Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 93.3 เกาะมณีสวรรค์! (3)
สี่น้อยยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “เฮ้ เหว่ยชิง เจ้าคงจะไม่ขี้เหนียวกับพวกเราขนาดนั้นใช่ไหม? ในช่วงงานประลองนี้ อย่างมากก็เจ้าจ่ายไม่กี่หมื่นเหรียญทองเท่านั้น นี่แค่เรื่องขี้ผงสำหรับเจ้าชัดๆ!”
โจวเหว่ยชิงส่งเสียงหึก่อนจะพูดว่า “ฝันไปเถอะ หากท่านต้องการให้ข้าเลี้ยงอาหารอย่างเดียว ได้ นั่นย่อมไม่เป็นปัญหาเลย ข้ามีอาหารแห้งมากมายในสร้อยมิติ สามารถเลี้ยงดูพวกท่านทุกคนได้อย่างน้อยหนึ่งเดือน ข้านี่เตรียมตัวมาพร้อมดีจริงๆ ฮิๆ” เมื่อพูดจบ เขาก็รีบขุดหาอาหารแห้งและผลไม้จำนวนหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะทันที
“อ๊าา…เหว่ยชิง เจ้ามันเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!”
โจวเหว่ยชิงหัวเราะพลางกล่าวว่า “เอาล่ะ ทุกคนรีบกินกันเถอะ หลังจากกินอาหารแล้วเราจะได้ไปที่ศาลาศาสตรามณียุทธ์กัน ข้าจะจ่ายเงินซื้อของขวัญที่ตกลงกันไว้ให้พวกท่านก่อน หึ เกรงว่าบางคนอาจจะบ่นเอาได้ว่าข้าขี้เหนียว!”
เมื่อได้ยินว่าพวกเขากำลังจะได้รับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ทุกคนต่างก็กระปรี้กะเปร่าขึ้นมาในพริบตา สมาชิกในกลุ่มใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งของเวลาที่พวกเขามักจะใช้กินอาหารกวาดทุกอย่างลงท้อง หลังจากนั้นพวกเขาก็รีบมุ่งหน้าออกจากโรงเตี๊ยมและตรงไปยังศาลาศาสตรามณียุทธ์บนเกาะมณีสวรรค์ทันที
สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ ศาลาศาสตรามณียุทธ์และวังกักเก็บทักษะของเกาะมณีสวรรค์ถือเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาทุกคน บางทีอาจเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ในตำนานเลยก็ว่าได้ ที่นี่คือสถานที่ที่สามารถหาของคุณภาพสูงได้อย่างแท้จริง
มองจากภายนอก ศาลาศาสตรามณียุทธ์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นดูเล็กกว่าสิ่งปลูกสร้างในเมืองหลวงจ้งเทียนมาก แม้ว่าจะมี 4 ชั้นเหมือนกัน แต่พวกเขาประเมินว่าพื้นที่ทั้งหมดน่าจะมีขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของศาลาศาสตรามณียุทธ์แห่งเมืองหลวงจ้งเทียนเท่านั้น
น่าแปลกที่ไม่มีทหารยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูทางเข้า สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่จึงเดินตรงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
การตกแต่งภายในศาลาศาสตรามณียุทธ์แห่งนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับในเมืองจ้งเทียน พวกมันเป็นรูปแบบโบราณที่เรียบง่ายทว่าสวยงามวิจิตรยิ่ง เมื่อพวกเขาเข้าไปในศาลา พนักงานในชุดขาวสองคนก็ตรงเข้ามาทักทายพวกเขาทักที
พนักงานทั้งสองน่าจะมีอายุประมาณ 20 ปี แม้ว่าพวกเขาจะให้ความรู้สึกที่หนักแน่นและสุขุมเกินวัยไปก็ตาม ชัดเจนว่าทั้งคู่ไม่ใช่คนธรรมดาหรือสามัญชนทั่วไป
“ยินดีต้อนรับแขกผู้มาเยือนในวันนี้ ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านประสงค์สิ่งใด?” ชายหนุ่มในชุดขาวด้านซ้ายกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูนอบน้อม
หลินเทียนอ้าวเอ่ยตอบด้วยความเคารพ “ขอบคุณมาก พวกเรามาที่นี่เพื่อตามหาม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ไม่ทราบว่าท่านมีผลงานของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะบ้างหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำถามของเขา รอยยิ้มของพนักงานในชุดคลุมสีขาวสองคนก็ถูกจุดขึ้นใสพร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ชายคนที่อยู่ทางซ้ายจึงกล่าวว่า “แขกผู้มีเกียรติท่านนี้ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ท่านมาเยือนศาลาศาสตรามณียุทธ์ของเราใช่หรือไม่? ข้าขอแนะนำศาลาของเราแบบง่ายๆเช่นนี้ ที่นี่แต่ละชั้นจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านซ้ายเป็นม้วนคัมภีร์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนด้านขวาเป็นวัตุดิบต่างๆ ที่ใช้สำหรับสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ และในทุกชั้นก็จะแบ่งเขตเป็นสัดส่วนเช่นนี้เหมือนๆ กัน”
“ในนั้นชั้นแรก ส่วนใหญ่จะเป็นม้วนคัมภีร์ระดับปรมาจารย์และระดับเทวะ รวมถึงวัตถุดิบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในชั้นนี้ม้วนคัมภีร์ของเราจะมีหลุมบรรจุมณีทุกชิ้น สำหรับชั้นที่ 2 นั้นก็ยังคงเป็นม้วนคัมภีร์ระดับปรมาจารย์และระดับเทวะ แต่ความแตกต่างคือมีขายเฉพาะชุดศาสตรามณียุทธ์เท่านั้น ไม่มีแยกชิ้นส่วน ชั้นที่ 3 คือม้วนคัมภีร์ระดับเทพเจ้าและวัตถุดิบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง”
เมื่อได้ยินคำแนะนำง่ายๆ ของเขา สมาชิกในกลุ่มก็พลันตกตะลึง แม้ว่าพวกเขาจะประเมินศาลาศาสตรามณียุทธ์ไว้สูงมากแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคาดเดาพลังที่แท้จริงของมันต่ำเกินไป
แม้แต่ม้วนคัมภีร์คุณภาพต่ำสุดของพวกเขาก็ยังเป็นม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์ที่มีหลุมบรรจุมณี ตามด้วยม้วนคัมภีร์ระดับเทวะ ซ้ำยังมีถึง 2 ชั้น…ยิ่งไปกว่านั้นก็คือพวกเขายังมีชุดศาสตรามณียุทธ์ขายอีกด้วย! ชุดศาสตรามณียุทธ์ทั้งชุดอาจหมายถึงการเปลี่ยนจ้าวมณีสวรรค์ธรรมดาให้กลายเป็นยอดฝีมือได้เชียวนะ! ยิ่งไปกว่านั้น นั่นยังไม่นับรวมถึงของคุณภาพสูงกว่าซึ่งวังสวรรค์ไพศาลน่าจะเก็บไว้ให้ตัวเองอีกด้วย…พวกเขาต้องมีรากฐานความมั่งคั่งที่น่าเหลือเชื่อแบบไหนกันถึงจะสามารถทำอะไรเช่นนี้ได้
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือแค่ชั้น 3 ก็ขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าแล้ว สิ่งที่ได้รู้ทำให้พวกเขาทุกคนสูดหายใจเข้าด้วยความตื่นตะลึง
โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “แล้วชั้นที่ 4 ล่ะ? นั่นหมายความว่า…ชั้นที่ 4 ขายม้วนคัมภีร์ชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า ชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานหรือ?!”
อีกฝ่ายส่ายศีรษะพลางบอกว่า “ไม่ใช่แน่นอน ท้ายที่สุดแล้วชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานเหล่านั้นก็ถือเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล ศาลาศาสตรามณียุทธ์ของเรามีแบบร่างชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานที่แตกต่างกัน 7 แบบและสามารถขายได้เฉพาะม้วนคัมภีร์ที่เสร็จสมบูรณ์ 4 แบบเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับของเหล่านี้เราจะทำการแลกเปลี่ยนเฉพาะสิ่งที่เท่าเทียมกันเท่านั้นและจะไม่ขายแลกเปลี่ยนกับเหรียญทองเนื่องจากพวกมันมีค่ามากเกินไป ด้วยเหตุนี้ ชั้นที่ 4 จึงมีไว้สำหรับสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่ทำขึ้นโดยเฉพาะสำหรับแต่ละคน โดยมีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทุกระดับตั้งแต่ระดับเทวะและมากกว่านั้นขึ้นไปมาช่วยสร้างศาสตรามณียุทธ์ให้ท่านโดยเฉพาะ แน่นอนว่าราคาของม้วนคัมภีร์แบบเฉพาะนั้นแพงกว่ามาก อย่างน้อยก็ 3 เท่าของม้วนคัมภีร์ทั่วไปในระดับเดียวกัน”
ทันทีที่สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ได้ยินว่าชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานสามารถแลกเปลี่ยนได้จริงๆ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง แม้จะไม่มีใครสามารถแลกเปลี่ยนบางอย่างกับมันได้ อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็รู้แล้วว่ามันมีให้แลก!
แม่มดน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้างพลางพึมพำกับตัวเอง “ ไม่น่าแปลกที่เกาะมณีสวรรค์จะถูกเรียกว่าเป็นสถานที่ที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดินใหญ่ทั้งหมด…”
ดวงตาของสี่น้อยสว่างขึ้นด้วยความยินดีในขณะที่เขาอุทานออกมา “หากข้ามีสิ่งล้ำค่ามากพอจะแลกเปลี่ยนชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานได้ทั้งชุดล่ะก็…อ่า…ข้าก็กลายเป็นยอดฝีมือระดับสูงในอนาคตได้น่ะสิ!”
ขี้เมาเป่าจ้องมองเขาอย่างเบื่อหน่ายและพูดว่า “เอาล่ะ หยุดฝันกลางวันได้แล้ว นั่นไม่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าของพวกนั้นไม่มีค่าเลยหรือไง? สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสามารถหาซื้อได้ ไปดูม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะกันเถอะ หากเราสามารถหาม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะที่เหมาะสมได้ มันก็จะคุ้มค่ากับการเดินทางมาที่นี่อย่างแท้จริง”
ในความเป็นจริง คนอื่นๆ ต่างก็กำลังฝันกลางวันอย่างเงียบๆ เช่นกัน แต่พวกเขาก็ถูกดึงกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงด้วยคำพูดของขี้เมาเป่า ชุดในตำนานทั้งชุดมีราคาแพงมากจนแม้แต่อาณาจักรขนาดเล็กหรือขนาดกลางก็ไม่อาจจ่ายไหว ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหนักแค่ก็ตาม นับประสาอะไรกับจ้าวมณีสวรรค์ที่ไร้ซึ่งผู้หนุนหลังที่ยิ่งใหญ่ดั่งเช่นพวกเขา
ทุกคนจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังชั้นแรกอย่างรวดเร็วเพื่อเลือกซื้อม้วนคัมภีร์ระดับเทวะ
โจวเหว่ยชิงคว้าแขนหลินเทียนอ้าวไว้ก่อนที่เขาจะเดินตามคนที่เหลือไป เขาหันไปหาขี้เมาเป่าและคนอื่นๆ พลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าทุกคนล่วงหน้าไปก่อนและค่อยๆ เลือกเอาตามใจชอบ เมื่อตามไปถึงข้าจะเป็นคนจ่ายเงินให้เอง หัวหน้า ไปที่ชั้น 4 เพื่อเลือกซื้อของท่านเถอะ สถานการณ์ของท่านแตกต่างจากพวกเขามาก เพื่อให้ชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ของท่านดำเนินไปตามแบบ ท่านจะต้องใช้ม้วนคัมภีร์พิเศษที่ปรับแต่งขึ้นเอง”
หลินเทียนอ้าวเริ่มขมวดคิ้วขณะที่เขาพูดว่า “แต่…ราคา…”
โจวเหว่ยชิงหัวเราะและกล่าวว่า “จากสิ่งที่ข้าเห็น ท่านใกล้จะถึงระดับมณี 6 ชุดแล้วใช่ไหม? ข้ารู้ว่าต้องใช้เวลานานพอสมควรก่อนที่ข้าจะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะ และท่านก็ไม่ควรเสียเวลารอข้า ไปกันเถอะ…” ขณะพูดเช่นนั้น เขาก็ลากหลินเทียนอ้าวไปด้วย
หลินเทียนอ้าวเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทป้องกันขั้นสุดยอดและเป็นหนึ่งในผู้ที่มีพรสวรรค์และทักษะอันโดดเด่น ที่สำคัญกว่านั้นคือชายหนุ่มเป็นผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิง แน่นอนว่ากับคนของเขาโจวเหว่ยชิงย่อมใจกว้างดุจสายน้ำ การเพิ่มความแข็งแกร่งให้หลินเทียนอ้าวย่อมหมายถึงการเพิ่มพลังให้ตัวเอง โจวเหว่ยชิงจะไม่ยอมตระหนี่ถี่เหนียวกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน หลินเทียนอ้าวได้เริ่มก้าวเดินไปตามเส้นทางชุดประสานศาสตรามณียุทธ์ของเขาแล้ว นี่เป็นวิธีการที่สุดขั้วมากเกินไป และหากเขาไม่ยอมก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางนี้ นั่นอาจขัดขวางความก้าวหน้าและทำให้พรสวรรค์ของเขาสูญเปล่า โจวเหว่ยชิงไม่ต้องการให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากต้องสูญเสียศักยภาพดังกล่าวไปเพื่อแลกกับประหยัดเงิน การทำให้โล่ประสานของหลินเทียนอ้าว ‘พัง’ คงไม่คุ้มค่ากับการแลกเปลี่ยนนัก
หลินเทียนอ้าวไม่ได้ประท้วงต่อ เขาเดินตามโจวเหว่ยชิงไปเงียบๆ ทันที ทว่าใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มที่อบอุ่นประดับอยู่น้อยๆ
เมื่อเขาพ่ายแพ้ให้กับโจวเหว่ยชิงเป็นครั้งแรกและกลายเป็นผู้ติดตามของเขา แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ได้เต็มใจทำเช่นนั้น ความทุกข์ระทม ความผิดหวัง และความสิ้นหวัง…อารมณ์เหล่านั้นแทบจะทำให้ข่วนหัวใจของเขาเป็นแผลลึก ทว่าเขาเป็นบุคคลรักษาสัจจะและเขาก็ยึดมั่นกับคำพูดของตนเองเสมอไม่ว่าตัวเขาจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ถึงกระนั้น…เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งได้ใช้เวลาร่วมกับโจวเหว่ยชิงมากเท่าไหร่ ความรู้สึกเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหายไปเท่านั้น ไม่ใช่แค่ความสามารถอันน่าเหลือเชื่อที่โจวเหว่ยชิงแสดงออกมา แต่ความเฉลียวฉลาดและลักษณะนิสัยของเขา ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มจะเป็นผู้นำที่ดีและควรค่าแก่การติดตาม แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความเคารพในกันและกันที่โจวเหว่ยชิงแสดงให้เขาเห็น
ในงานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้ เขาคิดว่าอาจได้เป็นผู้นำเพียงในนามเพราะตัวเองเป็นผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิง ทุกคนย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าในตอนแรกเขาจะรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองขนาดไหน อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงกลับไม่ได้พยายามยึดตำแหน่งของเขาหรือแสดงสัญญาณความไม่พอใจใดๆ เด็กหนุ่มเรียกเขาด้วยความเคารพเหมือนน้องชายคนเล็ก นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกไม่ชอบใจค่อยๆ สลายหายไปในตามกาลเวลา
พวกเขายังมีเวลาอีกค่อนข้างมาก ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงไม่รีบร้อนเดินไปที่ชั้น 4 แต่พาหลินเทียนอ้าวไปยังฝั่งซีกขวาของห้อง แน่นอนว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเลือกซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เพียงอย่างเดียว ในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ โจวเหว่ยชิงย่อมไม่ยอมเสียเงินไปกับการซื้อม้วนคัมภีร์ที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว เว้นก็แต่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น ถึงอย่าง ไรท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายของเขาคือการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะหรือแม้แต่ระดับเทพเจ้า! ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องมาเลือกซื้อวัตถุดิบหายากบางอย่างที่จำเป็นล่วงหน้าเตรียมพร้อมสำหรับความต้องการในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เขามีเงินมากพอจะใช้จ่ายและอาจใช้โอกาสนี้ซื้อสิ่งที่เขาต้องการ วัตถุดิบเหล่านั้นจะไม่มีวันมีมูลค่าลดลงไม่ว่าในกรณีใดๆและจะมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้นเท่านั้น จากระดับราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ในท้องตลาด เขาจึงตระหนักถึงจุดนี้ได้อย่างชัดเจน
เมื่อเดินไปยังฝั่งขวาของห้อง สิ่งที่เข้าสู่สายตาของโจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าวเป็นลำดับแรกคือบรรดาสินค้าต่างๆที่น่าตื่นตาตื่นใจ ตั้งแต่กระดาษศาสตรามณียุทธ์ หมึกศาสตรามณียุทธ์ ไปจนถึงวัตถุดิบที่จำเป็นหลากหลายชนิด มองเพียงแวบเดียว โจวเหว่ยชิงก็สามารถบอกได้ว่าของพวกนี้ทั้งหมดเป็นสมบัติหายากอย่างแท้จริง
“อะไรนะ?! ให้ตาย! หญ้ามนต์ดำนั่นมีอายุอย่างน้อย 500 ปี! เดี๋ยวก่อน นั่นอะไร? สวรรค์! อย่าบอกนะว่ามันคือว่านหยกเขียว! อ๊าาา…ใช้มันสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะก็อาจจะเสียของไปหน่อย…”
โจวเหว่ยชิงพึมพำกับตัวเองอย่างบ้าคลั่ง มองไปรอบๆ เพื่อสำรวจเหล่าขุมสมบัติและพืชหายากที่น่าอัศจรรย์ใจเบื้องหน้า อย่างไรก็ตาม เขาก็เหลือบไปเห็นราคาที่ระบุไว้ใต้รายการด้วยเช่นกัน ราคาเหล่านั้นขึ้นอยู่กับความหายากและคุณภาพของสินค้า และเมื่อมองไปที่เลข 0 ที่เขียนหลังตัวเลขราคา โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปพร้อมรอยยิ้มขมขื่น
จนถึงเวลานี้เขาไม่เคยเห็นวัตถุดิบใดๆ ที่มีราคาต่ำกว่า 5,000 เหรียญทองเลย และสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงวัตถุดิบชิ้นเดียวเท่านั้น จากราคาเหล่านี้ก็สามารถจินตนาการได้แล้วว่าม้วนคัมภีร์ที่เสร็จสมบูรณ์จะราคาสูงลิ่วแค่ไหน หากจะอธิบายราคาสินค้าในศาลาศาสตรามณียุทธ์แล้วล่ะก็ การปล้นกันกลางวันแสกๆ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องเกินจริงนัก
ในเวลาเดียวกัน บรรดาลูกค้าก็ไม่อาจบ่นเกี่ยวกับราคาเหล่านั้นได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือก้มหน้าจ่ายตามราคาไปอย่างเชื่อฟังเท่านั้น ถึงอย่างไรพวกเขาไม่ได้บังคับให้ใครซื้อสินค้าเสียหน่อย วัตถุดิบเหล่านี้หายากมากในโลกภายนอกและสถานที่เดียวที่อาจมีโอกาสพบก็คือในหอประมูลเท่านั้น และในระหว่างการประมูล ราคาอาจพุ่งขึ้นสูงไปกว่าราคาที่ระบุไว้ที่นี่ด้วยซ้ำ!
หลังจากกวาดสายตาสอดส่องไปสักพัก โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา หากเป็นที่นี่…เงินหนึ่งร้อยล้านเหรียญทองจะนับเป็นอะไรได้! โชคดีที่คราวนี้เขาสามารถแลกเปลี่ยนวิชาเทพอมตะกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้ามาได้ก่อน
หลังจากกวาดตาดูวัตถุดิบต่างๆ อย่างรวดเร็วแล้ว โจวเหว่ยชิงตัดสินใจที่จะไม่รีบร้อนซื้อสินค้าที่เขาต้องการ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังมีเวลาอีกมากและวัตถุดิบเหล่านี้ก็มีราคาสูงเกินไป สมองของเขาจึงผุดคำสอนของฮูเหยียนเอ้าป๋อขึ้นมาทันทีและตัดสินใจที่จะกรุ่นคิดทุกอย่างให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะซื้อสินค้าใดๆ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องการใช้วัตถุดิบราคาแพงเหล่านี้ให้เต็มประสิทธิภาพที่สุด และหากสามารถผสมมันกับวัตถุดิบเสริมที่มีราคาถูกกว่าได้ เมื่อสร้างหมึกศาสตรามณียุทธ์เขาก็จะสามารถประหยัดไปมากโขเลยทีเดียว ทว่าในการทำเช่นนั้นเขาก็จะต้องใช้เวลาขบคิดและวางแผนสิ่งต่างๆ อย่างรอบคอบ ในเวลาเดียวกัน โจวเหว่ยชิงก็จะต้องคิดด้วยว่าเขาจำเป็นจะต้องซื้ออะไรให้หยุนหลี่บ้าง แม้จะมีเงินให้ใช้สอยแล้ว แต่เขาจะต้องใช้จ่ายทุกเหรียญอย่างชาญฉลาด
ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงเลือกที่จะเลื่อนการตัดสินใจไปไว้ภายหลังและมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นบนๆ ก่อน เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง เขาก็จะสามารถวางแผนได้ว่าต้องการซื้ออะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากเขาอาจต้องการวัตถุดิบบางอย่างจากชั้นบนๆด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเขาจะต้องวางแผนให้รัดกุมว่าจะเหลือเงินอยู่เท่าไหร่หลังจากซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะให้เหล่าสหายของเขา
หลังออกจากชั้นแรก พวกเขาก็เข้าสู่ชั้นที่ 2 โจวเหว่ยชิงพาหลินเทียนอ้าวไปยังห้องฝั่งขวาที่มีการขายพวกวัตถุดิบอีกครั้ง เมื่อเขาเข้าไปภายใน เด็กหนุ่มก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นใครบางคนกำลังยืนอยู่หน้าต้นหญ้าเล็กๆ และพึมพำบางอย่างกับตัวเองเบาๆ
คนผู้นั้นคือหญิงชราในชุดคลุมสีเทา เธอไม่ได้สูงชะลูดเป็นพิเศษ อาจเรียกได้ว่าอวบอ้วนเล็กน้อยด้วยซ้ำ บนศีรษะมีผมสีขาวสยายลงมาคลอเคลียบนไหล่อย่างยุ่งเหยิง หญิงชราไม่เพียงแต่พึมพำกับตัวเองเท่านั้น แต่เธอยังชี้ไม้ชี้มือไปยังต้นหญ้าต้นนั้นอีกด้วย นั่นจึงทำให้เกิดภาพแปลกประหลาดและดูน่าพิลึกแก่ผู้พบเห็น
……………………………………………………………