Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 86.3 ความโกรธของปีศาจน้อยเซิน! (3)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 86.3 ความโกรธของปีศาจน้อยเซิน! (3)
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ปีศาจน้อยเซินซึ่งก่อนหน้านี้เคยอยู่ในสภาวะบ้าดีเดือดก็สงบลง เธอมองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างเย็นชาและพูดว่า “เจ้ามาที่นี่เพื่อยอมแพ้?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว ผู้ตัดสินก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่โจวเหว่ยชิง จากมุมมองของเขา นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงหากเขายอมแพ้ในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงกลับหันไปหาเธอและกล่าวว่า “ทำไมข้าต้องยอมแพ้? ข้าอยากจะลองทดสอบพลังของหุบเขาอเวจีสีเลือดด้วยตัวเองเช่นกัน กลุ่มนักรบเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิง”
ปีศาจน้อยเซินชะงักไปอีกครั้ง ดวงตาของเธอหรี่ลง สีหน้าเยือกเย็นขณะแผ่รังสีสังหารออกมา เธอรู้ว่านี่อาจไม่ใช่การต่อสู้รอบตัดสิน แต่สำหรับโจวเหว่ยชิงที่เต็มใจที่จะต่อสู้กับเธอจริงๆ เธอก็รู้สึกประทับใจกลุ่มนักรบเฟยหลี่ขึ้นมาเล็กน้อย อย่างน้อยพวกเขาก็มีความกล้าที่จะต่อสู้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะออมมือให้อีกฝ่าย
“กลุ่มนักรบตันตุ้น ปีศาจน้อยเซิน”
เมื่อรับรู้ถึงรังสีสังหารที่รุนแรงของปีศาจน้อยเซิน ผู้ตัดสินก็ประกาศอย่างรวดเร็ว “การประลองเริ่มได้” ทันทีที่เขาพูดอย่างนั้น เขาก็รีบถอยร่นออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งเวทีให้นักสู้ทั้งสองคนทันที
เมื่อได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงท้าสู้ปีศาจน้อยเซิน สมาชิกทุกคนในกลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็ลุกขึ้นยืน แม้แต่ขี้เมาเป่าและเซียวเอี๋ยนก็หยุดโต้เถียงเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
อู่หยาพึมพำกับตัวเอง “เขากำลังทำสิ่งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่อาณาจักรเฟยหลี่ เขากำลังบอกเราว่าไม่ว่าจะเป็นนักรบของมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังโกรธแค้น นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไร้เทียมทานเสมอไป เหว่ยชิงทำได้ดีมากจริงๆ”
เสียงของอู่หยาดังออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และแม้ว่าเธอจะพึมพำกับตัวเอง แต่สมาชิกในกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทุกคนก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน นอกจากหลินเทียนอ้าวแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็แสดงท่าทางตื่นเต้น หมัดของพวกเขากำแน่นขณะที่จ้องมองไปที่เวทีอย่างไม่หวั่นไหว
หลินเทียนอ้าวยืนอยู่ด้านหลัง มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถเดาได้ว่าโจวเหว่ยชิงกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากคุยกันเมื่อวันก่อน เขาก็เดาได้ว่าโจวเหว่ยชิงกำลังทำเช่นนั้นเพื่อพิสูจน์ตัวเองกับวังสวรรค์ไพศาล เพื่อแสดงว่าตัวเองคู่ควรกับซ่าง กวนปิงเอ๋อร์! นอกจากนี้ หลินเทียนอ้าวก็รู้จักนิสัยของโจวเหว่ยชิงเป็นอย่างดี เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ และไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้น
บนแท่นนั่งของผู้ชมระดับสูง เมื่อเทียนซินเห็นว่าโจวเหว่ยชิงกำลังท้าสู้ปีศาจน้อยเซิน ความฉงนฉายวูบขึ้นมาในดวงตาของเขาทันที เขาหันไปหาซ่างกวนหลงหยินและพูดเบาๆ “หลงหยิน เจ้ามุ่งหน้าไปที่นั่นซะ หากชีวิตของโจวเหว่ยชิงตกอยู่ในอันตราย เจ้าต้องหยุดการต่อสู้นั้นทันทีแม้จะผิดกฎของงานประลองก็ตาม สหายตัวน้อยนั่นกำลังพยายามทำอะไรกันแน่? เขากำลังท้าสู้สมาชิกระดับสูงของหุบเขาอเวจีสีเลือดจริงๆ รึ? เขากำลังรนหาที่ตายหรือไร? เฮ้อ…ข้าจะปล่อยให้เขาตายแบบนี้ไม่ได้ ไม่เช่นงั้นข้าจะเล่าเรื่องนี้ให้พี่รองฟังได้อย่างไร”
ในช่วงเวลาต่อมา ซ่างกวนหลงหยินก็หายตัวไปทันที ส่วนเขาไปที่ไหนนั้นย่อมไม่มีใครรู้
“เขาน่าจะมั่นใจอยู่พอสมควร มิฉะนั้นเขาคงจะไม่เสี่ยงชีวิตเช่นนี้” ทันใดนั้น น้ำเสียงที่เยือกเย็นและกระจ่างชัดก็ดังขึ้นในหูของซ่างกวนเทียนซิน สำหรับคนที่กล้าพูดกับเขาเช่นนี้ ด้วยท่าทีและน้ำเสียงเช่นนี้ มีคนในอาณาจักรจ้งเทียนจำนวนไม่มากนักที่สามารถทำเช่นนั้นได้
ซ่างกวนเทียนซินหันหน้าไปมองและเห็นว่าซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ หญิงสาวยังคงเย็นชาและไร้ความรู้สึกเหมือนเคย เธอมายืนอยู่ข้างๆ เขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ เมื่อเห็นเขาหันมามอง เธอก็ก้มหัวทักทายเขาเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “ลุง สาม”
ซ่างกวนเทียนซินกล่าวด้วยความสนใจว่า “โอ้ เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือเสว่เอ๋อร์ มาๆ นั่งลงเถิด บอกลุงหน่อยว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าโจวเหว่ยชิงคนนี้มีความมั่นใจน่ะ เขาจะใช้อะไรเอาชนะยอดคนจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือ?”
แม้ว่าซ่างกวนเสว่เอ๋อร์จะพูดกับลุงของเธอ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่พูดอย่างเฉยชา “เพื่อที่จะเกลี้ยกล่อมให้ท่านพ่อยอมให้นางอยู่กับโจวเหว่ยชิง ในที่สุดปิงเอ๋อร์ก็บอกความลับเกี่ยวกับมณีธาตุและทักษะธาตุของเขา โจวเหว่ยชิงคนนั้น…มีไพฑูรย์ตาแมวสองสีอยู่จริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ แม้แต่ซ่างกวนเทียนซินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหว “ไพฑูรย์ตาแมวสองสี? ประเภทเดียวกับที่พี่ใหญ่และพี่รองมี? โอ้!? งั้นก็ดูเหมือนว่าสหายตัวน้อยคนนั้นจะมีทักษะธาตุ 4 ชนิด นอกจากทักษะธาตุมืด ทักษะธาตุมิติและทักษะธาตุลมที่เขาได้แสดงให้เห็นจนถึงตอนนี้ แล้วทักษะธาตุสุดท้ายคืออะไรล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำถามของซ่างกวนเทียนซิน สีหน้าและแววตาของซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทันใดนั้นกำแพงเสียงได้ก่อตัวขึ้นเหนือร่างของพวกเขาสองคนอย่างรวดเร็ว ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครสามารถดักฟังพวกเขาได้ “ ไม่ใช่อีกหนึ่ง แต่เป็นอีก 3 ชนิด ท่านพ่อถือว่าเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดและนอกจากท่านและท่านลุงใหญ่แล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก โจวเหว่ยชิงมีทักษะธาตุ 6 ชนิด และพวกมันก็คือทักษะธาตุมืด ทักษะธาตุมิติ ทักษะธาตุลม ทักษะธาตุสายฟ้า ทักษะธาตุปีศาจ และทักษะธาตุกาลเวลา”
“อะไรนะ?!” แม้จะเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ ซ่างกวนเทียนซินก็ยังไม่อาจยับยั้งความตื่นตกใจของตัวเองได้ เขาอุทานออกมาเสียงดังขณะที่กรามของเขาอ้าค้าง แววตาปรากฏความไม่เชื่อถือ “ทักษะธาตุกาลเวลา?! แท้จริงแล้วเขามีทักษะธาตุที่ท้าทายกฏแห่งสวรรค์อยู่จริงๆ? ไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่เคยพูดว่ามีเพียงหุบเขาหลงใหลเท่านั้นที่มีทักษะธาตุเช่นนี้หรอกหรือ? ในบรรดา 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นิกายปีศาจสวรรค์เป็นที่รู้จักในเรื่องทักษะแห่งความชั่วร้ายหรือที่พวกเขาเรียกว่าทักษะธาตุปีศาจและทักษะธาตุมืด โดยปกติแล้วทายาทสายตรงหรือสาวกระดับสูงของพวกเขาจะมีทักษะธาตุทั้งสองนี้ สำหรับหุบเขาอเวจีสีเลือด พวกเขาขึ้นชื่อเรื่องทักษะธาตุไฟและธาตุแสง แต่หุบเขาหลงใหลกลับมีเพียงทักษะธาตุเดียว แต่ก็เป็นทักษะธาตุกาลเวลาเพียงอย่างเดียวนั้นเองที่ทำให้พวกเขาตั้งตนอยู่ในลำดับที่ 3 รองจากวังสวรรค์ไพศาลและภูเขาหิมะสวรรค์ได้ มณีธาตุในวังสวรรค์ไพศาลของเรานั้นค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องทักษะธาตุที่หลากหลาย แม้ว่าเราจะไม่มีทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 แต่สาวกระดับสูงของเรามักจะมีไพฑูรย์ตาแมวสองสี ด้วยเหตุนี้เราจึงมีความโดดเด่นท่ามกลางบรรดามหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และพี่ใหญ่ยังมีมหาทักษะธาตุ 3 ชนิดคือทักษะธาตุแสง ทักษะธาตุมิติ และทักษะธาตุชีวิต เมื่อรวมกับข้อเท็จจริงที่ว่าเรามีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ชั้นนำของโลกและชุดในตำนานอันยิ่งใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน นั่นก็คือชุดศาสตรามณียุทธ์สวรรค์ไพศาลไร้สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถทัดเทียมกับภูเขาหิมะสวรรค์ได้”
ในขณะที่เขาพูดคำว่าภูเขาหิมะสวรรค์ คิ้วของเขาขมวดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบาๆ และพูดต่อ “ในแง่ของความแข็งแกร่ง กษัตริย์แห่งภูเขาหิมะสวรรค์นั้นแข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างแท้จริง และชื่อเสียงของเขาก็ล้วนมีที่มาที่ไป ไม่ใช่แค่ระดับพลังปราณของเขาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะเขามีทั้งทักษะธาตุเทวาและทักษะธาตุวิญญาณ เป็นบุคคลเดียวที่มีทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ถึง 2 ชนิดอยู่ในตัว…แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครในมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่วังสวรรค์ไพศาลของเราหรือแม้แต่ภูเขาหิมะสวรรค์ที่มีไพฑูรย์ตาแมวสองสี 6 ทักษะธาตุ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าบอกว่าเขามีไม้ตายซ่อนอยู่และทำให้เขามั่นใจได้ถึงขนาดนี้ ตอนนี้ข้าชักจะสนใจแล้วว่าเขาจะทำอะไรต่อไปบ้าง”
ในขณะที่เขาพูดถึงจุดนั้น ซ่างกวนเทียนซินก็ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาหันไปหาซ่างกวนเสว่เอ๋อร์และถามอย่างสงสัย “เสว่เอ๋อร์ เจ้าบอกว่าเขามีทักษะธาตุปีศาจด้วยหรือ? เขามีความเชื่อมโยงกับนิกายปีศาจสวรรค์หรือไม่?”
ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ส่ายหัวและพูดว่า “ตามที่ปิงเอ๋อร์บอก เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกนั้นเพราะปิงเอ๋อร์เป็นผู้ถูกสังเวยในช่วงที่พลังของทักษะธาตุปีศาจตื่นขึ้นมา” เมื่อเธอพูดอย่างนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองโจวเหว่ยชิงด้วยความโกรธแค้นโดยไม่รู้ตัว
เวลานี้การต่อสู้บนเวทีก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ทันทีที่ผู้ตัดสินตะโกนให้สัญญาณเริ่มการต่อสู้ ทั้งโจวเหว่ยชิงและปีศาจน้อยเซินก็เคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน น่าแปลกที่ไม่มีใครเสียเวลาเปิดใช้ทักษะหรือศาสตรามณียุทธ์แม้แต่คนเดียว แต่ทั้งคู่กลับพุ่งเข้าหากันและกันในแทบจะทันที
สำหรับผู้ชมที่มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ พวกเขาย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมปีศาจน้อยเซินจึงทำเช่นนั้น ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ที่โดดเด่น มีความคิดฝังหัวพวกเขาอยู่ว่าไม่ควรเผาผลาญพลังปราณสวรรค์ทิ้งโดยไม่จำเป็น ทั้งหมดก็เพื่อให้สามารถใช้พลังปราณได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อระดับพลังปราณของคนๆ หนึ่งเพิ่มขึ้น พลังปราณสวรรค์ก็จะค่อยๆ พัฒนาร่างกายให้เสถียรยิ่งขึ้นเช่นกัน เมื่อมาถึงระดับมณี 6 ชุด พลังพื้นฐานของปีศาจน้อยเซิน ทั้งความเร็ว ความว่องไว ความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น และแม้แต่พลังโจมตีก็น่าสะพรึงกลัวอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะใดๆ ก็ตาม หากเลือกโจมตีโดยตรง เธอจะมีตัวเลือกในการโจมตีครั้งแรก ทั้งประหยัดพลังปราณและในขณะเดียวกันก็ยังมั่นใจว่าสามารถตอบสนองและใช้ทักษะหรือศาสตรามณียุทธ์ได้เมื่อจำเป็น
เมื่อเห็นการกระทำของปีศาจน้อยเซิน ใบหน้าของหลินเทียนอ้าวก็ดูน่าเกลียดขึ้น เห็นได้ชัดว่าเธอสงบสติลงแล้ว มิฉะนั้นเธอจะไม่ต่อสู้แบบนั้นแน่นอน…และนั่นก็เป็นลางร้ายสำหรับพวกเขาทีเดียว
ในทางกลับกัน ผู้ชมส่วนใหญ่กลับไม่เข้าใจว่าทำไมโจวเหว่ยชิงถึงทำเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังคงเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ปกติ แม้คู่ต่อสู้ที่เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุดจะไม่มีคุณสมบัติความแข็งแกร่งเหมือนเขา แต่อีกฝ่ายก็ยังมีความแข็งแกร่งทางกายภาพมากกว่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดอยู่ดี และแน่นอนว่ายังเร็วกว่าด้วย
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือดในแทบจะทันทีที่เริ่มการต่อสู้ การโจมตีของปีศาจน้อยเซินนั้นตรงไปตรงมาและไร้เล่ห์เหลี่ยม ร่างกายของเธอโค้งเหมือนคันธนู หมัดขวาพุ่งไปราวกับลูกศร
สิ่งที่โจวเหว่ยชิงใช้ไม่ใช่กำปั้นของเขา แต่เป็นฝ่ามือ มือขวาของเขากางออกและตบไปที่กำปั้นของเธอ ในแง่ของความเร็ว เขาช้ากว่าปีศาจน้อยเซินอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าความเร็วและความแข็งแกร่งนั้นมีความสัมพันธ์กัน เห็นได้ชัดว่ายิ่งวัตถุเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งมีพลังมากขึ้น ก่อนที่ทั้งสองจะปะทะกันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าปีศาจน้อยเซินถือไพ่เหนือกว่า นี่เป็นช่องว่างด้านความแข็งแกร่งทางกายภาพที่เห็นได้อย่างชัดเจนระหว่างจ้าวมณีสวรรค์ระดับสูงกับระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าภาพที่น่าประหลาดใจก็ปรากฏแก่สายตาของผู้ชม
*ปั่ก*!
เมื่อหมัดของปีศาจน้อยเซินฟาดลงบนฝ่ามือของโจวเหว่ยชิงอย่างรุนแรง ในสายตาของผู้ชมส่วนใหญ่ โจวเหว่ยชิงควรจะถูกส่งให้กระเด็นออกไปด้วยการโจมตีที่รุนแรงจากปีศาจน้อยเซินแล้ว
แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดคิด
เมื่อกำปั้นนั้นปะทะกับฝ่ามือ โจวเหว่ยชิงก็ยืนนิ่งราวกับว่าร่างของเขาถูกตอกแน่นลงไปกับพื้น ตัวของเขาไม่แม้แต่จะสั่นสะเทือนในขณะที่อ้ามือรับการโจมตีนั้นโดยดี ในทางกลับกัน การจู่โจมของปีศาจน้อยเซินกลับถูกบังคับให้ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศอย่างกะทันหัน ในระหว่างการโจมตี จู่ๆ ร่างกายของเธอก็ถูกยกขึ้นจากพื้นในเสี้ยววินาที ก่อนจะลงแตะพื้นอีกครั้งด้วยปลายเท้า
ฝ่ามือขวาของโจวเหว่ยชิงเคลื่อนไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว และผู้ชมก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทั้งมือของเขาลากยาวไปจนถึงแขนกำลังขยายขนาดอย่างรวดเร็ว ระเบิดแขนเสื้อด้านขวาของเขาให้กลายเป็นเศษผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ในการปะทะกันครั้งแรกของพวกเขา โจวเหว่ยชิงผู้มีมณี 3 ชุดกลับเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในฐานะผู้ที่ประมือกับเขาโดยตรง ปีศาจน้อยเซินย่อมได้รับประสบการณ์ที่ชัดเจนที่สุด เมื่อหมัดของเธอฟาดลงบนฝ่ามือของโจวเหว่ยชิง เธอก็พร้อมจะให้เขาใช้ทักษะของเขากับเธอแล้ว ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับไม่ได้ปล่อยทักษะหรือศาสตรามณียุทธ์ใดๆ ออกมา และแม้จะเป็นเช่นนั้น เธอก็ยังรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังพุ่งชนกำแพงอิฐหนาๆ หรือภูเขาลูกหนึ่งอยู่ คล้ายกับว่าความแข็งแกร่งที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีของเธอกลับกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ไปในพริบตา
ในการต่อสู้ที่ผ่านมา อู่หยาเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มนักรบเฟยหลี่ที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางกายภาพ ส่วนโจวเหว่ยชิงนั้นมีบทบาทเพียงสนับสนุนหรือควบคุม ใช้ความสามารถในการยิงธนูและทักษะอันทรงพลังจำนวนมากเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะมากกว่า ทว่าในตอนนี้เขากลับไม่คิดจะปกปิดความแข็งแกร่งของตนเองอีกต่อไป จู่ๆ โจวเหว่ยชิงก็ปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มรูปแบบ พลังที่เขาใช้เอาชนะอู่หยามาได้ แม้จะเพิ่งเริ่มต้น แต่เขาก็ออกแรงเต็มที่แล้ว!