Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 105 ผู้ชนะ! (2)
“อย่างน้อยในเวลานี้ก็เป็นเช่นนั้น ก่อนที่เราจะเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ ใครจะไปคิดว่ากลุ่มนักรบเฟยหลี่ของเราจะได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ นับประสาอะไรกับการเป็นผู้ชนะอันดับ 1”
หลินเทียนอ้าวรู้สึกตื่นเต้นมากอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยโจวเหว่ยชิงก็ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสภาพอารมณ์เช่นนี้มาก่อน
“หัวหน้า พวกเรายังมีเส้นทางอีกยาวไกลทอดรออยู่เบื้องหน้า ขอบคุณสำหรับความไว้ใจของท่าน ท่านไม่ใช่แค่ผู้ติดตามของข้า แต่เป็นพี่ใหญ่ของข้า ข้าไม่ต้องการให้ท่านเป็นพยานว่าข้าจะสร้างปาฏิหาริย์ แต่ข้าหวังว่าท่านจะร่วมสร้างปาฏิหาริย์ไปด้วยกัน ข้าเชื่อว่าหากพวกเราร่วมมือกัน พวกเราต้องสามารถทำได้แน่!”
ในขณะที่พูดอย่างนั้น โจวเหว่ยชิงก็กอดหลินเทียนอ้าวกลับ
ตำแหน่งผู้ชนะลำดับแรกอาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่ทลายกำแพงด่านสุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างหลินเทียนอ้าวและโจวเหว่ยชิงจากการเดิมพันครั้งก่อน
ในใจของหลินเทียนอ้าว เป็นโจวเหว่ยชิงที่ยอมให้เขาทำตามความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขามี ในขณะเดียวกัน เวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็ได้บ่มเพาะความรู้สึกเคารพนับถือที่เขามีต่อเด็กหนุ่มคนนี้ ไม่เพียงแต่ในแง่ของความสามารถอันน่าทึ่งเกี่ยวกับพลังของจ้าวมณีสวรรค์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคลิก ไหวพริบ พลัง และสติปัญญาของเขาด้วย จากสิ่งที่โจวเหว่ยชิงแสดงออกมา หลินเทียนอ้าวถึงกับรู้สึกเหมือนต้องเงยหน้ามองเด็กหนุ่มคนนี้อีกครั้ง
แม้ว่าตอนนี้โจวเหว่ยชิงจะเป็นเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุด แต่อย่างน้อยความแข็งแกร่งโดยรวมของเขาก็เทียบได้กับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 5 ชุดหรืออาจเหนือกว่านั้น ด้วยวิชาเทพอมตะและทักษะกลืนกินของเขา เขาจึงสามารถรั้งอยู่ในการต่อสู้ได้นานมาก นอกเหนือจากทักษะที่ทรงพลังและมีระดับดาวสูงของเขาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะผนึกมังกรซึ่งเป็นทักษะระดับสูงสุดที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับเดียวกับทักษะระดับเทพเจ้า 12 ดาว เขายังสามารถต่อกรกับจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 6 ชุดหรืออาจเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 7 ชุดได้ด้วย แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับจ้านหลิงเทียนตรงๆ เด็กหนุ่มก็จะยังสามารถเอาชนะได้ อย่างน้อยมันก็เกิดขึ้นมาก่อนแล้วจริงๆ แค่ทักษะผนึกมังกรเพียงอย่างเดียวก็มีพลังมากเกินไปแล้ว
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทักษะผนึกมังกรจะอยู่ยงคงกระพันเสมอไป ถ้าจ้านหลิงเทียนระมัดระวังตัวมากพอขณะเผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิง เพียงแค่เข้าสู่วิถีป้องกันอย่างเต็มรูปแบบหลังจากที่เขาถูกปิดผนึก จ้านหลิงเทียนก็อาจทนได้นานสูงสุด 90 วินาที พอดีกับที่ทักษะผนึกมังกรสามารถใช้ได้ 3 ครั้งต่อวัน เมื่อเป็นเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงจะไม่มีโอกาสเอา ชนะเขาได้อีกต่อไป น่าเสียดาย อาจเป็นเพราะเขาถูกโจมตีอย่างกะทันหัน เพียงแค่หยิ่งผยองเกินไป หรืออาจจะกำลังสับสนอยู่ในช่วงเวลานั้น เหตุการณ์นี้จึงไม่ได้เกิดขึ้น
แน่นอนว่าสิ่งต่างๆ จะชัดเจนมากขึ้นเมื่อได้กลับมาคิดทบทวนด้วยตัวเองอีกครั้ง แต่ย่อมไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ยาแก้ไขความผิดพลาด’ อย่างน้อยในงานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้ จ้านหลิงเทียนก็ได้พบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ด้วยตัวเองแล้ว
เมื่อหลินเทียนอ้าวพบโจวเหว่ยชิงครั้งแรก ระดับพลังของเด็กหนุ่มค่อนข้างอ่อนแอในสายตาของเขา แม้ว่าในเวลานั้นโจวเหว่ยชิงจะอยู่ในระดับมณี 3 ชุด แต่หลินเทียนอ้าวก็มั่นใจอย่างมากว่าจะเอาชนะเขาได้
กล่าวได้ว่าหลินเทียนอ้าวได้เป็นพยานการเติบโตของโจวเหว่ยชิงอย่างแท้จริง แม้ว่าเขาจะยังอยู่ในระดับการมณี 3 ชุด แต่ในแง่ของความสามารถในการต่อสู้ เขาก็เติบโตขึ้นทะลุพลังเดิมไปมากโขแล้ว หลินเทียนอ้าวรู้ดีว่าหากเขาสู้กับโจวเหว่ยชิงข้างนอกในตอนนี้ เขาจะไม่มีโอกาสเอาชนะอีกฝ่ายได้เลย แค่ทักษะผนึกมังกรเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำลายข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาได้แล้ว นั่นก็คือโล่ประสานศาสตรามณียุทธ์ 5 ชิ้น นั่นยังไม่พูดถึงทักษะที่ทรงพลังอื่นๆ ทั้งหมดที่โจวเหว่ยชิงมี รวมถึงการผสานทักษะเหล่านั้นเข้าด้วยกันด้วยซ้ำ
หลินเทียนอ้าวเชื่ออย่างแท้จริงว่าเมื่อเวลาผ่านไปและระดับพลังปราณของโจวเหว่ยชิงเพิ่มขึ้น เขาจะกลายเป็นยอดฝีมือที่มีพลังสูงสุด เป็นผู้ที่สามารถต่อกรกับเหล่าคนที่มาจาก 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้
โจวเหว่ยชิงยืดตัวอย่างเกียจคร้าน รู้สึกสบายตัวและเต็มไปด้วยพละกำลัง หลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในตอนกลางคืน ความอ่อนเพลีย ความเครียดขึ้ง และจิตใจที่เหนื่อยล้าจากงานประลองมณีสวรรค์ทั้งหมดก็ถูกขจัดออกไปในที่สุด ทำให้เขากลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีเยี่ยมอีกครั้ง
“หัวหน้า วังสวรรค์ไพศาลพูดถึงเรื่องที่เราสามารถไปรับของรางวัลจากงานประลองบ้างรึยัง?”
หลินเทียนอ้าวยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่ พวกเขายังไม่ได้พูดอะไรเลย เมื่อวานตอนที่เรากลับมา ไม่มีสมาชิกวังสวรรค์ไพศาลคนไหนมาหาพวกเราเลย นี่คือเกาะมณีสวรรค์และเราก็ได้ทำลายความพยายามของพวกเขาไปหมดสิ้น หากให้ข้าเดา นับประสาอะไรกับการได้รับของรางวัล แค่เราสามารถมีชีวิตรอดออกไปจากเกาะก็ดีมากแล้ว แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรายังคงมีเกียรติและความศักดิ์ศรีจากการคว้าตำแหน่งผู้ชนะงานประลองมณีสวรรค์ นั่นคือสิ่งที่จะติดตัวเราตลอดไป”
ดวงตาของโจวเหว่ยชิงพลันสว่างวาบ หากว่าวังสวรรค์ไพศาลต้องการแก้แค้นพวกเขาจริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ฆ่าคนจากกลุ่มนั้นและเพียงแค่ไล่พวกเขาออกไป แต่นั่นก็ยังคงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทั้งหมด โดยเฉพาะกับโจวเหว่ยชิง นอกเหนือจากของรางวัลแล้ว การแลกเปลี่ยนกับวังสวรรค์ไพศาลก็ยังสำคัญมาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นถึงศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า 3 ชิ้น…และเป็นส่วนหนึ่งของชุดในตำนานของเขา!
กระนั้น โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้เสียใจกับทุกสิ่งที่ทำลงไป ถึงอย่างไรลูกผู้ชายก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง และบางสิ่งก็ไม่อาจวัดได้ด้วยผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ขณะยังเยาว์วัยอยู่ บุคคลหนึ่งจะต้องมีช่วงเวลาที่หุนหันพลันแล่นบ้าง ไม่ว่ามันจะดูไร้สติหรือแม้กระทั่งเป็นอันตรายต่อตนเองอย่างไรก็ตาม…อย่างน้อยเขาก็ได้ตัดสินใจลงมือด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว หากต้องอยู่กับเหตุผลตลอดไป ชีวิตจะมีสีสันได้อย่างไร?
ในเวลาเดียวกัน โจวเหว่ยชิงก็ยังเชื่อด้วยว่าแม้วังสวรรค์ไพศาลจะยกเลิกการแลกเปลี่ยนกับเขา แต่พวกเขาก็จะยังคงให้รางวัลสำหรับงานประลอง เพราะท้ายที่สุดมันก็เป็นคำสัญญาของพวกเขาเอง งานประลองมณีสวรรค์ล้วนเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ ในฐานะที่อยู่บนจุดสูงสุดของมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หากพวกเขาไม่มีความซื่อสัตย์ขั้นพื้นฐาน พวกเขาจะยังมีชื่อเสียงในฐานะมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่ทำลงไปแล้วไม่มีทางย้อนกลับได้ แม้ว่าวังสวรรค์ไพศาลจะต้องการแก้แค้นเขาหรือกลุ่มนักรบเฟยหลี่ แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงใดๆ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะได้อะไรจากการแก้แค้นกลุ่มของโจวเหว่ยชิง? ด้วยเหตุนี้ เด็กหนุ่มจึงยังคงมั่นใจในตัววังสวรรค์ไพศาลมากกว่าที่หลินเทียนอ้าวคิด
“หัวหน้า ไม่ต้องกังวลไป ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นแน่นอน จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาฆ่าเราตอนนี้? ถึงย่างไรมังกรตัวนั้นก็ไม่ตกเป็นของพวกเขาอยู่ดี แล้วนั่นจะมีประโยชน์อะไร? นอกจากนี้ ความจริงก็คือข้าเป็นตัวการสำคัญที่สุดสำหรับความสูญเสียของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ควรนำเรื่องนี้ไปลงกับคนอื่นๆ ในกลุ่ม และหวังว่าเมื่อพวกเขาพิจารณาความสัมพันธ์ของข้าและปิงเอ๋อร์ ข้าก็จะปลอดภัยเช่นกัน”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
ในขณะนั้นเสียงของสี่น้อยก็ดังมาจากนอกประตู “หัวหน้า เจ้าหน้าที่ของวังสวรรค์ไพศาลมาที่นี่แล้ว”
การแสดงออกของหลินเทียนอ้าวเปลี่ยนไปทันที เขาไปมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยท่าทางจริงจัง โจวเหว่ยชิงพยักหน้ากลับแล้วพวกเขาก็ออกจากห้องไปด้วยกัน
เมื่อทั้งคู่มุ่งหน้าออกไป พวกเขาพบกับเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นตัวแทนของวังสวรรค์ไพศาล คราวนี้มีพวกเขามากัน 2 คน ทั้งคู่เป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปี กลุ่มนักรบเฟยหลี่ที่เหลือต่างก็ทยอยกันออกจากห้องของพวกเขามาแล้วเช่นกัน ความวิตกกังวลของหลินเทียนอ้าวก็เหมือนกันกับพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ได้เฉลิมฉลองอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าจะได้เป็นผู้ชนะแล้วก็ตาม
“ใครคือผู้นำกลุ่มนักรบเฟยหลี่? โปรดติดตามข้าไปรับรางวัลจากงานประลองมณีสวรรค์ด้วย” ชายชุดขาวด้านซ้ายกล่าว
หลินเทียนอ้าวกล่าวว่า “ข้าเป็นผู้นำของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ หลินเทียนอ้าว”
ชายในชุดขาวพยักหน้าและกล่าวว่า “เอาล่ะ ตามข้ามา แต่ก่อนหน้านั้นโปรดรวบรวมมณีสะท้อนและแหวนมิติทั้งหมดที่พวกเรามอบให้กับกลุ่มของท่านก่อนหน้านี้กลับคืนมาด้วย”
หลินเทียนอ้าวทำตามคำสั่ง รวบรวมมณีสะท้อนและแหวนมิติอย่างรวดเร็ว น่าเสียดาย เนื่องจากเวลาที่พวกเขาใช้ในเขตแดนมิติสะท้อนนั้นสั้นเกินไปจึงไม่มีใครสามารถรวบรวมอะไรจากภายในนั้นได้เลย
สำหรับพนักงานในชุดคลุมสีขาวคนอีกคน เขากล่าวว่า “โจวเหว่ยชิงคือผู้ใด โปรดติดตามข้ามา ท่านจ้าววังของเราต้องการพบท่าน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่คนอื่นๆ ก็เริ่มกระวนกระวายใจ พวกเขาจึงไปรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังของโจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าวอย่างไม่รู้ตัว ในช่วงเวลานั้น หัวใจของทุกคนพลันเต้นระรัว ในใจพวกเขาคิดว่านั่นเป็นกับดักเพราะมีเพียงหลินเทียนอ้าวและโจวเหว่ยชิงเท่านั้นที่ถูกเรียกตัวไป
โจวเหว่ยชิงยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ทุกคนไม่ต้องกังวล หัวหน้ากับข้าจะกลับมาเร็วๆ นี้แน่นอน”
รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้าของหลินเทียนอ้าวเช่นกัน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ตระหนักว่าสิ่งที่โจวเหว่ยชิงพูดนั้นถูกต้อง ดูเหมือนว่าวังสวรรค์ไพศาลได้ตัดสินใจที่จะไม่แก้แค้นพวกเขา อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้ลงมืออะไรพวกเขาตรงๆ เนื่องจากฝ่ายนั้นส่งคนมาเรียกพวกเขา นั่นหมายความว่าวังสวรรค์ไพศาลจะไม่จัดการกับพวกเขา มิฉะนั้นแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็คือเกาะมณีสวรรค์ หากวังสวรรค์ไพศาลต้องการจัดการกับพวกเขาอย่างแท้จริง มันก็เป็นงานง่ายๆ และไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ เลย
เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา สมาชิกที่เหลือซึ่งกำลังเป็นกังวลก็โล่งใจ
โจวเหว่ยชิงและหลินเทียนอ้าวเดินตามพนักงานในชุดคลุมสีขาวออกจากโรงเตี๊ยมไปทันที
ทั้งสองคนไม่ได้ใช้เส้นทางเดียวกัน เมื่องานประลองมณีสวรรค์สิ้นสุดลง ทั้ง 4 กลุ่มจะได้รับรางวัลตามลำดับในวันนี้ หลังจากนั้น นอกจากกลุ่มนักรบจ้งเทียนแล้ว ส่วนที่เหลือก็ควรต้องออกจากเกาะมณีสวรรค์ไป แน่นอนว่าพวกเขายังคงอยู่ต่อได้หากต้องการ แต่ค่าครองชีพที่นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่จะสามารถจ่ายไหว ก่อนหน้านี้กลุ่มนักรบเฟยหลี่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโจวเหว่ยชิงได้รับเหรียญทองจำนวนมากจากการเดิมพันของพวกเขา ทว่าทันทีที่พวกเขาเข้าไปในศาลาศาสตรามณียุทธ์และวังกักเก็บทักษะของเกาะมณีสวรรค์ พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่าทองคำที่พวกเขามีอยู่นั้นเป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในทะเลอันกว้างใหญ่ นั่นยังไม่ได้รวมราคาที่แท้จริงของอาหารและที่พักบนเกาะมณีสวรรค์ด้วยซ้ำ
โจวเหว่ยชิงเดินตามผู้นำทางในชุดคลุมสีขาวไป และในไม่ช้าพวกเขาก็กลับไปยังพื้นที่ซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอกที่พวกเขาเคยเข้ามาเพื่อมุ่งไปยังเขตแดนมิติก่อนหน้านี้
“โปรดถือสิ่งนี้ไว้และเติมพลังปราณสวรรค์ของท่านเข้าไปภายใน” ผู้นำทางในชุดคลุมสีขาวหันกลับมาและส่งมณีสีแดงอมทองให้โจวเหว่ยชิง
เมื่อโจวเหว่ยชิงได้รับมณี เขาก็ตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน มณีนี้มีขนาดใหญ่กว่ามณีสะท้อนที่พวกเขาได้รับในงานประลอง และในขณะที่เขาเติมพลังปราณสวรรค์ของเขาเข้าไปภายใน แสงสีแดงอมทองเจิดจ้าก็พุ่งออกมาจากมณีนั้น หมอกสีขาวที่หมุนวนอยู่รอบตัวพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอมทองแบบเดียวกันทันที จากนั้นพวกมันก็รวมตัวเข้าหาร่างของเขา
ผู้นำทางในชุดคลุมสีขาวก็ทำเช่นเดียวกันกับเขาด้วยมณีดวงอื่น และเหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้ง โจวเหว่ยชิงสามารถคิดได้อย่างฉับไวมาโดยตลอด และเขาก็เข้าใจเรื่อง
ราวได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับวังสวรรค์ไพศาล มณีที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับมณีสะท้อนอยู่บ้าง ดังนั้นจึงมีแนวโน้มว่ามันจะต้องให้ผลคล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ เขายังสัมผัสได้ถึงทักษะธาตุมิติเข้มข้นรอบๆ ตัวเขาด้วย พวกมันกำลังหมุนวนไปมาอย่างบ้าคลั่ง
ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงเดาได้ทันทีว่าหมอกสีขาวนี้อาจเป็นเพียงฉากบังหน้าของวังสวรรค์ไพศาล วังสวรรค์ไพศาลที่แท้จริงอาจอยู่ในเขตแดนมิติอีกแห่งหนึ่งซึ่งคล้ายกับเขตแดนมิติสะท้อน นั่นทำให้พวกเขาสมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง!
แสงสีแดงอมทองยังคงอยู่รอบๆ ตัวเขาเป็นเวลาเกือบ 10 วินาทีก่อนที่จะหายไปท่ามกลางแสงวูบวาบ
ในทันใดนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็ปรากฏตัวขึ้นในมิติอื่น
ช่วงเวลาที่แสงสีแดงอมทองกระจายออกจากรอบตัวเขา หัวใจของโจวเหว่ยชิงก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง เบื้องหน้าเขามีโลกใบใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยสีฟ้าอ่อน
เหนือท้องฟ้าสีอ่อน ดวงอาทิตย์กลายเป็นสีแดงส้มแปลกประหลาด ทว่าแสงของมันกลับไม่จ้าจนแสบตา พื้นทั้งหมดดูเหมือนจะปูด้วยหยกบางชนิด แต่มันไม่สะท้อนแสง และดูเหมือนจะเรืองรองออกมาด้วยตัวเองได้ บนพื้นผิวสีฟ้าอ่อนนั้น พืชหายากและมีค่าทุกชนิดกำลังเติบโตขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ความงามอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดก็ถูกบดบังด้วยพระราชวังขนาดใหญ่ตรงหน้าเขาที่สะท้อนแสงสีฟ้าตระการตาออกมา
ด้านหน้าของพระราชวังเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่ ส่วนด้านหลังของพระราชวังเป็นน้ำตกสูง 300 เมตรที่ทำราวกับว่าไหลลงมาจากบนท้องฟ้าและนำความรู้สึกชุ่มชื้นมากระทบใบหน้าของพวกเขา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าแปลกที่สุดก็คือบริเวณนี้กลับไม่มีเสียงใดๆ ดังเล็ดลอดออกมาเลย
นี่เป็นเหมือนสรวงสวรรค์ของเทพยดาบนโลก และในขณะนี้ทุกอย่างดูเหมือนโลกเหนือความเป็นจริง ราวกับอยู่ในห้วงฝัน
ผู้นำทางชุดขาวเชื้อเชิญโจวเหว่ยชิงพร้อมกับสีหน้าแสดงความเคารพ จากนั้นทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปยังพระราชวัง
………………………………………………………..