Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 15.4 การกักเก็บทักษะธาตุ (4)
“ฝึกฝนในนาทีสุดท้าย เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำได้?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเธอจะพูดเช่นนั้น แต่สุดท้ายเธอก็ถอดธนูอุษาม่วงออกจากหลังแล้วส่งให้กับเขา
“เดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง” โจวเหว่ยชิงรับธนูอุษาม่วงไป จากนั้นก็วิ่งจากไปด้วยจิตวิญญาณอันแรงกล้า แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าการแข่งขันทหารใหม่นั้นเป็นอย่างไร แต่บิดาแก่ๆก็เคี่ยวกรำเขาราวกับฝึกทหารมาตั้งแต่อายุได้ 7 ขวบก่อนจะเข้าร่วมกับกองทัพเสียอีก เวลานั้นสิ่งที่เขาขาดมากที่สุดคือความแข็งแกร่งทางกายภาพ แต่ตอนนี้เขาได้กลายจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้รับอนุญาติให้ใช้มณียุทธ์ แต่ร่างกายของเขาก็พัฒนาขึ้นมามากกว่าคนทั่วๆไปมาก และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มมีความมั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น
3 วันให้หลัง
ณ ค่ายทหารที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวงอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เสียงเป่าแตรดังขึ้นในตอนเช้า พลทหารก็พากันหลั่งไหลออกมาจากกระโจมของพวกเขา จากนั้นก็ตั้งแถวยาวเพื่อจะเดินทางออกนอกค่าย
ทหารทั้งหมดมีมากกว่า 2,000 นาย ซึ่ง 1,000 นายในนั้นเป็นกำลังทหารของกองพันที่ 5 ที่มารับผิดชอบการเกณฑ์ทหารใหม่ ในขณะที่อีก 1,000 คนที่เหลือก็คือทหารใหม่ที่รับเข้ามานั่นเอง
กองพันทั้ง 10 กองของกรมที่ 5 ได้ทำการคัดเลือกทหารใหม่กองพันละ 1 กองร้อยเพื่อเสริมกำลังแนวหน้าและชดเชยกำลังพลทหารที่ดูแลจัดการในค่าย
หลังจากทหารใหม่ได้เข้ารับการฝึกฝนจนเวลาล่วงเลยไป 3 เดือน ทหารใหม่ก็เริ่มมีลักษณะท่าทางสมกับเป็นทหารกล้ามากยิ่งขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถยืนหลังตรงได้อย่างสง่างาม เครื่องแบบทหารใหม่เอี่ยมยังทำให้ทุกคนดูแข็งแกร่งและดูราวกับมีจิตวิญญาณของนักรบ
ในขณะนี้โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ท่ามกลางทหารกองร้อยใหม่ของกองพันที่ 3 ในมุมอับๆ ที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขามีธนูอุษาม่วงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์พาดอยู่บนหลังด้วย
ด้านหน้าของกลุ่มทหาร 2,000 นาย มีเจ้าหน้าที่ทหารชั้นสูงยืนอยู่หลายคน และคนที่อยู่ข้างหน้าสุดคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่อยู่ในชุดผู้บัญชาการกองพัน เธอเป็นผู้บัญชาการกองพันคนเดียวจากกรมทหารที่ 5 ที่เข้าชมการแข่งขันครั้งนี้ ส่วนผู้บัญชาการกองพันคนอื่นๆ ได้ส่งผู้บัญชาการกองร้อยมาแทน
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านหน้าอย่างองอาจและสง่างาม ข้างกายล้อมรอบไปด้วยเหล่าผู้บัญชาการกองร้อย ตอนนี้รูปลักษณ์ภายนอกของเธอช่างดูงดงามและน่าประทับใจมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว สายตาของเธอกวาดมองทหารทั้ง 2,000 นายจนถ้วนทั่ว จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับมอบหมายโดยกรมทหารที่ 5 ให้มาคัดเลือกทหารใหม่ ชื่อของข้าคือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ผู้บัญชาการกองพันที่ 3 กรมทหารที่ 5 หน่วยพลธนู”
ทหารเก่าๆ ยังคงมีท่าทีปกติดีเนื่องจากพวกเขาเคยเห็นผู้บัญชาการกองพันหญิงผู้งดงามคนนี้มาก่อนแล้ว แต่ทหารใหม่ส่วนใหญ่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“ว้าวววว นี่มันสุดยอดความงามของอาณาจักรเลยนี่หว่า! จริงๆ แล้วเธอคือผู้บัญชาการกองพันที่ 3 สังกัดกรมทหารที่ 5 ของเรางั้นเหรอเนี่ย?”
“เหอะๆ เจ้าเพิ่งจะรู้เหรอ? ทหารใหม่ของกองพันที่ 3 อย่างพวกเราจะได้รับมอบอุปกรณ์ส่วนตัวจากผู้บัญชาการกองพันกันทุกคน ดังนั้นเราจึงได้พบกับเธอมาก่อนแล้วในตอนนั้นไงล่ะ”
เมื่อได้ยินการพูดคุยของทหารรอบๆ ตัว โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกภาคภูมิใจมาก เขาคิดในใจอย่างลับๆ ว่า นั่นภรรยาของข้าโว้ย! แน่นอนว่าเขาไม่ได้ประกาศออกมาเสียงดังอย่างที่เขากำลังคิดในใจ
เมื่อเสียงสนทนาของพวกทหารใหม่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าจากเรื่องธรรมดาๆ ก็เริ่มชักชวนกันพูดเลอะเทอะมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้บัญชาการกองร้อยที่รับผิดชอบในการรับสมัครทหารจึงได้ตะโกนเสียงดังว่า “เงียบ!”
เหล่าทหารใหม่เงียบลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมในแต่ละกองพัน แต่การฝึกทหารใหม่นั้นได้จัดฝึกร่วมกันในค่ายทหารใหม่ และตอนนี้การฝึกได้จบลงแล้ว เมื่อการแข่งขันทหารใหม่สิ้นสุดลง พวกเขาก็จะต้องกลับไปประจำกองพันของตน
เซียวเซ่อยืนอยู่ข้างซ่างกวนปิงเอ๋อร์และมองไปยังฉากที่ค่อนข้างวุ่นวายตรงหน้าพวกเขา จากนั้นเธอก็เบ้ปากด้วยความรังเกียจ สนามรบนั้นถูกครอบครองโดยผู้ชาย แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่เคยเข้าใจสิ่งนี้ บุคคลเช่นนี้จะฉวยตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันของเธอไปได้อย่างไร เพียงแค่เธอเป็นจ้าวมณีสวรรค์แค่นั้นน่ะเหรอ? เหอะ! ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ!
ขั้นตอนต่อไปคือการจัดการตามระเบียบของกองทัพ ผู้บัญชาการกองร้อยของกรมทหารที่ 5 แต่ละคนก็ทำการเลือกเฟ้นหาผู้แข่งขัน ทหารใหม่บางคนถูกเลือกออกไป จากนั้นที่เหลือต่างก็มุ่งหน้ากลับไปยังกองบัญชาการใหญ่ของกองพันที่พวกเขาสังกัดอยู่ หลังจากกระบวนการทั้งหมดนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กลับเข้าสู่เวทีอีกครั้ง
“ดี! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่น้องทหารใหม่ทั้ง 1,000 คน พวกเจ้าได้กลายเป็นเป็นพลทหารของกรมทหารที่ 5 อย่างสมบูรณ์แล้ว! ต่อไป เราจะตรวจสอบผลการฝึก 3 เดือนของพวกเจ้าอย่างเข้มงวด ทหารใหม่ที่แสดงความสามารถโดดเด่นในการแข่งขันระหว่างทหารใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าหมู่ เอาล่ะ กองพันต่างๆ ไปเตรียมตัวได้แล้ว”
“ขอรับ” ผู้บัญชาการกองร้อยทุกคนปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง นำกองทหารของตนไปรวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว
กรมทหารที่ 5 เป็นกรมทหารราบ กรมนี้มีทั้งหมด 10 กองพัน โดยมีกองธนู 4 กองพัน กองกำลังอาวุธเบา 4 กองพัน และกองกำลังอาวุธหนักอีก 2 กองพัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากองกำลังอาวุธหนักนั้นเป็นไพ่ตายของกองพันที่ 5 ผู้บัญชาการกองพันที่รับผิดชอบ 2 กองพันนี้ยังมีตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการกรมทหารที่ 5 แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่กำลังตรึงกำลังอยู่ที่แนวหน้า
เนื่องจากความแตกต่างในประเภทของทหาร ดังนั้นการแข่งขันของทหารใหม่จึงไม่ได้แข่งแบบปะทะกันหมด 10 กองพัน แต่แยกแข่งตามประเภทของกองพันที่ตนสังกัดอยู่ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นล่ะก็ เมื่อปล่อยให้กองกำลังอาวุธเบาและกองกำลังอาวุธหนักต่อสู้กันก็ย่อมไม่ได้วัดอะไรไม่ได้อยู่ดี
การแข่งขันถูกแบ่งออกตามประเภทของกองพันเป็น 3 กลุ่มย่อยๆ ตามลำดับ สำหรับกองกำลังอาวุธหนักนั้นมีแค่ 2 กองพัน วิธีการแข่งขันก็ง่ายๆ พวกเขาเพียงแค่ต้องเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมาและต่อสู้กันโดยไม่ใช้อาวุธใดๆ นี่ถือเป็นการแข่งขันที่วัดความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ทหารที่ล้มลงจะถูกตัดสิทธิ์และนำออกไปจากสนามทันที และการต่อสู้เช่นนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว และผู้ชนะคนสุดท้ายนี้ก็จะได้รับรางวัลเป็นตำแหน่งนายหมู่ ในกรมทหารที่ 5 นี้ ควรรู้ไว้ว่านายหมู่ประจำกองพันอาวุธหนักที่สูงส่งนั้นจะได้รับอภิสิทธิ์เหนือกว่านายหมู่ทั่วๆ ไป ดังนั้น รางวัลนี้จึงเป็นหนึ่งในรางวัลที่ดีที่สุดในการแข่งขันทั้งหมดของทหารใหม่
สำหรับกองกำลังอาวุธเบา ในการแข่งขันทหารใหม่ของพวกเขานั้น ทหารจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน จริงๆ แล้วมันก็คล้ายกับการแข่งขันทหารกองกำลังอาวุธหนักที่ต้องต่อสู้ปะทะกันโดยตรง แต่ขณะที่กองพันอื่นนั้นต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว กองพันอาวุธเบาจะต่อสู้กันในรูปแบบเฉพาะตัวโดยไม่ต้องจับเป็นคู่ๆเ พื่อต่อสู้กันให้เสียเวลา นั่นคือกองพันทั้ง 4 จะใช้กลยุทธ์การต่อสู้แบบกลุ่ม โดยมีการตั้งขบวนเป็นรูปเฉพาะเพื่อต่อสู้กัน และใช้รูปแบบการต่อสู้แบบอิสระ 500 vs 500 หากทหารฝั่งใดถูกต่อยหรือล้มลงก็จะถูกคัดออกไปเรื่อยๆ หลังจากพัก 15 นาที รอบต่อไปจะเริ่มขึ้นทันที และวนไปแบบนี้เรื่อยๆจนกระทั่งเหลือผู้ชนะคนสุดท้าย
ตามความจริงแล้ว สำหรับทหารใหม่ส่วนใหญ่นั้น การแข่งขันระหว่างทหารใหม่ไม่ได้มีความสำคัญใดๆ กับพวกเขานัก และมันเป็นเพียงพิธีการที่พวกเขาต้องทำให้มันจบๆ ไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับทหารใหม่ที่มีทักษะดีเยี่ยมและมีความทะเยอทะยาน นี่ถือว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะแสดงฝีมืออย่างแท้จริง ด้วยสิ่งนี้ พวกเขามีโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองท่ามกลางผู้เข้าแข่งขันจำนวนมาก การแข่งนี้ไม่ใช่แค่ช่วยเลื่อนตำแหน่งของพวกเขาไปเป็นนายหมู่อย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นโอกาสสุดพิเศษที่จะช่วยสร้างชื่อเสียงให้พวกเขาในกองทัพด้วย และนั่นจะทำให้การเลื่อนขั้นในอนาคตของพวกเขาราบรื่นมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือเซียวเซ่อนั่นเอง
สำหรับกองธนู การแข่งขันทหารใหม่ของพวกเขานั้นฉีกแนวออกไปมากที่สุด สำหรับกองพันธนูทั้ง 4 กอง ทั้งหมดจะถูกแยกออกเป็น 2 ฝ่าย แต่ละฝ่ายประกอบด้วยพลธนู 200 นาย สนามแข่งขันจะมีพื้นที่ว่างตรงกลาง 200 หลาระหว่างทั้งสองฝั่ง และทั้งสองฝ่ายจะต้องยิงธนูใส่กัน ลูกธนูทั้งหมดนั้นจะถูกทำให้ทื่อ และป้ายด้วยปูนขาว ดังนั้นตราบใดที่พวกเขายิงธนูโดนอีกฝ่าย มันก็จะทิ้งร่องรอยสีขาวเอาไว้อย่างชัดเจน และเป้าหมายที่ถูกยิงก็จะต้องถอนตัวออกจากสนามรบทันที ดังนั้นนี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ง่ายที่สุดของการแข่งขันในครั้งนี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าวิธีการแข่งขันแบบนี้จะค่อนข้างง่าย แต่ก็ยังมีความนัยบางอย่างซ่อนอยู่เช่นกัน จะมีสักกี่คนที่สามารถยิงเข้าเป้าได้อย่างแม่นยำในระยะ 200 หลา? ผู้ที่สามารถยิงได้ไกลระดับนั้นจึงถือว่ามีความสามารถมาก ดังนั้นสำหรับกองธนู นี่เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมา และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเลือกเฟ้นเหล่าพลธนูที่มีความสามารถยอดเยี่ยม บรรดาเหล่าผู้บัญชาการกองร้อย แม้แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ในฐานะผู้บัญชาการกองพันก็ยังให้ความสนใจกับการแข่งขันธนูมากที่สุด อีกทั้งพวกเขาก็ยังมีหน้าที่รับผิดชอบกำกับดูแลทหารใหม่ของกองพันอยู่แล้วด้วย พวกเขาจึงสนใจการแข่งนี้มากเพราะว่าสถานที่แข่งขันเป็นลานโล่งกว้าง ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จะสามารถหลบลูกธนูของฝ่ายตรงข้ามได้
ในเวลานี้ แต่ละกองพันก็จัดรูปแบบกองทหารของตนให้ประจำอยู่ในแต่ละฝั่ง ด้านซ้ายเป็นกองพันที่ 1 และ 2 ส่วนด้านขวาเป็นกองพันที่ 3 และ 4
การแข่งขันระหว่างทหารใหม่ในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันระหว่างทหารเกณฑ์ธรรมดาๆ แต่ยังเป็นการแข่งขันเดิมพันระหว่างศักดิ์ศรีของกองพันต่างๆ อีกด้วย หากฝ่ายหนึ่งสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างราบคาบ นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกองพันของพวกเขา
………………………………………………………….