Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - ตอนที่ 27.3 ทักษะธาตุที่ 6 ของโจวเหว่
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- ตอนที่ 27.3 ทักษะธาตุที่ 6 ของโจวเหว่
หลิงจื่อหานถอนหายใจเบาๆ และพูดว่า “พี่ชายซ่างกวนเยว่นั้นมีอายุมากกว่าท่านพี่ถังเซียน 20 ปี แต่ครั้งแรก ที่ข้าเห็นพวกเขา เขาก็ยังดูเป็นชายหนุ่มวัยกลางคนทั่วๆ ไป ในเวลานั้นท่านพี่ถังเซียนก็อายุมากกว่าข้า แต่ดูสิ ตอนนี้เธอ ก็ยังดูเด็กมากใช่ไหมล่ะ? ข้าเดาว่าอย่างน้อยระดับพลังปราณของเธอน่าจะเทียบเท่ากับบิดาของเจ้า และเช่นเดียวกับพี่ ชายซ่างกวน เขาน่าจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีระดับพลังสูงส่งเกินกว่าที่พวกเราจะจินตนาการได้ อนิจจา ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไร ขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ ตามที่ท่านพี่ถังซานเอ่ยปาก พวกเขาแยกทางกันมานานกว่า 10 ปีแล้วและเธอก็ไม่ยอมพูดอะไร เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก”
โจวเหว่ยชิงเกาหัวพลางยิ้มออกมา เขาปลอบโยนตัวเองว่า “ไม่ว่าจะยังไง ข้าวสารก็กลายเป็นข้าวสุกแล้ว แม้ว่า พวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ข้ากังวลมากนักหรอก ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลไป สุดท้ายแล้วลูกชายของท่านก็ จะแข็งแกร่งเหมือนพวกเขา!” ในขณะที่เขาพูดแบบนั้น เขาก็กอดหลิงจื่อหานไว้ในอ้อมแขนแล้วก็หอมแก้มเธอเบาๆ
หลิงจื่อหานขยี้ผมของลูกชายก่อนจะถอนหายใจและพูดว่า “เหว่ยน้อย พ่อของเจ้าทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมาน มากมายเพื่อให้บุตรชายที่ไร้พลังเช่นเจ้าเรียนรู้วิธีปกป้องตนเอง แต่ตอนนี้เจ้ากลับมีพลังเช่นนี้ ต่อจากนี้เจ้าวางแผนจะทำ อะไรงั้นหรือ? แล้วการแต่งงานของเจ้ากับตี้ฝูหยาล่ะ?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “การแต่งงานของข้ากับตี้ฝูหยา ข้าจะต้องไปคุยกับพ่อทูนหัวเกี่ยวกับเรื่องนี้…การแต่งงาน นั้นต้องให้ทั้งสองฝ่ายรักใคร่กันกลมเกลียวกัน แต่พวกเราหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้นข้ามั่นใจว่าพ่อทูนหัวจะเข้าใจและไม่ บังคับข้า เขาต้องการมอบตี้ฝูหยาให้กับข้าเพื่อตอบแทนท่านพ่อสำหรับสิ่งที่เขาทำเพื่ออาณาจักร เพื่อให้ข้าซึ่งครั้งหนึ่งเคย เป็นเศษสวะมีตำแหน่งอยู่ในอาณาจักรนี้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้ากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ก็คงไม่จำเป็น อีกต่อไป”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่แต่งงานกับตี้ฝูหยาแน่นอน ข้าได้พบกับท่านพ่อก่อนหน้านี้แล้วที่ค่ายทหาร และ เขาก็ขอให้ข้าเข้าร่วมหน่วยหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์เพื่อฝึกฝนตนเอง ดังนั้นพรุ่งนี้ปิงเอ๋อร์กับข้าจะไปรายงานตัวที่นั่น”
“หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์?” การแสดงออกของหลิงจื่อหานเริ่มแปลกประหลาดออกไปเล็กน้อย “เหว่ยน้อย เมื่อเจ้า ไปที่นั่น เจ้าอย่าได้หลงกลพวกเขาและกลายเป็นคนไม่ดีไปเสียล่ะ”
“ท่านแม่ ข้าเป็นลูกชายของท่าน ข้าเป็นคนเลวที่ถูกชักจูงได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? นอกจากนี้ ทำไมข้าถึงจะถูก หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์พวกนั้นหลอกล่อด้วย?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ
หลิงจื่อหานส่งเสียงหึในลำคอก่อนจะพูดว่า “เอาเถิด เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น เจ้าจะรู้เองว่าข้าหมายถึงอะไร อย่างไรก็ ตาม หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมาก เจ้าอย่าลืมกลับมาเยี่ยมข้าบ่อยๆล่ะ!”
ในวันถัดมา ขณะที่โจวเหว่ยชิงมาถึงโรงเตี๊ยมตี้ฮ่าวก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว วันนี้เขาเตรียมตัวมาอย่างดี นำเงิน ออมทั้งหมดมากับเขาพร้อมด้วยทองคำ 10 ก้อนที่มารดาของเขามอบให้ ความพิเศษของโรงเตี๊ยมตี้ฮ่าว คือการบริการ ลูกค้าทุกระดับ และอาหารของพวกเขาก็ยังเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของความอร่อย ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงวางแผนที่จะเลี้ยง อาหารดีๆ กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปฝึกในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์
เมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใกล้เข้ามา เขาก็โบกมือให้เธออย่างรวดเร็วก่อนจะร้องเรียก “ปิงเอ๋อร์ ข้าอยู่นี่!”
วันนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงแต่งกายด้วยชุดผ้าธรรมดา เธอมักไม่ค่อยแต่งตัวหรือแต่งหน้า แต่ทว่าความงามตาม ธรรมชาติของเธอก็ยังคงส่องประกายออกมา สิ่งที่แตกต่างจากเมื่อวานนี้ก็คือเธอมีหมวกลมเป็นของตัวเองแล้ว ตอนนี้เธอ ก็กำลังสวมมันอยู่เพื่อปกปิดใบหน้าที่งดงามของเธอ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ชอบการถูกจ้องมองโดยผู้คนจำนวนมากๆ นอก จากนี้เธอยังเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่เธอตัดสินใจใช้ป้องกันตัว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาหาเขา แก้มของเธอขึ้นสีแดงจางๆ ขณะที่พูดเบาๆ ว่า “เข้าไปข้างในกันเถอะ”
เมื่อมองไปยังใบหน้าที่งดงามและดูประหม่าของเธอ หัวใจของโจวเหว่ยชิงก็เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไป จับมือของเธอไว้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเขากลับต้องรู้สึกทั้งประหลาดใจ และมีความสุขไปในเวลาเดียวกัน เมื่อซ่างกวนปิง เอ๋อร์ขัดขืนเขาแค่เพียงเล็กน้อยก่อนจะอนุญาตให้เขาจับมือเธอต่อไป
ทั้งคู่เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมตี้ฮ่าวในสภาพเช่นนั้น ตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวันและชั้นแรก ก็มีผู้คนจับจองอยู่ เต็มแล้วถึง 7 ใน 10 ส่วน โจวเหว่ยชิงพาเธอไปที่โต๊ะว่างและกำลังจะเรียกหาเมนูอาหาร แต่เธอกลับพูดแทรกขึ้นมาว่า “อ้วนน้อย ข้ากินอาหารมาแล้ว อย่าลืมว่าเรามาที่นี่เพื่อตามหาคน!”
โจวเหว่ยชิงมองไปยังซ่างกวนปิงเอ๋อร์และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าทานกับข้าอีกรอบได้หรือไม่? สามีที่ดีต้อง ดูแลภรรยา นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ? ข้าไม่งกเรื่องนี้หรอก มาเถอะ เรามาสั่งอาหารกัน”
ในขณะที่เขาพูด เขาก็จ้องไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเห็นว่าเธอกำลังก้มหน้าซ่อนแก้มแดงๆ ของเธอเอาไว้อย่าง น่ารักน่าชัง เห็นได้ชัดว่าความเขินอายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่มีต่อเขานั้นเพิ่มขึ้นมากอย่างก้าวกระโดด…แน่นอนว่านั่น ย่อมเป็นผลมาจากการยอมรับของท่านแม่ยาย!
ในความเป็นจริงนั้น เขาคาดเดาได้ถูกต้อง การเปลี่ยนแปลงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่มีต่อเขานั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นผล มาจากท่าทีของถังเซียน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เติบโตขึ้นพร้อมกับมารดาของเธอโดยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อของเธอแม้แต่ น้อย อาจกล่าวได้ว่ามารดาของเธอเป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอ นอกจากนี้ เธอก็ยังเป็นคนกตัญญูมากอีกด้วย เมื่อถัง เซียนยอมรับโจวเหว่ยชิงเป็นลูกเขย นั่นจึงขจัดอุปสรรคสุดท้ายระหว่างพวกเขาทั้งคู่ออกไป เธอเหลือบมองไปทางโจว เหว่ยชิงอีกครั้ง ขณะนี้เธอไม่มีความกังวลใดๆ อีกต่อไป กำแพงในใจของเธอได้พังทลายลงไปแล้ว แต่โชคดีที่โจวเหว่ยชิงยัง ไม่รู้ความจริงข้อนี้ ไม่อย่างนั้นคนเจ้าเล่ห์นั่นอาจจะทำตัวได้คืบจะเอาศอกก็ได้!
โจวเหว่ยชิงสั่งอาหาร แต่ภายใต้การสังเกตของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอพบว่าเขาก็ไม่ได้สั่งอาหารมามากมายจนดู เกินงาม มีเมนูเนื้อ 2 จาน ผัก 2 จาน และข้าว 2 ชามใหญ
หลังจากนั้นไม่นาน อาหารก็ถูกนำมาวางพร้อมกับกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ “ปิงเอ๋อร์ เร็ว กินตอนที่มัน กำลังร้อนๆ เจ้าผอมเกินไป ต้องกินให้มากกว่านี้หน่อย ร่างกายจะได้โตไวๆ หึๆ” โจวเหว่ยชิงคีบอาหารวางลงในชามของ เธออย่างรวดเร็ว เขาเติมอาหารใส่ในชามข้าวของเธอจนกลายเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ
เมื่อมองเห็นท่าทีเอาใจใส่ของโจวเหว่ยชิงและอาหารที่พูนอยู่ในชามข้าวด้านหน้า ดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ แดงระเรื่อขึ้นมาทันที เธอเหลือบมองโจวเหว่ยชิงเล็กน้อยและพูดว่า “อ้วนน้อย เจ้าจะดีกับข้าแบบนี้ตลอดไปไหม?”
“เอ๋?” โจวเหว่ยชิงมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงว่าคำพูดหยอกล้อของเขาจะทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเช่นนี้ “เจ้ากำลังคิดอะไร อยู่หรือปิงเอ๋อร์? แน่นอนว่าข้าจะดีกับเจ้าตลอดชั่วชีวิตของข้า ทำไมอยู่ๆเจ้าถึงถามล่ะ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก้มหน้าแล้วพูดพึมพำ “ท่านแม่ของข้าบอกว่าท่านพ่อทิ้งพวกเราเมื่อข้าอายุแค่2ขวบ ท่านแม่ ออกจากบ้านมาพร้อมกับข้าและย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ด้วยกัน ท่านแม่น่าสงสารมาก ข้ามักจะเห็นนางนั่งเหม่อลอย อยู่คนเดียวที่บ้าน ข้าคิดว่าท่านแม่คงจะคิดถึงท่านพ่อ ข้ากลัว กลัวว่าวันหนึ่งข้าก็จะมีจุดจบเหมือนนาง…”
เมื่อมองเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเธอ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกเจ็บปวดในใจอย่างรุนแรง เขาลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ เธอก่อนจะ โอบกอดเธอด้วยอ้อมกอดอบอุ่นของเขา “ปิงเอ๋อร์ อย่าร้องไปเลย พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อีกอย่างเรื่องของ ผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราควรเข้าไปยุ่ง แต่สำหรับข้า ข้าขอสาบานว่าข้าจะเป็นอ้วนน้อยของเจ้าตลอดไป เว้นเสียแต่ว่า เจ้าจะไม่ต้องการข้าอีกต่อไปแล้ว”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองเขาและพูดว่า “เจ้าจะเป็นหมีโง่ของข้าตลอดไปใช่ไหม?”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและจูบบนหน้าผากของเธอเบาๆ การกระทำนั้นทำให้เธอเปลี่ยนจากเสียงร้องไห้เป็นเสียง หัวเราะทันที เธอแอบขยับซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอีกเล็กน้อยและพูดว่า “ทานเถอะ ก่อนที่อาหารพวกนี้จะเย็นชืด ไปหมด”
โจวเหว่ยชิงพูดด้วยท่าทีจริงจัง “ให้ข้ากอดเจ้าอีกสักพักก่อน แค่นั้นข้าก็อิ่มแล้ว เจ้าเป็นอาหารรสเลิศสำหรับดวง ตาของข้า เป็นอาหารที่ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงินทองเพียงอย่างเดียว! ปิงเอ๋อร์ ดูสิ… เจ้าไม่คิดหรือว่าเราควร เมินปัญหา เรื่องอายุของข้าไปก่อน?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผลักเขาออกอย่างว้าวุ่นใจและพูดว่า “หึ! ข้าให้คืบ แต่เจ้าจะเอาศอก! เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้น หรอกนะ! ท่านแม่ของข้าบอกว่าผู้ชายจะไม่รู้คุณค่าของสิ่งต่างๆหากพวกเขาได้มันมาง่ายเกินไป ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจจะ ขยายเวลาให้นานขึ้นไปอีก พวกเราจะรอจนกว่าเจ้าอายุครบ 20 ปี ถึงเวลานั้นเราค่อยมาคุยกัน!”
“ม่ายยยยยยยยยย!!” โจวเหว่ยชิงร้องโหยหวนออกมาเสียงดัง และนั่นก็ดึงดูดความสนใจของลูกค้าที่อยู่บริเวณ ใกล้เคียงทันที
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อับอายมาก เธอฟาดไหล่เขาเบาๆ “รีบๆ กินเลย! เรามาที่นี่เพื่อจัดการธุระให้เสร็จ”
โจวเหว่ยชิงถามด้วยน้ำเสียงโง่งมว่า “จะมีธุระอะไรที่น่ายินดีไปกว่างานฉลองการแต่งงานของพวกเรา?”
ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ เธอกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่หยุดพูดเรื่องไร้สาระและกินอาหารกับข้า ต่อดีๆ ข้าจะยืดเวลาออกไปอีก!”
“ข้ากินแล้วๆๆ!” โจวเหว่ยชิงโอดครวญออกมา แต่ทว่าภายในใจของเขา เขาก็ตัดสินใจไปแล้วอย่างแน่วแน่ว่าเมื่อ พวกเขาไปถึงหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาจะต้องหาโอกาสเหมาะๆหลอกล่อเธอให้ได้ หากมีรอบแรกไปแล้ว รอบที่ 2 รอบที่ 3 จะไม่ตามมาได้หรือ?? เมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น เขาก็ยิ้มกว้างออกมาราวกับคนบ้า
โจวเหว่ยชิงจ้วงกินอาหารของเขาอย่างรวดเร็ว ผิดกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่กำลังเคี้ยวช้าๆด้วยท่าทีสง่างาม ไม่ช้าเธอ ก็ค้นพบสาเหตุที่โจวเหว่ยชิงตักอาหารใส่ชามของเธอจนพูนในตอนแรกแล้ว นั่นเป็นเพราะขณะที่เธอเพิ่งจะกินอาหารใน ชามตนเองไปได้เพียง 1 ใน 3 ส่วน เขาก็กินอาหารที่เหลือบนโต๊ะไปแล้วทั้งหมด รวมถึงข้าวในชามของเขาจนเกลี้ยง “อ่า เยี่ยมมาก! นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ทานอาหารอร่อยๆเช่นนี้ ถึงแม้ว่ากองทัพจะไม่ขาดแคลนอาหาร แต่ในแง่ของรสชาติมัน ก็ยังขาดแคลนความอร่อยไปมาก!” โจวเหว่ยชิงกล่าวขณะที่เขาลูบพุงไปมา
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักแล้วผลักชามไปหาเขา “ถ้าเจ้าไม่อิ่ม เจ้าก็กินส่วนที่เหลือของข้าได้ ก่อนหน้านี้ข้า กินอาหารไปแล้ว เจ้าก็รู้นิสัยของข้าดีว่าข้าไม่กินเยอะเท่าไหร่”
โจวเหว่ยชิงกระพริบตา เขาดึงชามของเธอเข้าหาตัวเองอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็สวาปามอาหารที่เหลือลงไปอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนว่าใบหน้าของเขาจะมีความสุขมากกว่าเดิม “ได้กลืนของดีๆแบบนี้ลงกระเพาะ อืม รสชาติและกลิ่นอัน หอมหวนที่เหลืออยู่ในปากเช่นนี้…” ขณะที่เขาพูด เขาก็มองไปยังริมฝีปากของเธออย่างมีเลศนัย
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่สนใจคำพูดของเขาและกระซิบเบาๆว่า “อ้วนน้อย ดูสิ นั่นใช่คนที่เรากำลังตามหาไหม?”
โจวเหว่ยชิงมองตามนิ้วของเธอและเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่มุมห้องโถง ชายผู้นี้ดูเหมือนจะมีอายุ ประมาณ 30 ปี สวมชุดสีขาวและดูหล่อเหล่ามาก ข้างหลังของเขามีเสื้อคลุมสีดำพาดอยู่ทำให้เขาดูสุภาพและสง่างาม อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนสายตาของเขาจะกำลังสอดส่องไปมาขณะที่เขามองกวาดผ่านฝูงชนที่นั่งอยู่
บนโต๊ะข้างหน้าเขามีขวดเหล้าตั้งอยู่ราวๆ 12 ขวด ถึงแม้ว่าเหล้าพวกนั้นจะเป็นเหล้าคุณภาพต่ำที่มีปริมาณ แอลกอฮอล์น้อย แต่การที่เขาดื่มเหล้าเข้าไปหลายขวดเช่นนี้ มันจึงค่อนข้างแรงเกินไปทำให้เมาได้อยู่ดี นี่คือเหตุผลหลัก ว่าทำไมซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงสงสัยว่าเขาอาจเป็นเป้าหมายของพวกเขาในครั้งนี้
เนื่องจากแม่ทัพโจวบอกให้พวกเขามองหาขี้เมาในโรงเตี๊ยมตี้ฮ่าว เป้าหมายของพวกเขาจึงน่าจะเป็นคนที่มาดื่ม ที่นี่ทุกวัน จากการสังเกตของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สังเกตได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นั้น เป็นคนที่ดื่มเหล้ามากที่สุดอย่างแน่นอน
โจวเหว่ยชิงรีบอาสาทันที “ข้าจะไปถาม” พูดจบเขาก็มุ่งหน้าไปหาชายคนนั้น เมื่อโจวเหว่ยชิงไปถึงเบื้องหน้าของ เขา เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงที่ตรงไปตรงมา “ขอโทษนะขอรับ ท่านคือหลัวเขอตี้ใช่หรือไม่?”
คนขี้เมากลอกตาและเปล่งเสียงที่แหลมเล็กออกมา “ไปซะ อย่าบังข้า! บิดามันเถอะ! ข้ากำลังดูสาวงาม…อืม คนนั้นน่าจะ 38E เฮ้ย ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ ถอยไป!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา โจวเหว่ยชิงรู้สึกมึนงงและเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว “ข้ากำลังตามหาคน แซ่หลิว หลิวที่ไม่เข้ากับคู่หู…”
………………………………..