากเจ้าเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เจ้าควรรู้ว่าม้วนคัมภีร์ระดับสูงและม้วนคัมภีร์ระดับปรมาจารย์มีความแตกต่างกันมาก…เมื่อเจ้าไปถึงขั้นปรมาจารย์ ราคาก็จะขึ้นไปสูงมากกว่า 500,000 เหรียญทอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเถ้าแก่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานว่า “เถ้าแก่ ส่วนต่างกำไรของท่านมากเกินไปหรือไม่ ท่านรับซื้อม้วนคัมภีร์ระดับสูงในราคา 150,000 – 300,000 เหรียญทอง แต่ท่านกลับนำไปขายในราคา 800,000 เหรียญทอง! นี่มัน…”
ชายวัยกลางคนในชุดขาวหัวเราะเต็มเสียงและพูดว่า “นั่นคือเหตุผลที่ข้าถามว่าเจ้าทั้งคู่เป็นคนต่างเมืองหรือ ราคาที่ติดไว้ที่นี่มีไว้สำหรับชาวต่างเมืองทั้งหมด เพราะถ้าหากพวกเราขายถูกมากเกินไป อาณาจักรอื่นๆ ก็อาจจะวิ่งโร่มาที่นี่เพื่อกว้านซื้อม้วนคัมภีร์ทั้งหมดของเราไป ดังนั้นเราจึงมีเงื่อนไขว่าหากเป็นสมาชิกสำนักกักเก็บทักษะหรือศาลาศาสตรามณียุทธ์ พวกเขาจะต้องจ่ายเพียง 3 ใน 10 ส่วนของราคาที่ตั้งไว้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ราคาที่ข้าเสนอจึงถือเป็นราคามาตรฐานอย่างแน่นอน กำไรของพวกเราไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่เป็นราคาที่เพิ่มขึ้นสำหรับคนจากต่างเมืองต่างหาก
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วและพูดว่า “นั่นไม่เป็นการรังแกผู้คนไปหน่อยหรือ?”
ชายวัยกลางคนมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้วยิ้ม จากนั้นก็พูดว่า “นั่นไม่ใช่การกลั่นแกล้งรังแก แต่เรียกว่าการป้องกันตัวต่างหาก แม้ว่าอาณาจักรจ้งเทียนของเราจะเป็นอาณาจักรที่ทรงพลังและมีทรัพยากรมากมาย แต่เราก็ไม่ควรยอมให้ผู้อื่นกอบโกยผลประโยชน์ไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น ท่านว่าใช่หรือไม่…” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็เหลือบมองดูใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างใกล้ชิดอีกครั้ง ทว่าจู่ๆ เขาก็ตกตะลึงจนเงียบไป
โจวเหว่ยชิงดึงซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกมาและพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ มาดูกันว่าพวกเราจะซื้ออะไรในศาลาศาสตรามณียุทธ์แห่งนี้ได้บ้าง” เมื่อเขาพูดอย่างนั้น พวกเขาก็หันหลังจากไป
ในชั้นแรกของศาลาศาสตรามณียุทธ์ไม่ได้มีสินค้าคุณภาพดีไปกว่าศูนย์การค้าอาณาจักรเฟยหลี่เท่าไหร่นัก อีกทั้งราคาสินค้าก็ยังสูงจนเกินไป ด้วยเหตุนี้โจวเหว่ยชิงจึงไม่เต็มใจจะยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าที่อื่นเช่นนี้ เพราะถ้าหากเขาซื้อวัตถุดิบจากที่นี่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าเขาจะทำกำไรได้มากกว่าที่อื่นอยู่ดี
…
หลังจากที่ทั้งสองคนผละออกไปแล้ว เถ้าแก่ร้านก็ฟื้นคืนสติกลับมาในที่สุด เขาขยี้ตาขณะที่พึมพำกับตัวเอง “ข้ามองผิดไปหรือเปล่า? เมื่อกี้…เมื่อกี้…นั่นคือ…โอ้พระเจ้า!” ในช่วงเวลานั้น ใบหน้าที่ดูหยิ่งผยองกลับเปลี่ยนเป็นซีดเซียว เหงื่อเย็นๆไหลลงมาที่ใบหน้า ย้อมให้เสื้อตัวในของเขาเปียกโชก
“ไม่มีทาง ข้าต้องรีบรายงานเดี๋ยวนี้เลย! บัดซบ! ทำไมข้าต้องเจอนางด้วยนะ” พอพูดแบบนั้น เขาก็รีบวิ่งแจ้นไปทางหลังร้านทันที
…
โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นด้านหลังพวกเขาขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินทอดน่องไปยังทางออกอย่างไม่ทุกข์ร้อน ในขณะที่พวกเขาเดินเคียงคู่กันไปนั้น ทั้งสองก็ได้แต่สบตากันอย่างอับจนหนทาง แววตาของทั้งคู่ดูหมดอาลัยตายอยาก
อันที่จริง การได้เข้ามาเห็นศาลาศาสตรามณียุทธ์ในครั้งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหมดหนทางจนทำอะไรไม่ถูก
“สิ่งที่เถ้าแก่พูดเป็นเรื่องจริง ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์และทรัพยากรของพวกเขาเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญอย่าง ยิ่ง…หากพวกเขาเป็นจักรพรรดิแห่งจ้งเทียน พวกเขาก็คงจะไม่ยอมให้ทรัพยากรสำคัญเช่นนี้หลุดมือไปง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้นการขายของในราคาสูงก็เป็นตัวเลือกที่ดี ม้วนคัมภีร์ทุกม้วนที่พวกเขาขายออกไป พวกเขาก็สามารถนำไปซื้อวัตถุดิบหายากจากอาณาจักรอื่นๆ มาเก็บไว้ในอาณาจักรเพิ่ม ด้วยอำนาจและสถานะของพวกเขา อย่างไรก็สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดอยู่แล้ว นี่คือสาเหตุที่อาณาจักรขนาดใหญ่และทรงพลังเช่นนี้สามารถพัฒนารากฐานให้แข็งแกร่งขึ้นได้เรื่อยๆ ในขณะที่อาณาจักรเล็กๆ เช่นอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราแม้แต่จะขยับตัวทำอะไรก็ยังทำได้ยากลำบากเหลือเกิน”
ขณะที่โจวเหว่ยชิงพูด เขาก็อดส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
มีลูกค้าไม่มากนักในศาลาศาสตรามณียุทธ์ ตอนนี้พวกเขาจึงมาถึงห้องโถงใหญ่ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
ในขณะที่พวกเขากำลังเตรียมจะจากไป น้ำเสียงที่ฟังดูรีบร้อนก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังพวกเขาอย่างฉับพลัน “เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน…”
ทั้งคู่หันไปมองตามเสียงฝีเท้าทางด้านหลัง จากนั้นก็เห็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีขาวมาพร้อมกับชายชราคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวเช่นกัน แต่อีกฝ่ายกลับมีด้ายสีทองกุ๊นขอบอยู่แทน ไม่นานพวกเขาก็มาถึงตัวโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์
ชายชราตรงหน้าขยับตัวได้รวดเร็วมาก ก่อนที่พวกเขาทั้งคู่จะทันได้กระพริบตา อีกฝ่ายก็มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาแล้ว แม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ซึ่งเชี่ยวชาญในด้านความเร็วก็ทำได้เพียงจ้องชายชราด้วยความประหลาดใจ พวกเขาสองคนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากอีกฝ่าย นี่ต้องเป็นผู้ทรงพลังที่มีระดับพลังปราณสูงกว่าของพวกเขามากแน่นอน
ชายชราไม่ได้มองไปที่โจวเหว่ยชิง แต่หยุดสายตาของเขาไว้ที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เท่านั้น ช่วงเวลาต่อมา พวกเขาก็ได้ยินเสียงเขาหอบหายใจแรงขึ้นขณะที่ถอยหลังไปสองก้าวและค้อมตัวลงไปถึงเอวอย่างรวดเร็ว “เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลศาลาศาสตรามณียุทธ์ชั้นที่ 1 อู๋เหวินเจี๋ย พร้อมรับใช้ท่านแล้ว”
เถ้าแก่ร้านที่พวกเขาพบก่อนหน้านี้ยิ่งมีท่าทีสั่นกลัวกว่าชายชราข้างๆ เสียอีก เขาย่อตัวลงคุกเข่าในทันที ร่างกายสั่นสะท้านขณะที่เขาหมอบคำนับแก่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ “ข้ารับใช้ผู้นี้มีตาหามีแววไม่ ได้โปรดลงโทษข้าด้วยเถิด”
เมื่อเห็นทั้งคู่ทำความเคารพต่อหน้าพวกเขา โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความสับสน โจวเหว่ยชิงมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และถามว่า “เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ?”
………………………………………………………..