Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 81.2 ทักษะสะบัดปีกเฉือน (2)
ด้วยพลังปราณสวรรค์ที่เหลือไม่เพียงพอประกอบกับความตกใจ พลังปราณสวรรค์ที่คอยปกป้องร่างของชิงเฉียนจึงถูกทำลายโดยลูกศรพริบตาดอกนั้นและระเบิดไหล่ที่ไร้การป้องกันข้างนั้นทันที ในช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะนั้นเอง แสงสีเขียวเงินก็ได้คลืบคลานเข้ามาในตัวเธอด้วย
เมื่อโจวเหว่ยชิงได้เห็นมู่เอินใช้ทักษะการยิงธนูแบบสายบิดเป็นครั้งแรก อีกฝ่ายได้ใช้มันต่อกรกับอสูรสวรรค์ระดับเทวะ แน่นอนว่ามันสามารถกำราบและสร้างบาดแผลให้กับอสูรสวรรค์ระดับเทวะตัวนั้นได้! ด้วยพลังระเบิดทำลายล้างของธนูราชันย์และผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจเช่นนี้ แม้มู่เอินจะมีระดับพลังปราณที่ต่ำกว่า แต่เขากลับทำสำเร็จได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ความจริงตั้งแต่เริ่มงานประลองมณีสวรรค์โจวเหว่ยชิงไม่เคยใช้ทักษะการยิงธนูนี้และเก็บมันไว้สำหรับการต่อสู้ครั้งสำคัญ ดังนั้นเมื่อเขาปลดปล่อยมันออกมา มันย่อมแสดงพลังออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
แสงสีเขียวเงินนั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากทักษะสะบัดปีกเฉือนที่เขาเพิ่งฝึกอัดทักษะในช่วง 3 วันที่ผ่านมา
เมื่อทักษะสะบัดปีกเฉือนอันน่าสะพรึงกลัวนี้เข้าสู่ร่างกาย มันจะส่งผลดีต่อเธอได้อย่างไร? ร่างกายของชิงเฉียนแข็งทื่อทันที เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาจากอวัยวะภายในเพราะอวัยวะภายในทั้งหมดถูกทำลาย…ชีวิตของเธอกำลังใกล้จะหลุดลอยไปเต็มที
ความพ่ายแพ้ของเธอไม่ได้เกิดจากการขาดแคลนพลังปราณสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการที่ชิงเฉียนคิดว่าโจวเหว่ยชิงเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุด ไม่ว่าพวกเขาจะให้ความสำคัญกับเขามากแค่ไหน เขาก็ยังคงเป็นจ้าวมณีระดับต่ำและไม่มีฐานะเท่าเทียมกับคนอื่นอยู่ดี ทว่าใครก็ตามที่เคยประเมินโจวเหว่ยชิงต่ำเกินไปล้วนไม่เคยพบจุดจบที่ดี แม้แต่หลินเทียนอ้าวเองก็เคยประสบกับความสูญเสียเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังนำอิสรภาพของตนเองไปเดิมพันอีกด้วย!
“ชิงเฉียนนนนนน!!!” เมื่อเห็นชิงเฉียนได้รับบาดเจ็บหนักถึงชีวิต หลางเซี่ยก็กรีดร้องออกมาด้วยความรวดร้าวระคนตกใจ บนใบหน้าของเขามีแววเจ็บปวดฉายชัดอยู่บนนั้น เขาเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งด้วยความโกรธเกรี้ยว กล้ามเนื้อของเขาปูดโปนออกมากะทันหันเมื่อเขาระเบิดพลังออกมาสุดแรงเกิด เขาจัดการโจมตีใส่หลินเทียนอ้าวอย่างเกรี้ยวกราด อนิจจา เมื่อเผชิญหน้ากับหลินเทียนอ้าวผู้หนักแน่นและมั่นคงดุจหินผา ไม่ว่าการโจมตีที่ปั่นป่วนของเขาจะโผล่มาจากทิศทางไหน พวกมันก็ล้วนกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ไปในทันที หลางเซี่ยทำได้เพียงเฝ้ามองขณะที่แสงในดวงตาของเธอค่อยๆมืดสลัวลง ศาสตรามณียุทธ์สลายไปในอากาศและทรุดฮวบลงไปกับพื้น
ในอีกด้านหนึ่ง โจวเหว่ยชิงกำลังเผชิญหน้ากับการโจมตีของชิงเฉียนเป็นครั้งสุดท้าย ไม่นานพายุหมุนสีดำก็มาถึงตัวเขาแล้ว ก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงได้พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วด้วยทักษะพายุสลาตันของเขา และนั่นก็เป็นแผนที่ทำให้เธอเข้าใจผิดคิดว่าเขาจะไม่ใช้ธนู อนิจจา การกระทำครั้งนี้ก็มีค่าแลกเปลี่ยนสูงมากเช่นกัน แม้จะโจมตีอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็ยังส่งตัวเองพุ่งเข้าหาพายุหมุนสีดำเพราะไม่มีโอกาสหลบพายุที่สามารถ “ฆ่า” เขาลูกนี้ได้เลย
โจวเหว่ยชิงมองเห็นชัดเจนว่าด้วยระดับพลังปราณของเขา หากถูกโจมตีด้วยทักษะผสาน 2 ธาตุนี้โดยตรง ไม่ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็จะต้องสลายหายไปแน่
โชคดีที่ชิงเฉียนเสียชีวิตก่อนและไม่สามารถควบคุมทักษะได้อีกต่อไป ในช่วงเวลาที่อันตรายเข้าขั้นวิกฤตเช่นนี้ แสงสีทองเข้มก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของโจวเหว่ยชิงในเสี้ยววินาทีก่อนที่เขาจะถูกพายุหมุนสีดำนั้นกลืนกินเข้าไป
ในที่สุดพายุหมุนสีดำก็สลายหายไปอย่างช้าๆ ส่วนโจวเหว่ยชิงก็ถูกทิ้งให้นอนกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นหลายจุด ทว่าโชคดีที่เขายังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีแม้แต่รอยเลือดบนตัวเขา
แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับอันตราย แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังเหงื่อโซมกาย เขาคิดกับตัวเองว่า ดูเหมือนว่าข้าไม่ควรรีบใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาไปจนหมดเช่นนี้เลย…บางทีอาจจะดีกว่าหากเก็บมันเอาไว้ใช้ในเวลาคับขันเช่นนี้ ข้าเกือบจะตายอยู่แล้ว!
แน่นอนว่าเขาเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นแล้วจริงๆ แต่ในช่วงเวลาสุดท้าย เขาได้เรียกค้อนในตำนานออกมาทันเวลา และโล่ป้องกันศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าก็ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้เพราะเขาปลดปล่อยพวกมันออกมาก่อนที่พายุหมุนจะสิ้นสุดลง
เป็นเพราะโล่ป้องกันระดับพระเจ้าที่ทำให้เขารอดชีวิตมาได้ โชคดีที่เขาเก็บค้อนคู่ลงไปทันเวลาและซ่อนตัวอยู่ในพายุหมุนสีดำ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสังเกตเห็นมันหรือสงสัยเขา เพราะถึงอย่างไรโจวเหว่ยชิงก็มีทักษะธาตุมืดเช่นกัน และไม่มีใครรู้ว่าเขามีวิธีอื่นในการจัดการกับมันหรือไม่
การที่เขาสามารถฆ่าชิงเฉียนได้ด้วยลูกศรเพียงดอกเดียวก็ทำให้ผู้ชมทั้งหมดตกใจได้แล้ว ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าระหว่างการต่อสู้ของจ้าวมณีสวรรค์ระดับมณี 5 ชุดทั้ง 3 คน ผู้ที่พลิกสถานการณ์จะไม่ใช่หนึ่งใน 3 คนนั้น แต่เป็นจ้าวมณีระดับ 3 ชุดที่ ‘อ่อนแอที่สุด’ อย่างโจวเหว่ยชิง!
ความจริงตั้งแต่การต่อสู้ครั้งแรก ขณะเขาส่งเย่เป่าเปาออกไป โจวเหว่ยชิงก็ได้หมายหัวสมาชิกผู้ที่แข็งแกร่งอันดับ 2 ของกลุ่มนักรบป่ายต้าคนนี้เอาไว้แล้ว
เห็นได้ชัดว่าระดับพลังปราณ พลังควบคุม และความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของชิงเฉียนนั้นแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้คนก่อนอย่างเจี่ยงเฟยจากกลุ่มนักรบเหมี่ยวซึ่งมีทักษะธาตุมืดเหมือนกันมาก แต่ถึงแม้โจวเหว่ยชิงจะไม่รู้มาก่อนว่าเธอก็มีทักษะธาตุมืดเช่นกัน เขาก็ได้วางแผนกำจัดสมาชิกลำดับที่ 2 ของกลุ่มนักรบป่ายต้าเอาไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้ว
บทบาทของเย่เป่าเปานั้นเรียบง่ายแต่สำคัญมาก เพื่อให้อีกฝ่ายเผาผลาญพลังปราณสวรรค์ออกไปให้ได้มากที่สุด จากนั้นโจวเหว่ยชิงก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้เธอโกรธ กุญแจดอกสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จก็ไม่ใช่ทักษะระดับ 10 ดาวอย่างทักษะสะบัดปีกเฉือน แต่เป็นทักษะการยิงธนูแบบบิดสายต่างหาก! อันที่จริงมันเป็นการผสมผสานกันระหว่างทักษะการยิงธนูแบบบิดสายและพลังระเบิดทำลายล้างของธนูราชันย์ที่ทำให้เขาสามารถทะลวงเกราะพลังปราณสวรรค์ระดับมณี 5 ชุดของชิงเฉียนได้และทำให้ทักษะสะบัดปีกเฉือนเปิดทำงานจนอีกฝ่ายถึงแก่ความตาย
เวลา 3 วันที่โจวเหว่ยชิงฝึกอัดใช้ทักษะนี้ทำให้เขาสามารถควบคุมทักษะสะบัดปีกเฉือนได้อย่างเชี่ยวชาญ หากไม่มีพลังปราณสวรรค์หรือศาสตรามณียุทธ์คอยปกป้อง แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุดก็ไม่สามารถรอดชีวิตจากมันไปได้ ขณะที่ชิงเฉียนล้มคว่ำลงกับพื้น ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของเธอคล้ายกับว่าอีกฝ่ายอาจไม่ได้รับบาดเจ็บหนักใดๆ แต่ในความเป็นจริงอวัยวะภายในทั้งหมดกลับถูกทำลายไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างมณี 5 ชุดและ 3 ชุดนั้นยิ่งใหญ่มาก แม้จะมีการวางแผนกลอุบายทั้งหมดเอาไว้ อีกทั้งชิงเฉียนก็ยังประเมินเขาต่ำเกินไป แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังเกือบตายเพราะการโจมตีครั้งสุดท้ายของชิงเฉียน แม้นั่นยังคงอยู่ภายใต้ความจริงที่ว่าเขาเป็นฝ่ายควบคุมการต่อสู้และเธอยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอออกมาก็ตาม
โจวเหว่ยชิงทรุดลงบนพื้นพลางหอบหายใจ สายตาของเขาไร้ความสุขหรือความภาคภูมิใจ มีเพียงความแน่วแน่ที่น่าหวาดหวั่นเท่านั้น ภายในใจของเขา เขากำลังประกาศกร้าวออกมาว่า พ่อตาในอนาคตของข้า! รอดูเถิด ข้าจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกระทำและพลังของข้า ข้าจะต้องปกป้องปิงเอ๋อร์ได้อย่างแน่นอน!
การต่อสู้ยังไม่จบและการตายของชิงเฉียนก็ทำให้หลางเซี่ยคลุ้มคลั่งจนฟาดฟันการโจมตีใส่อีกฝ่ายด้วยพลังทั้งหมดของเขา ร่างกายของเขาเปล่งประกายแสงสีเขียววูบวาบขณะที่ใช้ทักษะธาตุลมเสริมพลัง อนิจจา หลินเทียนอ้าวก็ได้เปลี่ยนจากการรุกกลับเป็นการรับอีกครั้ง เขายังคงยืนตรงเหมือนขุนเขาที่หนักแน่นไม่ยอมเคลื่อนไหว เป็นการป้องกันขั้นสุดยอดที่ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถข้ามผ่านไปได้
แต่เดิมหลางเซี่ยก็ด้อยกว่าหลินเทียนอ้าวเล็กน้อยอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้รับผลกระทบจากทักษะคำสาปลงทัณฑ์ของโจวเหว่ยชิง แม้ว่าเขาจะอยู่ในสถานะคลุ้มคลั่งและอาจดูเหมือนกำลังได้เปรียบ แต่ในความเป็นจริงพลังปราณสวรรค์ของเขากำลังถูกระบายออกไปอย่างรวดเร็วในอัตราที่เหนือกว่าหลินเทียนอ้าวมาก นั่นไม่ได้นับรวมโจวเหว่ยชิงที่สามารถฟื้นตัวและเข้าร่วมการต่อสู้ได้ตลอดเวลา ผู้ชมทุกคนจึงสามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่ากลุ่มนักรบเฟยหลี่กำลังได้เปรียบอย่างมากในการต่อสู้ครั้งนี้…
โจวเหว่ยชิงใช้พลังปราณสวรรค์ของเขาไปเกือบ 6 ใน 10 ส่วนแล้ว ส่วนใหญ่เป็นเพราะเขาใช้ทักษะจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้พลังปราณของเขาลดลงเร็วยิ่งขึ้น
ทว่าเขาก็ไม่ได้รีบร้อน โจวเหว่ยชิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและยืดเส้นยืดสายก่อนที่จะเดินไปที่ศพของชิงเฉียน เขายกขาขึ้น ร่างของเธอถูกส่งไปยังเรือนพักกลุ่มนักรบป่ายต้าอย่างนุ่มนวลในขณะที่เขาพูดกับตัวเอง “เฮ้อ…ข้าสะเพร่าเหลือเกิน…นางจะตายแบบนี้ได้ยังไง! ทำไมนางถึงอ่อนแอขนาดนี้?…เอ๊ะ ทำไมร่างกายของนางถึงนุ่มแบบนี้ล่ะ นี่กระดูกแตกไปหมดแล้วเหรอ?”
ถ้าหลางเซี่ยมีสติดี สิ่งที่เขาควรทำคือกระโดดลงไปและยอมแพ้อย่างรวดเร็ว ยอมรับความสูญเสียนี้แล้วพยายามพลิกสถานการณ์ในการต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1 ในภายหลังจะดีกว่า
น่าเสียดายที่โจวเหว่ยชิงนั้นเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ดีจนน่าตกใจ เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่มู่เอินสอนให้เขาส่วนใหญ่ก็คือการอ่านใจผู้คนและมองหาจุดอ่อน แน่นอนว่านั่นอาจจะมากกว่าการยิงธนูด้วยซ้ำ!
ก่อนหน้านี้เมื่อชิงเฉียนเสียเปรียบจากการโจมตีของโจวเหว่ยชิง พฤติกรรมของหลางเซี่ยก็ดูรุนแรงขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินได้ทันทีว่าทั้ง 2 คนต้องมีความสัมพันธ์มากกว่าเพื่อนร่วมกลุ่มธรรมดาแน่นอน สิ่งนี้ได้รับการยืนยันเพิ่มเมื่อหลางเซี่ยคลุ้มคลั่งหลังจากที่ชิงเฉียนถูกสังหาร สิ่งที่เขากำลังทำในตอนนี้คือการทำให้หลางเซี่ยโกรธมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เขาฟื้นคืนสติและตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง ใบหน้าของหลางเซี่ยก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที จู่ๆ เขาก็พ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง ก่อนมันจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นลูกศรโลหิตที่ห่อหุ้มด้วยพลังปราณสวรรค์ธาตุลมพุ่งตรงไปยังร่างของโจวเหว่ยชิง เขาไม่กลัวที่จะใช้เลือดเนื้อและชีวิตของตัวเองฆ่าโจวเหว่ยชิงเพื่อแก้แค้นให้กับชิงเฉียน
อนิจจา สำหรับคนอย่างโจวเหว่ยชิง เมื่อเขาพูดคำเหล่านั้นออกมา เขาย่อมต้องเตรียมพร้อมสำหรับปฏิกิริยาตอบโต้อยู่แล้ว เมื่อเผชิญกับการโจมตีอย่างกะทันหันจากหลางเซี่ย ร่างของเขาก็หายไปอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ แน่นอนว่าระยะฟื้นตัวของทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของเขาครบกำหนดพอดี
ลูกศรโลหิตไม่สามารถพุ่งเข้าใส่โจวเหว่ยชิงได้ มันจึงบินผ่านเขาออกไปในระยะไกล ขณะที่มันกำลังจะพุ่งออกจากเวที ผู้ตัดสินก็รีบยกมือขึ้นปิดกั้นด้วยโล่พลังปรานอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้มันพุ่งเข้าหาฝูงชนและทำร้ายคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
ด้วยพลังและประสบการณ์การต่อสู้ของหลินเทียนอ้าว เมื่อหลางเซี่ยโจมตีไปยังโจวเหว่ยชิง เขาก็ไม่รอช้า รีบคว้าโอกาสดีๆเช่นนี้ไว้อย่างรวดเร็ว หลินเทียนอ้าวพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายในระยะประชิด โล่หนักของเขาปะทะกับกระบองหนามโดยตรงทำให้เขากระเด็นถอยหลังออกไป ทว่าเมื่อถึงจุดนั้น หลินเทียนอ้าวก็แสดงให้โลกเห็นว่าเหตุใดโล่ประสานของเขาจึงถูกเรียกว่า “การโจมตีและป้องกันในหนึ่งเดียว”
เมื่อโล่หนักถูกฟาดลงมา มันก็ถูกใช้เหมือนขวานขนาดใหญ่ที่สับลงไปด้านล่าง
หลางเซี่ยสะดุดไปข้างหลัง เขากำลังเสียสมดุลและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้กระบองหนามของเขาเพื่อป้องกันการโจมตีอีกครั้ง เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นขณะที่พวกมันปะทะกันและหลางเซี่ยก็ต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ในขณะที่เขากำลังถอยไปด้านหลัง แสงสีเหลืองก็ปรากฏขึ้นข้างหลังเขาอย่างเงียบงันและขวางร่างที่ซวนเซของเขาเอาไว้ ในเวลาเดียวกัน โล่หนักในมือของหลินเทียนอ้าวก็ถอดแยกออกกลายเป็นโล่ 5 ชิ้น ทั้งหมดพุ่งเข้าหาหลางเซี่ยอย่างรวดเร็วและโหดเหี้ยมเหมือนเครื่องบดเนื้อ
กำแพงกั้นด้านหลังของหลางเซี่ยคือทักษะขั้นสุดยอดของหลินเทียนอ้าว มันคือทักษะเกราะลวงตาของเขาซึ่งมีพลังเป็น 1 ใน 5 ของพลังป้องกันทั้งหมด แม้จะเป็นเช่นนั้น มันก็เพียงพอแล้วที่จะป้องกันไม่ให้หลางเซี่ยถอยหนีไปได้อีก ทั้งยังทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในระยะของการโจมตีกะทันหันนี้พอดี ที่สำคัญกว่านั้นคือมันทำให้เขาเสียจังหวะ โล่ที่แยกออกจากกันทั้ง 5 ฟาดลงไปเหมือนอาวุธลับจากมุมที่ต่างกัน 5 มุมทันที
เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามถึงชีวิต ศักยภาพแฝงของหลางเซี่ยก็ระเบิดออกมา กระบองหนามในมือของเขาหมุนวนราวระบำมรณะ พยายามที่จะป้องกันการโจมตีทั้งหมดเอาไว้
ในขณะนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเกร็งแน่นขึ้นในเสี้ยววินาทีและทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ช้าลง น่าเสียดายที่สำหรับเขา ช่วงเวลาแห่งความตายในเสี้ยววินาทีนั้นเปรียบเสมือนเวลาชั่วนิรันดร์
………………………………………………………..