Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 16.1 การแข่งขันระหว่างทหารใหม่
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- ตอนที่ 16.1 การแข่งขันระหว่างทหารใหม่
เหตุผลที่เซียวเซ่อไม่ชอบกองร้อยใหม่ของกองพันที่ 3 เป็นเพราะเธอค้นพบว่าในระหว่างการฝึกทหารใหม่ กองพันที่ 1 และกองพันที่ 2 นั้นเต็มไปด้วยผู้ที่มีความสามารถมากมาย แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ยิงธนูได้แม่นยำมากในระยะ 200 หลา แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถยิงไกลๆ ได้และควบคุมได้ดี หากเปรียบเทียบกับกองพันที่ 3 และกองพันที่ 4 เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังมีศักยภาพไม่ดีเท่าที่ควร แม้ว่าผู้บัญชาการกองร้อยเหมาลี่เป็นผู้นำที่ค่อนข้างเก่งกาจ แต่มันก็ยังยากที่จะรับมือกับทหารกองพันอื่นๆ ที่มีสามารถมากกว่า และการฝึกระยะสั้นเพียงไม่กี่เดือนย่อมไม่เพียงพอจะชดเชยทักษะประจำตัวที่เหล่าทหารขาดไป ถึงแม้พวกเขาจะถูกฝึกอย่างหนักก็ตาม
โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ข้างๆ ผู้บัญชาการกองร้อยเหมาลี่ เขากระซิบเบาๆ ว่า “ผู้บัญชาการกองร้อย ท่านช่วยบอกตำแหน่งของพวกทหารเก่งๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที”
เหมาลี่มองเขาอย่างสงสัยและพูดว่า “เจ้าวางแผนจะทำอะไร?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้าง ถอดธนูอุษาม่วงบนหลังของเขาออกมาแล้วพูดเบาๆ “ข้าจะช่วยท่าน ‘ขานชื่อ’ ทหาร!”
ดวงตาของเหมาลี่สว่างวาบขึ้นทันที เดิมทีในใจของเขากังวลมากเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้ และไม่ได้นึกถึงโจวเหว่ยชิงที่เข้าร่วมในการแข่งครั้งนี้เลย ในสายตาของเขา โจวเหว่ยชิงมีปราณสวรรค์อยู่เพียงเล็กน้อย และอาจกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งมากกว่าคนอื่นๆไม่มาก แต่การยิงธนูนั้นเป็นความสามารถเฉพาะตัว และไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินโจวเหว่ยชิงพูดถึงการ ‘ขานชื่อ’ ชายหนุ่มก็รู้สึกประหลาดใจจริงๆ นั่นเป็นเพราะคำศัพท์นี้ใช้เฉพาะในหมู่นักธนูเท่านั้น โดยมันหมายถึงการสังหารและกำจัดเป้าหมาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว คำนี้มักจะถูกใช้โดยนักธนูที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเป็นระเบียบแบบแผนจากอาจารย์ที่สอนธนูโดยตรง เห็นได้ชัดว่าผู้ช่วยส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพันใหม่คนนี้ ผู้ซึ่งได้เผลอ ‘แตะ’ หน้าอกของผู้บัญชาการกองพันนั้นไม่ใช่ทหารใหม่ธรรมดาๆเสียแล้ว
“เอาล่ะ ย่อมได้ ข้าจะบอกเจ้าตอนนี้ และเจ้าต้องพยายามจำไว้ให้ดี ในฝั่งตรงข้าม ดูจากด้านซ้าย คนที่ห้า คนที่เก้า…”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างสนามเพื่อดูการแข่งขันทหารใหม่ด้วยสายตาพิจารณา แน่นอนว่าความสนใจทั้งหมดของเธอนั้นพุ่งตรงไปยังอ้วนน้อยโจวอย่างเป็นธรรมชาติ เธอมองเห็นเขาและผู้บัญชาการกองร้อยเหมาลี่กำลังกระซิบกระซาบอะไรกันบางอย่าง นั่นทำให้เธอค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคุยกัน
“ผู้บัญชาการกองพัน ท่านคิดว่าฝั่งไหนจะชนะ?” เสียงของเซียวเซ่อดังขึ้นเสียดหูซ่างกวนปิงเอ๋อร์
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หันไปมองแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นกองพันที่ 3 ของข้า ข้ามั่นใจในความสามารถของผู้บัญชาการกองร้อยเหมาลี่”
…
ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวเซ่อเบ้ปากพร้อมกับพูดอย่างเย้ยหยัน “พวกเขาเป็นเพียงกองร้อยใหม่ที่ไม่เคยลงสนามรบ และไม่เคยเห็นการนองเลือดด้วยตาตัวเองมาก่อนด้วยซ้ำ การฝึกเพียงไม่กี่เดือนจะมีประโยชน์มากแค่ไหนกันเชียว? ในการแข่งครั้งนี้ พรสวรรค์ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อ้อ ข้าลืมไปว่าท่านผู้บัญชาการกองพันไม่ได้อยู่ร่วมการฝึกทหารใหม่ ท่านจึงไม่รู้ว่าทหารฝั่งไหนมีความสามารถมากกว่า”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วอีกครั้ง เธอตัดสินใจเพิกเฉยต่อเซียวเซ่อก่อนจะก้าวไปข้างหน้าแล้วตะโกนออกมาเสียงดัง “การแข่งขันระหว่างทหารใหม่ เริ่มได้!”
ทหารใหม่ทั้งหมดตั้งท่าอยู่ใน 3 สนามที่แบ่งเป็นสัดส่วนครอบคลุมพื้นที่ลานขนาดใหญ่เบื้องหน้าของเธอ ทว่าเสียงตะโกนของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ทำให้ทั้งสนามได้ยินอย่างชัดเจน แน่นอนว่านั่นเป็นผลมาจากพลังปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับ 8 ของเธอนั่นเอง
เมื่อได้ยินเสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เซียวเซ่อก็กำหมัดของเธอแน่น ความจริงแล้ว สิ่งที่เธอผิดหวังที่สุดในชีวิตก็คือการที่เธอไม่สามารถปลุกพลังมณีของเธอได้ และนั่นก็ทำให้เธอไม่สามารถกลายเป็นจ้าวมณีได้เช่นกัน แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างหนักเพื่อจะหันไปเอาดีทางด้านอื่นแทน และแน่นอนว่าเธอก็ทำได้สำเร็จ แต่เธอก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนความจริงข้อนั้นได้
เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ออกคำสั่ง การแข่งขันระหว่างทหารใหม่ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการทันที ทั้งทหารราบเบา และทหารราบหนัก ทั้งคู่ต่างก็เริ่มเข้าปะทะกัน ขณะที่กองธนูทั้ง 4 ก็เริ่มเปิดฉากยิงจู่โจมระลอกแรก
เหล่าทหารใหม่พวกนี้ผ่านการฝึกฝนมานานนับ 3 เดือน การระดมยิงในรอบแรกก็ออกมาค่อนข้างดี ทหารทั้งสองฝ่ายยิงลูกศรขึ้นไป 200 ดอกมุ่งตรงไปยังฝั่งตรงข้าม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทหารใหม่พวกนี้จะฝึกฝนมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว แต่นี่ก็ยังคงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากับการต่อสู้เช่นนี้ และเนื่องจากตื่นเต้นมากจนเกินไป นั่นทำให้ลูกธนูของหลายๆ คนพลาดเป้า หลังจากที่พวกเขายิงเสร็จก็ได้แต่ยืนเหม่อมองลูกศรพุ่งออกไปอย่างสะเปะสะปะเหมือนคนโง่
โจวเหว่ยชิงพรางตัวอยู่ท่ามกลางทหารจำนวนมาก เมื่อเขายิงธนูออกไปเสร็จแล้ว ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ยังคงยืนอยู่รอบๆ เพื่อมองดูผลงานของตน เด็กหนุ่มกลับรีบถอยหลังหนีอย่างรวดเร็วเพื่อหลบซ่อนอยู่ข้างหลังคนอื่นๆ เขายังถึงขั้นลงไปนั่งยองๆ กับพื้นเพื่อลดความเสี่ยงที่ธนูฝั่งตรงข้ามอาจจะยิงมาโดนตัว
“อ๊าาาา…อ๊าาาาาาาาาาาาา” เสียงกรีดร้องดังกึกก้องขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากทหารใหม่โดนลูกศรหัวทื่อโจมตี ภายใต้ชี้นำอย่างเจาะจงของผู้บัญชาการกองร้อยเหมาหลี่ ทหารที่โดนหมายหัวแต่ละคนก็ต้องถอนตัวออกจากสนามรบหลังจากถูกเขาโจมตี และไม่สามารถมีส่วนร่วมในการแข่งขันได้อีก
เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ยินเสียงร้องโหยหวนพวกนั้น เขาก็รีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นธนูอุษาม่วงของเขาถูกง้างขึ้นจนสุดอีกครั้ง ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังมองดูธนูดอกแรกของตนพุ่งทะยานออกไป ลูกธนูดอกที่สองของโจวเหว่ยชิงก็พุ่งเสียดอากาศออกไปด้วยความเร็วสูงแล้ว ด้วยพลังของธนูอุษาม่วง คนที่เขาหมายหัวไว้จะหลบทันได้อย่างไร?
“อ้วนน้อย เจ้าเป็นพลธนูที่เยี่ยมยอดมาก” เหมาลี่โพล่งออกมาด้วยความพอใจและประหลาดใจ เป็นไปตามที่โจวเหว่ยชิงกล่าวก่อนหน้านี้ ทันทีที่ลูกธนูดอกแรกของเขาถูกยิงออกมา เขาก็ประสบความสำเร็จในการ ‘ขานชื่อ’ หนึ่งในทหารใหม่ที่โดดเด่นจากกองพันฝ่ายตรงข้ามทันที ซึ่งนั่นก็คือผู้ที่เหมาลี่ได้ชี้ตัวเอาไว้ก่อนหน้านั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับท่าทางกึ่งประหลาดใจกึ่งพอใจที่เหมาหลี่แสดงออกมานั้น การแสดงออกของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นถือว่าค่อนข้างน่าเกลียดเลยทีเดียว ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ ระยะสายตาของเธอนั้นเรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพมาก หลังจากการระดมยิงรอบแรกผ่านไปแล้ว เธอจึงเห็นได้ชัดเจนว่ากองพันที่ 3 และ 4 ได้สูญเสียทหารไปแล้วกว่า 40 นาย และเมื่อเปรียบเทียบกับกองพันที่ 1 และ 2 เธอพบว่าพวกเขาสูญเสียทหารไปเพียงแค่ 10 นายเท่านั้น ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันอย่างมากในด้านคุณภาพ และความสามารถของทหารใหม่ทั้งสองฝ่าย ไม่น่าแปลกใจที่เซียวเซ่อจะมีท่าทีมั่นอกมั่นใจเช่นนั้น
หลังจากห่าธนูระลอกแรกได้ถูกยิงออกไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นั่นก็คือเขากลายร่างเป็นเสือดาวที่แสนว่องไว และปราดเปรียว ยิ่งไปกว่านั้น ธนูอุษาม่วงอันทรงพลังที่อยู่ในมือของเขาก็ถูกขยับยิงออกไปไม่หยุดหย่อนราวกับสายฟ้า และทุกครั้งที่เด้กหนุ่มยิงธนูออกไป เขาก็จะใช้ทหารใหม่คนอื่นๆ เป็นเกราะกำบังอยู่ตลอด อาจกล่าวได้ว่า เฉพาะเวลาที่โจวเหว่ยชิงจะออกมายิงธนูเท่านั้นเขาถึงจะปรากฏตัวออกมาจากที่กำบัง และการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มก็เกิดขึ้นแค่เพียงชั่วพริบตาเดียวก่อนเขาจะกลับไปหลบข้างหลังคนอื่นอีกครั้ง
ในตอนแรก ฝ่ายตรงข้ามอย่างกองพันที่ 1 และ 2 ไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของเขาเลยจริงๆ แต่หลังจากการผ่านระดมยิงครั้งที่ 4 และ 5 ไปแล้ว เนื่องจากกองพันที่ 3 และ 4 สูญเสียทหารไปกว่าครึ่ง ความเร็วและความแม่นยำของโจวเหว่ยชิงก็เริ่มเรียกความสนใจจากกองพันฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาได้
ในระยะเวลาอันสั้น โจวเหว่ยชิงก็ได้ “ขานชื่อ” ทหารทักษะดีของฝั่งตรงข้ามไปแล้ว 11 นาย ทำให้พวกเขาต้องออกจากสนามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธนูอุษาม่วงนั้นเป็นธนูที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้ว่าหัวลูกศรจะทื่อ แต่เป้าหมายที่เขายิงก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเขาคุ้นเคยกับธนูอุษาม่วงเป็นอย่างดี ความแม่นยำของเขาจึงสูงกว่าการใช้ธนูยาวธรรมดาทั่วไป ด้วยเหตุนี้ทหารฝ่ายตรงข้ามจึงไม่มีทางที่จะหลบลูกธนูของเขาพ้น ลูกศรของโจวเหว่ยชิงค่อนข้างแม่นยำมาก พวกมันพุ่งเข้าปะทะตรงบริเวณกลางหน้าอกของเป้าหมายเสมอ ด้วยความแม่นยำดังกล่าว แม้จะบอกว่าเขา ‘ยิงร้อยครั้งถูกร้อยครั้ง’ ก็ไม่ได้พูดเกินไปเลยด้วยซ้ำ
“ระดมยิงไปที่ไอ้เจ้าคนเหลี่ยมจัดนั่นก่อน!” หนึ่งในผู้บัญชาการกองร้อยจากกองพันที่ 2 ตะโกนออกมาเสียงดัง
ทันทีที่โจวเหว่ยชิงยิงเข้าเป้าหมายคนที่ 12 เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง นับตั้งแต่มณีสวรรค์ของเด้กหนุ่มถูกปลุกขึ้นมา เขาก็พบว่าประสาทสัมผัส และความสามารถในการตรวจจับของโจวเหว่ยชิงเพิ่มขึ้นอย่างอย่างมาก และเมื่อสัมผัสได้ถึงการเพ่งเล็งจากฝั่งตรงข้ามอย่างฉับพลัน นั่นก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตื่นตระหนก เด็กหนุ่มกลับหลังหันและรีบเผ่นหนีอย่างรวดเร็วโดยไม่เสียเวลาลังเลแม้แต่ครึ่งวินาที
ขณะนี้ในสนามฝั่งกองพันที่ 3 และ 4 ยังมีทหารใหม่เหลืออยู่อีกประมาณ 70 คน และท่ามกลางกลุ่มคนมากมาย จู่ๆ ก็มีทหารคนหนึ่งเด้งตัวพรวดพราดขึ้นมาจากพื้น และหันหลังกลับ พยายามวิ่งสวนทางหนีออกไปด้านหลัง ความสนใจของเจ้าหน้าที่ทหารที่สังเกตการณ์อยู่ทั้งหมดจึงตกอยู่ที่ชายคนนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปกติแล้วต้องมีผู้บัญชาการกองร้อยจากแต่ละกองพันอย่างน้อย 2 คนเข้าร่วมการแข่งขันระหว่างทหารใหม่ โดยมี 1 คนคอยกำกับทหารใหม่บนสนามแข่ง ส่วนคนที่เหลือก็รวมตัวกันรับชมอยู่ข้างๆ สนามเช่นเดียวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเนื่องจากการแข่งขันยิงธนูของกองพันธนูมักจะจบลงเร็วกว่าการแข่งอื่นๆ มาก ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจชมการแข่งขันนี้เป็นอันดับแรก
……………………………………………………………