Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 103 ปีศาจมังกรสาว! (3)
นอกจากนี้ วังกักเก็บทักษะของเกาะมณีสวรรค์ยังมีกฎที่เข้มงวดมากอีกด้วย สำหรับอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้า แม้แต่สายเลือดหลักของวังสวรรค์ไพศาลก็ยังต้องขึ้นไปถึงระดับราชาก่อนเป็นอย่างน้อยและได้รับอนุญาตจากบุคคลระดับสูงของวังสวรรค์ไพศาลให้สามารถทดลองกักเก็บทักษะจากพวกมันได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีคนนอกที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวังกักเก็บทักษะส่วนนั้นแน่นอน
ในแผ่นดินใหญ่ทั้งหมด อสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้านั้นหายากมาก แม้อาจจะไม่ได้หายากเท่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทพเจ้า แต่ก็ยังอธิบายได้ว่าหายากเช่นเดียวกับขนนกฟีนิกซ์และเขาของกิเลน การจะพบอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ยากเข็ญมาก และการจะหาตัวที่ถูกผนึกเอาไว้หรือเต็มใจให้กักเก็บทักษะนั้นก็อาจกล่าวได้ว่าแม้แต่บนแผ่นดินใหญ่ทั้งหมดก็สามารถนับนิ้วได้
โจวเหว่ยชิงคนนี้มีดีอะไรกัน? เขาต้องโชคดีขนาดไหนถึงได้พบอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าและกักเก็บทักษะได้ สำเร็จ!
แม้จะเป็นยอดฝีมือระดับราชาที่พยายามจะกักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้า อัตราความสำเร็จก็แทบจะไม่ถึง 1 ใน 10,000 ส่วนด้วยซ้ำ กล่าวคือหากยอดฝีมือผู้นั้นโชคร้ายก็อาจต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องมากกว่า 30 ปีกว่าจะประสบความสำเร็จ แม้แต่คนที่ดวงดีก็ยังต้องใช้เวลานานถึง 10 ปี
ในความเป็นจริง สำหรับยอดฝีมือระดับมหาราชาที่พยายามจะกักเก็บทักษะจากอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้านั้น ตามสถิติที่เร็วที่สุดและเป็นที่รู้กันในแผ่นดินใหญ่ตอนนี้คือ 5 ปีกับอีก 9 วัน!
ทว่าในงานประลองมณีสวรรค์ ทักษะดังกล่าวเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้น ทุกคนจะไม่แตกตื่นกันสุดขีดได้อย่างไร? ไม่ว่าระดับพลังปราณของโจวเหว่ยชิงจะเป็นอย่างไร หากเขาปลดปล่อยทักษะที่สามารถเรียกภาพสวรรค์ออกมาได้ เขาก็ย่อมกลายเป็นจุดสนใจของสนามรบไปทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
ภาพทักษะสวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังโจวเหว่ยชิงไม่ชัดเจนนัก เป็นเพียงภาพเงาเลือนลางที่มีสีแดงอมม่วงสลัว ร่างกายส่วนบนของมันดูเหมือนจะเป็นมนุษย์ผู้หญิงที่มีผมยาวสลวยลดหลั่นกันลงมา แต่ร่างกายส่วนล่างของมันกลับมีหางหนาขนาดใหญ่พันขดอยู่รอบๆ อย่างชัดเจน
ทุกคนต่างก็สับสนกับภาพดังกล่าว พวกเขาไม่มีใครรู้ว่าอสูรสวรรค์ใดมีลักษณะเช่นนี้
แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ อสูรสวรรค์ที่โจวเหว่ยชิงกักเก็บทักษะมาได้ตัวนี้มาจากวังกักเก็บทักษะบนเกาะมณีสวรรค์ อย่างไรก็ตาม มันเป็นอสูรสวรรค์ที่ไม่มีใครเคยกักเก็บทักษะสำเร็จมาก่อน แม้ว่าวังสวรรค์ไพศาลจะจับสัตว์ร้ายนี้ได้เมื่อ 400 ปีก่อนก็ตาม! นับประสาอะไรกับสมาชิกกลุ่มนักรบจ้งเทียนที่ไม่สามารถจดจำมันได้ แม้ซ่างกวนเทียนหยาง จ้าววังสวรรค์ไพศาลจะอยู่ที่นี่ด้วย เขาก็อาจจะจำมันไม่ได้เช่นกัน!
ในความเป็นจริง อสูรสวรรค์ที่โจวเหว่ยชิงกักเก็บทักษะมานั้นไม่ได้อยู่ในระดับเทพเจ้า เพราะหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่ากลิ่นอายอสูรสวรรค์ของเขาและแมวอ้วนจะสูงส่งมากเพียงใด ด้วยระดับพลังปราณในปัจจุบันของเขา มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กหนุ่มจะประสบความสำเร็จในการกักเก็บทักษะ
อสูรสวรรค์ที่เขากักเก็บทักษะมาได้นั้น แท้จริงแล้วเป็นอสูรสวรรค์ระดับมหาราชา แต่มันเป็นหนึ่งในสัตว์ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาอสูรสวรรค์ระดับมหาราชา เพราะพลังของมันเข้าใกล้ระดับเทพเจ้ามากที่สุด แม้ว่ามันจะยังไม่สามารถทะลวงผ่านไปถึงระดับเทพเจ้าได้ก็ตาม นอกจากนั้น เนื่องจากมันมีทักษะธาตุคู่ที่ทรงพลังอย่างมาก เมื่อเขาปลดปล่อยทักษะนี้ออกมา มันจึงก่อให้เกิดภาพทักษะสวรรค์ขึ้นมาด้วย
อสูรสวรรค์ที่โจวเหว่ยชิงกักเก็บทักษะเอาไว้มีชื่อเรียกว่าปีศาจมังกรสาว ซึ่งมีข่าวลือว่าสืบเชื้อสายมาจากการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ของมังกรกับมนุษย์ ครึ่งมังกรครึ่งมนุษย์ผู้ซึ่งครอบครองไหวพริบและสติปัญญาของมนุษย์และมีพลังใกล้เคียงกับมังกร แม้ว่าอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าจะเผชิญหน้ากับมัน มันก็ยังจะไม่พ่ายแพ้
เมื่อ 400 ปีก่อน วังสวรรค์ไพศาลได้ใช้เวลามากกว่า 30 ปีในการวางแผนและเตรียมการทั้งหมด ในที่สุดพวกเขาก็สามารถจับปีศาจมังกรสาวตัวนี้ได้ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ใช้ทรัพยากรไปมากมายในการจับมัน แม้กระทั่งจ้าววังในเวลานั้นก็ต้องตกตายไปในการต่อสู้ครั้งนั้นด้วย
เมื่อจับปีศาจมังกรสาวได้ พวกเขาก็มีความสุขมาก คิดแต่เพียงว่าต่อไปนี้พวกเขาจะสามารถชดเชยความสูญเสียได้ด้วยการกักเก็บทักษะที่ทรงพลังจากมัน อนิจจา ใครจะรู้ว่าปีศาจมังกรสาวไม่ได้เป็นเพียงแค่อสูรสวรรค์ที่มีทักษะธาตุคู่เหมือนที่พวกเขาเคยคิดกันมาก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่ทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุปีศาจที่แยกออกจากกัน แต่แท้จริงแล้วทักษะธาตุทั้ง 2 นั้นเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในบรรดาทักษะทั้งหมดของมัน
นั่นจึงส่งผลให้ความยากในการกักเก็บทักษะจากมันเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ทั้งๆ ที่แต่เดิมมันก็เป็นอสูรสวรรค์ระดับมหาราชาอยู่แล้ว ไม่เพียงแค่นั้น จ้าวมณีสวรรค์ผู้นั้นจะต้องมีทั้งทักษะธาตุปีศาจและทักษะธาตุมืดอยู่ในตัวเพื่อที่จะสามารถกักเก็บทักษะจากมันได้ นั่นจึงเพิ่มความยากเข้าไปอีกระดับหนึ่ง แน่นอนว่าทักษะธาตุทั้ง 2 นี้มักจะพบได้ในนิกายปีศาจสวรรค์เท่านั้น และวังสวรรค์ไพศาลก็ไม่มีใครที่มีทักษะธาตุทั้งสองนี้ในเวลาเดียวกันเลย โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาย่อมไม่ต้องการยกผลประโยชน์ใดๆ ให้กับนิกายปีศาจสวรรค์และไม่โง่พอจะปล่อยให้นิกายปีศาจสวรรค์ฉกฉวยโอกาสนี้ไป นั่นเป็นผลให้ในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมาไม่มีใครประสบความสำเร็จในการกักเก็บทักษะจากมันเลย
ครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงเข้าไปในวังกักเก็บทักษะเกาะมณีสวรรค์และตรวจสอบเกี่ยวกับทักษะธาตุต่างๆ ของเขา เด็กหนุ่มก็ได้ค้นพบเกี่ยวกับการมีอยู่ของปีศาจมังกรสาวตนนี้เข้า เขาจึงจดจำไว้อย่างรอบคอบเพื่อที่ในอนาคตเขาจะได้มาเยือนวังกักเก็บทักษะอีกครั้ง แม้ว่าปีศาจมังกรสาวจะถูกผนึกมาแล้วกว่าสี่ร้อยปีและอ่อนกำลังลงไปอย่างมาก แต่มันก็ยังคงสร้างปัญหาใหญ่ให้เขาอย่างใหญ่หลวง หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าแมวอ้วนที่กำราบปีศาจมังกรสาวด้วยทักษะธาตุวิญญาณและทักษะธาตุเทวาของเธอ ให้เวลาโจวเหว่ยชิงได้กลืนกินพลังเฮือกสุดท้ายของปีศาจมังกรสาวก่อนกักเก็บทักษะ เขาคงจะไม่มีโอกาสทำสำเร็จแล้ว
ถึงกระนั้น มันก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาทั้งคู่อยู่ดี นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกลับมาที่โรงเตี๊ยมช้ามากหลังออกไปกักเก็บทักษะ และทำไมคนในกลุ่มจึงเห็นเขาในสภาพที่ดูทรุดโทรมเช่นนั้นเมื่อกลับมา
โจวเหว่ยชิงชี้ค้อนในมือขวาของเขาไปทางจ้านหลิงเทียนผู้ซึ่งเพิ่งจะแสดงความกล้าหาญอันน่าประทับใจของตนเองออกมา จากนั้นแสงสีแดงอมม่วงก็ปะทุขึ้นและพุ่งตรงไปทางอีกฝ่าย
หัวใจของจ้านหลิงเทียนพลันรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อเผชิญหน้ากับทักษะระดับเทพเจ้าของโจวเหว่ยชิง เขาก็รู้ว่าไม่มีโอกาสจะหลบหลีกพ้นแน่นอน ทันใดนั้น เขาก็ตอบสนองให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ชายหนุ่มรวบรวมพลังปราณสวรรค์ทั้งหมดของตนเองและในขณะเดียวกันก็ทะยานถอยหลังออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามเว้นระยะห่างระหว่างเขากับโจวเหว่ยชิงให้มากที่สุด
รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของโจวเหว่ยชิง แม้ว่าทักษะนี้จะไม่ได้จัดอยู่ในระดับเทพเจ้า แต่ก็ยังคงเป็นทักษะผสานระหว่างธาตุคู่ขั้นสูงสุดของอสูรสวรรค์ระดับมหาราชา ในแง่ของพลัง มันย่อมเทียบกับทักษะระดับเทพเจ้าทั่วๆ ไปได้อย่างแน่นอน
ปีศาจมังกรสาวมีทักษะที่ทรงพลังมากมาย แต่เพื่อที่จะใช้ทักษะเหล่านั้น พวกมันย่อมต้องมีข้อจำกัดที่รุนแรงมาก ปริมาณพลังปราณสวรรค์ที่ต้องใช้ในการปลกปล่อยนั้นอยู่ที่ระดับราชาหรือสูงกว่า ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีทักษะกักเก็บอื่นๆ ที่ทรงพลังกว่านี้ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้มันได้ตามต้องการ เช่นเดียวกับสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดนั่นเอง
หลังจากคิดและพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อประโยชน์ของงานประลองมณีสวรรค์ โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจกักเก็บทักษะประเภทควบคุม ประเภทสนับสนุน และประเภทสัมบูรณ์
เมื่อค้อนในตำนานของเขาชี้ไปที่จ้านหลิงเทียน ผู้คนโดยรอบในสนามรบก็ล้วนแล้วแต่เห็นสัญลักษณ์สีแดงอมม่วงแปลกประหลาดปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของจ้านหลิงเทียนอย่างชัดเจน พวกมันกำลังหมุนวนเป็นแสงสีม่วงและสีแดงผสมกัน ไม่นานก็ตามมาด้วยแสงสีแดงอมม่วงอีกดวงที่พุ่งออกมาจากค้อน ชัดเจนว่าแม้แต่จ้านหลิงเทียนก็ไม่มีความสามารถมากพอจะหลบหลีกมันพ้น ร่างที่กำลังล่าถอยของเขาจึงถูกมันกระแทกใส่และนั่นก็ทำให้เขาแข็งทื่อไปชั่วขณะ ร่างกายของชายหนุ่มพลันถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงอมม่วง
ภาพแปลกประหลาดเกิดขึ้นเป็นลำดับถัดมา ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 4 ที่ จ้านหลิงเทียนเรียกออกมาพลันสลายหายไปราวกับหิมะที่หลอมละลายในช่วงฤดูร้อน ในเวลานั้น ทั้งตัวของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วงเฉกเช่นเดียวกัน
จ้านหลิงเทียนรู้สึกหวาดกลัวอย่างกะทันหันเมื่อเขาตระหนักได้ว่าตนเองไม่สามารถขยับตัวทำอะไรได้เลย ศาสตรามณียุทธ์ของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าเขาถูกตัดขาดออกจากพวกมันทั้งหมด เมื่อเขาพยายามใช้ทักษะกักเก็บ ชายหนุ่มก็พบว่าเขาถูกตัดขาดการเชื่อมต่อจากมณีธาตุของเขาด้วย นั่นเป็นผลให้เขาไม่สามารถเข้าถึงพลังธาตุใดๆ ของเขาได้เลย ทำได้เพียงเข้าถึงพลังปราณสวรรค์บริสุทธิ์ภายในร่างกายเท่านั้น
“เขาจะไม่สามารถใช้ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บได้ 30 วินาที ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ ท่านไปจัดการคนอื่นเสีย” โจวเหว่ยชิงตะโกนเสียงดังขณะที่ยังอยู่กลางอากาศ ก่อนเขาจะลงเหยียบพื้นดินอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเมื่อสักครู่เขาตะโกนบอกหัวหน้ากลุ่มนักรบวั่นโซ่ว
ทักษะที่เขากักเก็บจากปีศาจมังกรสาวเรียกว่า ทักษะผนึกมังกร และผลลัพธ์ที่ทรงพลังที่สุดก็คือการที่มันเป็นทักษะสัมบูรณ์ ทันทีที่ถูกปลดปล่อยออกไป เป้าหมายจะไม่สามารถหลบหลีกหรือปิดกั้นมันได้ เมื่อโจวเหว่ยชิงเล็งเป้าหมายไว้แล้ว เขาหรือเธอก็จะต้องได้รับผลจากทักษะผนึกมังกรอย่างแน่นอน
ทักษะผนึกมังกรไม่มีพลังโจมตีใดๆ เลย แต่มันสามารถปิดกั้นเสียงและจำกัดเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อได้รับผลกระทบจากผนึกนี้ เป้าหมายจะไม่สามารถใช้ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บได้ ในระดับมณี 3 ชุด โจวเหว่ยชิงสามารถผนึกเป้าหมายได้เป็นเวลากว่า 30 วินาที! ข้อดีอีกอย่างของทักษะผนึกมังกรก็คือเขาไม่ต้องใช้พลังปราณสวรรค์ของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันการใช้งานของมันก็จะถูกจำกัดมากเช่นกัน ปัจจุบันเขาสามารถใช้มันได้เพียง 3 ครั้งต่อวันเท่านั้น
เมื่อระดับพลังของเขาสูงขึ้น ตัวทักษะก็จะพัฒนาขึ้นตามธรรมชาติเช่นกัน ตามบันทึกที่เขียนไว้ ทักษะผนึกมังกรระดับราชานี้จะเปลี่ยนจากการผนึกเป้าหมายเดียวเป็นทักษะผลกระทบวงกว้างซึ่งสามารถส่งผลต่อทุกคนในพื้นที่ที่กำหนดได้
30 วินาที นั่นเป็นเวลาที่ยาวนานมาก โดยเฉพาะในการต่อสู้ที่กำลังดุเดือดเช่นนี้ หากจ้าวมณีสวรรค์สูญเสียความสามารถในการเรียกศาสตรามณียุทธ์หรือใช้ทักษะกักเก็บของตนเองก็จะเท่ากับว่าสูญเสียพลังไปแล้วเกือบ 6-8 ส่วนของพลังทั้งหมด ทักษะผนึกมังกรนี้อาจไม่ได้มีพลังที่อุกอาจขนาดนั้น แต่การใช้งานในระหว่างการต่อสู้ย่อมให้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด
เช่นเดียวกับทักษะสัมบูรณ์ส่วนใหญ่ ทักษะผนึกมังกรนี้จะมีประโยชน์และทรงพลังกว่ามากเมื่อใช้กับคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังปราณสูงกว่า ยิ่งเป้าหมายมีระดับพลังสูงส่งเท่าไหร่ ผลลัพธ์ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วยิ่งการฝึกฝนของพวกเขาสูงขึ้น ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บของพวกเขาก็ต้องทรงพลังกว่ามาก ดังนั้นการพึ่งพาอุปกรณ์หรือทักษะก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นกัน
ด้วยวิธีนี้ ทักษะผนึกมังกรของโจวเหว่ยชิงจึงถูกใช้กับจ้านหลิงเทียนเป็นครั้งแรก ฮึ่ม! ไม่ใช่ว่าเจ้าทรงพลังนักรึ? มาดูกันว่าเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหนหากไม่มีศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บ!
ทันทีที่ทักษะผนึกมังกรมีผล โจวเหว่ยชิงก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งเข้าใส่จ้านหลิงเทียน
30 วินาทีอาจจะเป็นเวลานาน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่สามารถรีรอพูดคุยในช่วงเวลาที่จ้านหลิงเทียนกำลังกลายเป็นเสือถูกถอดเขี้ยวเล็บเช่นนี้ได้
แน่นอนว่าจ้านหลิงเทียนยังคงสามารถเข้าถึงพลังปราณสวรรค์ของตัวเองได้ และช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเขากับโจวเหว่ยชิงยังคงมีอยู่ อย่างไรก็ตาม แม้โจวเหว่ยชิงจะได้เปรียบเนื่องจากความแข็งแกร่งทางกายภาพที่แท้จริงของเขา แต่มณียุทธ์ของจ้านหลิงเทียนก็เป็นประเภทความทรหดเช่นกัน การป้องกันของเขาจึงอาจจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย ทว่าจ้านหลิงเทียนก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทที่เส้นทางการฝึกฝนโน้มเอียงไปทางมณีธาตุของตนมากกว่า ในเรื่องนี้ อาจพูดได้ว่าเขาตรงกันข้ามกับซ่างกวนเฟยเอ๋อร์
หากซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ตกเป็นเป้าหมายของทักษะผนึกมังกร เธอก็จะไม่ได้รับผลกระทบเช่นนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้วด้วยพลังปราณสวรรค์และทักษะการต่อสู้ระยะประชิดที่น่าสะพรึงกลัวของเธอ เด็กสาวก็ยังคงสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้มหาศาลอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม จ้านหลิงเทียนนั้นแตกต่างออกไป ความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือพลังที่น่ากลัวจากทักษะธาตุแสงและทักษะธาตุมืดผสานเข้าด้วยกัน เมื่อทักษะกักเก็บธาตุมณีของเขาถูกปิดผนึก เขาจึงไม่สามารถเข้าถึงธาตุทั้ง 2 ได้ตามธรรมชาติ และระดับการคุกคามของเขาก็ลดลงเหลือเพียงแค่พลังปราณสวรรค์บริสุทธิ์เท่านั้น
นอกจากนี้ โจวเหว่ยชิงยังอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่างโดยมีค้อนคู่ในตำนานอยู่ในมือ เมื่อจ้านหลิงเทียนถูกปิดผนึก เขาจึงมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในการรับมือกับจ้านหลิงเทียนตรงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขายังเหลือไพ่ตายซ่อนอยู่ในมืออีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่านักสู้หนุ่มเจ้าเล่ห์ผู้นี้จะไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปง่ายๆ และผลาญเวลา 30 วินาทีไปเฉยๆแน่
เมื่อลงแตะพื้นได้แล้ว โจวเหว่ยชิงก็กระทืบลงไปอย่างแรงอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน เขาก็เปิดใช้งานทักษะพายุสลาตันอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งเข้าหาจ้านหลิงเทียน
เมื่อหัวหน้ากลุ่มนักรบวั่นโซ่วได้ยินเสียงตะโกนของโจวเหว่ยชิง เขาก็ชะงักไปทันที อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยการเปลี่ยนเป้าหมายและพุ่งเข้าหาสมาชิกกลุ่มนักรบจ้งเทียนอีกคนหนึ่งแทน
ในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวมแล้ว เขาอยู่เหนือจ้านหลิงเทียนอย่างแท้จริง เพราะถึงอย่างไรอสูรสวรรค์ของเขาก็คือลิงตัวใหญ่ที่ต่อสู้กับซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ แม้ว่าทั้ง 2 การต่อสู้จะเป็นสถานการณ์ที่ถือว่าตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาได้ต่อสู้กับยอดฝีมือ 2 อันดับแรกของฝ่ายตรงข้าม…ด้วยตัวคนเดียว! ขณะนี้ชายหนุ่มมีเวลาเล็กน้อยให้พักฟื้น เขาจึงสามารถเริ่มการโจมตีครั้งใหม่ได้จากตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่า
………………………………………………………..