Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 109-3 ความปรีดาและลาภลอย ความสิ้นหวังและโศกนาฏกรรม! (3)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 109-3 ความปรีดาและลาภลอย ความสิ้นหวังและโศกนาฏกรรม! (3)
หลังจากพูดเช่นนั้น เธอก็มองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างลึกล้ำอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเบาๆ และเดินจากไป
โจวเหว่ยชิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซ่างกวนเสว่เอ๋อร์จากไปตอนไหน ขณะนี้จิตใจของเขากำลังแตกสลาย สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าดูไม่ได้เช่นกัน เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาพวกเขาทั้งหมดต่างกำลังร่วมเฉลิมฉลอง เต็มไปด้วยความรู้สึกราวกับพี่น้องและมีความสุขกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น แต่เพียงไม่นาน ต่อมาโจวเหว่ยชิงก็ได้รับข่าวร้ายเช่นนี้
แสงสีขาวพุ่งออกมาในพริบตานั้นทันที และเจ้าแมวอ้วนก็เปลี่ยนร่างเป็นเทียนเอ๋อร์ ยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงอย่างเงียบๆ เธอรับร่างของโจวเหว่ยชิงมาจากมือของหลินเทียนอ้าวและโอบกอดเขาอย่างเต็มที่
ในเหตุการณ์ปกติ หากสิ่งนี้เกิดขึ้น โจวเหว่ยชิงจะต้องดีใจมากเพราะจะได้ฉวยโอกาสหาเศษหาเลยกับหญิงสาว อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เขากลับจ้องมองไปข้างหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่าราวกับผีดิบที่ไม่มีแรงจูงใจจะทำอะไร เขาไม่ได้พยายามจะขยับกายเลยแม้แต่น้อย และปล่อยให้เทียนเอ๋อร์กอดเขาไว้อย่างอ่อนแรง
ในเวลานั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะปลอบอย่างไร บ้านเกิดของเขาถูกรุกรานและทำลายล้างทั้งอาณาจักร เพื่อน ครอบครัว…แม้แต่ที่ดินที่เขาเติบโตมาก็จะกลายเป็นสมบัติของผู้รุกราน การจู่โจมครั้งใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถกู้คืนได้ง่ายๆ
เทียนเอ๋อร์พยุงโจวเหว่ยชิงกลับไปที่ห้องของเขา เกี่ยวกับตัวตนของเธอ สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่คนอื่นๆ รู้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครอยากจะถามในเวลานี้ ในใจของพวกเขา พวกเขายอมรับเทียนเอ๋อร์ได้มากกว่าแม่มดน้อย เพราะถึงอย่างไรเธอก็ได้ติดตามโจวเหว่ยชิงมาตั้งแต่พบกับพวกเขา
เทียนเอ๋อร์ช่วยพยุงโจวเหว่ยชิงนั่งบนเตียง จากนั้นก็วางศีรษะของเขาไว้บนอกของเธอ ในเวลานี้เธอไม่มีความคิดที่จะหลีกเลี่ยงเขา หญิงสาวปล่อยให้เขาได้พักผ่อนบนหน้าอกอันอวบอิ่มของตนเอง ราวกับว่าพยายามใช้ความอบอุ่นเพื่อปลอบประโลมหัวใจของเขา
“เหว่ยชิง ในเวลานี้เจ้าจะต้องเข้มแข็ง ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์พูดถูก เจ้าคือความหวังสุดท้ายของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์”
โจวเหว่ยชิงไม่ส่งเสียงใดๆ ทว่าน้ำตาในดวงตาของเขาค่อยๆ หยุดลง ดวงตาเลื่อนลอยของเขาพลันหายไปเมื่อเด็กหนุ่มฝืนกลับมามองภาพความจริงเบื้องหน้าได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม แววตาของเขากลับดูแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ไม่มีแววร่าเริงและสนุกสนานอีกต่อไปแล้ว เป็นเพียงความแน่วแน่ที่แสนเยือกเย็น
โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นนั่งช้าๆ หายใจเข้าลึกหลายครั้ง ร่างกายที่เคยสั่นสะท้านพลันสงบลง เขาหันไปหาเทียนเอ๋อร์และพูดว่า “เจ้าช่วยออกไปก่อนได้ไหม ข้าแค่ต้องการอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพัก”
เทียนเอ๋อร์ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน เธอกอดศีรษะของเขาและจูบเบาๆ ที่หน้าผากของเขา ก่อนจะหมุนตัวและเดินออกไปปิดประตูตามหลัง หญิงสาวเชื่อว่าเหว่ยชิงของเธอจะสามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างแน่นอน
ในสภาพเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบและไม่เคลื่อนไหว ราวกับว่าเขากลายเป็นรูปปั้น แม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่ได้เข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง แต่ในห้องกว้างอันแสนมืดมิด ดวงตาของเขาก็แดงก่ำอย่างชัดเจน
…
ที่ห้องของหลินเทียนอ้าว
หลินเทียนอ้าวมองไปที่คนอื่นๆ จากนั้นพูดเบาๆ “ไม่ว่าเหว่ยชิงจะตัดสินใจอย่างไร ข้าก็จะไปด้วยกันกับเขา หากพวกเจ้าที่เหลือมีแผนอื่น เจ้าควรออกไปตอนนี้ ข้าจะไม่โทษเจ้า”
ไม่มีใครรู้ว่าโจวเหว่ยชิงจะตัดสินใจทำอะไร หากเขาตัดสินใจจะกลับไปที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ มันก็คือการเข้าถ้ำเสืออย่างแท้จริง เป็นภารกิจที่อันตรายและเกือบจะคล้ายกับการหาเรื่องฆ่าตัวตาย ด้วยเหตุนี้ หลินเทียนอ้าวจึงพูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมา หากพวกเขาไม่ต้องการ พวกเขาก็ควรรีบจากไปก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะตัดสินทำสิ่งใด
ขี้เมาเป่าพูดด้วยความโกรธ “หัวหน้า ท่านคิดว่าเราเป็นคนประเภทไหนกันแน่?! ในช่วงเวลาเช่นนี้ การอยู่เคียงข้างเหว่ยชิงย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า หึ! แม้แต่ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้อย่างงานประลองมณีสวรรค์เราก็ทำสำเร็จมาแล้ว จะมีอะไรให้ต้องกลัวอีก! ไอ้พวกอาณาจักรป่ายต้าโง่เง่า บิดาของเจ้า ข้า! อยากมีปัญหากับพวกเจ้ามานานแล้ว!!”
เซียวเอี๋ยนและสี่น้อยพยักหน้าเห็นด้วย อู่หยาขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะต้องชะลอเรื่องตามหาคู่หมั้นของข้าไปก่อนเสียแล้ว”
เย่เป่าเปากล่าวว่า “ข้าจะไม่เข้าร่วมกับพวกท่าน เพิ่มข้าเข้าไปหนึ่งคนย่อมไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไร ข้าจะมุ่งหน้ากลับไปที่อาณาจักรเฟยหลี่ทันที บิดาของข้าเป็นอัครเสนาบดี และหากเราสามารถนำกองทัพอาณาจักรเฟยหลี่เข้าช่วยจู่โจมอาณาจักรป่ายต้าได้ นั่นจะเป็นความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเหว่ยชิง”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นเป็นตัวเลือกที่ดี เป่าเปา เจ้ากลับไปที่อาณาจักรเฟยหลี่ อย่างน้อยก็พยายามสืบค้นทุกสิ่งที่เจ้าทำได้เกี่ยวกับอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเหว่ยชิง ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ เราก็มีโอกาสที่จะช่วยเหลือพวกเขา…”
เย่เป่าเปาพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่มีเวลาแล้ว ข้าจะออกเดินทางทันที ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็เก็บข้าวของและออกจากเกาะมณีสวรรค์ทันที แม้จะเป็นเรื่องยากในการเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์ แต่ก็ไม่มีข้อจำกัดในการเดินทางออกไป
เย่เป่าเปาจากไปอย่างรวดเร็ว ทว่าวันถัดมากลับเป็นสิ่งที่ทรมานทุกคนที่เหลืออย่างช้าๆ ห้องของโจวเหว่ยชิงยังคงเงียบสนิท และแม้ว่าพวกเขาจะพยายามเข้าไปพบเขาหลายครั้ง ทุกคนก็ถูกหยุดไว้โดยเทียนเอ๋อร์ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู ในเวลานี้ สิ่งที่โจวเหว่ยชิงต้องการคือเวลาที่จะอยู่คนเดียวเงียบๆ
…
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อโจวเหว่ยชิงปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาก็ต้องตกตะลึงไป หากมองจากรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว เขาก็ดูเหมือนจะไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก แต่ดวงตาสีแดงเลือดและผิวสีซีดนั้นกลับดูน่าหวาดกลัวมาก เห็นได้ชัดว่าในห้องนั้นเขาไม่ได้นอนเลยทั้งวันทั้งคืน
ความจริงแล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา โจวเหว่ยชิงไม่เพียงแต่ไม่นอน เขายังนั่งอยู่ที่นั่นอย่างไม่ยอมขยับเคลื่อนไหว ปีนี้เขาอายุเพียง 17 แต่เวลานี้เขาราวกับแก่ลงหลายปีในคืนเดียว เสมือนมีอายุพอๆ กับขี้เมาเป่าหรือสี่น้อย
“เหว่ยชิง ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร เราก็จะติดตามเจ้าไป…” หลินเทียนอ้าวก้าวไปข้างหน้าและกอดโจวเหว่ยชิงเอาไว้
โจวเหว่ยชิงตบหลังเขาเบาๆ และกล่าวว่า “ทุกคนไม่ต้องกังวล ข้าสบายดี”
ขี้เมาเป่าโบกกำปั้นกลางอากาศและพูดว่า “เหว่ยชิง หากเป็นเช่นนี้ พวกเราไปที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และฆ่าพวกสารเลวป่ายต้าให้หมดกันเถอะ!”
โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและนั่นก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจ ปัจจุบันเขาเยือกเย็นและสงบนิ่งมาก เกือบจะถึงในระดับที่น่าหวาดกลัว
“ไม่ เราจะไม่กลับไปที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เราจะอยู่ที่เกาะมณีสวรรค์ต่ออีกสักหน่อย ให้ข้าประมาณ…ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 วันถึง 1 เดือนกว่าเราจะกลับถึงอาณาจักรเฟยหลี่”
“เอ๊ะ?” คำพูดของโจวเหว่ยชิงทำให้ทั้งกลุ่มนักรบเฟยหลี่สับสน
การที่จะกลับไปที่อาณาจักรเฟยหลี่ พวกเขาก็พอเข้าใจได้ แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำในขณะนี้ การมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเฟยหลี่เพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นก่อนจะตัดสินใจขั้นตอนต่อไป ดีกว่าการพุ่งเข้าสู่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์โดยไม่มีแผนและฆ่าตัวตาย อย่างไรก็ตาม การรอคอยคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาสับสน
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ท่านทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง ข้าแค่อยู่ที่นี่สักพัก ข้าจะจากไปชั่วคราว เมื่อข้ากลับมา พวกเราก็สามารถออกเดินทางไปยังอาณาจักรเฟยหลี่ได้”
หลังจากพูดแบบนั้น เขาก็หายตัวไปในพริบตาและออกจากโรงเตี๊ยมไปอย่างรวดเร็ว
“เขาจะไปที่ไหนกัน?” ขี้เมาเป่าถามอย่างสงสัย
หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะเพื่อส่งสัญญาณว่าเขาก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
เสียงของเทียนเอ๋อร์ดังขึ้น “เขาน่าจะมุ่งหน้าไปยังวังกักเก็บทักษะเกาะมณีสวรรค์ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาน่าจะพยายามพยายามจะทะลวงไปยังระดับมณีชุดที่ 4 เพื่อเพิ่มพลังให้มากที่สุดก่อนออกจากเกาะมณีสวรรค์ ข้าไม่รู้ว่าเมื่อวานเขาคิดอะไรอยู่ แต่ข้าแน่ใจว่าเขาต้องคิดเรื่องต่างๆ อย่างชัดเจนและวางแผนล่วงหน้าเกี่ยวกับอนาคตแล้ว”
แท้จริงแล้ว เทียนเอ๋อร์ไม่ได้คาดเดาผิดไปสักนิด ปัจจุบันโจวเหว่ยชิงมาที่วังกักเก็บทักษะอีกครั้งและเลือกอสูรสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุปีศาจ โดยใช้ทักษะกลืนกินเพื่อเร่งการฝึกปราณให้เร็วที่สุด
ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาได้ร่วมกับอาจารย์ทั้ง 3 เฝ้าดูและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ขณะที่พวกเขาสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เป็นเวลา 37 วัน เขาก็ได้ฝึกปราณอย่างต่อเนื่องไปด้วย ท้ายที่สุดแล้ว วิชาเทพอมตะของเขาก็ไม่ต้องการให้ผู้ฝึกนั่งทำสมาธิเพื่อฝึกปราณเป็นพิเศษและพลังก็จะพัฒนาขึ้นไปเองเรื่อยๆเองเพราะหลุมดำพลังปราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมเช่นเกาะมณีสวรรค์ที่มีพลังปราณลอยอยู่ในบรรยากาศอย่างหนาแน่นและเข้มข้น
ดังนั้นแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะทะลุไปถึงระดับที่ 15 เมื่อไม่นานมานี้ แต่พลังของเขาก็เสถียรเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มจึงเชื่อว่าในเวลานี้เขาอยู่ไม่ไกลจากระดับที่ 16 มากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้แรงกระตุ้นจากภายนอก การดูดกลืนพลังของเขาจึงแตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยทำก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ไม่มีการยั้งมือ ไม่มีการควบคุม เป็นการเพิ่มพลังปราณในระดับที่เรียกได้ว่าใกล้บ้าคลั่งเต็มที
ทุกครั้งที่เขาใช้ทักษะกลืนกิน ราวกับว่าโจวเหว่ยชิงเป็นปีศาจที่พยายามบีบเค้นพลังทุกหยาดหยดให้เข้ามาในร่างกายของตนเองให้ได้มากที่สุด เขาจะดูดซับพลังปราณสวรรค์จนถึงขีดจำกัดของเขา และยิ่งไปกว่านั้น ผลักดันตัวเองไปจนสามารถอยู่เหนือสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับมนุษย์ นอกจากนี้ เขายังใช้เวลาส่วนใหญ่เปลี่ยนไปอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่างเพื่อผลักดันขีดจำกัดของเขาในทุกๆ ด้าน ก่อนที่จะนั่งสมาธิเพื่อฝึกและดูดซับพลังปราน
เขาไม่ได้นอน ไม่ได้พักผ่อน และไม่ได้กินอาหาร เพียงแค่พักจิบน้ำเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ปัจจุบันเขากำลังใช้วิธีการอัดทักษะ 3,000 ครั้งกับทักษะกลืนกินและการบ่มเพาะพลังปราณสวรรค์ของเขา!
ทักษะกลืนกินนั้นทรงพลังมากอย่างไม่ต้องสงสัย แต่วิธีการฝึกฝนดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายมากเช่นกัน โชคดีที่เขาทะลวงจุดตายไปแล้วถึง 15 จุด และหลุมดำพลังปราณทั้ง 15 แห่งก็สามารถช่วยให้เขาฟื้นฟูตัวเองและคลายความกดดันได้ดี นอกจากนี้ ร่างกายของเขาก็ได้ผ่านการวิวัฒน์พลังมาแล้ว 2 ครั้ง เด็กหนุ่มจึงแข็งแกร่ง อึดทน และยืด หยุ่นกว่าที่เคยเป็นมา ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะใช้วิธีคล้ายกับการฆ่าตัวตายในการผลักดันขีดจำกัดของตัวเอง แต่เขาก็ยังสามารถเอาชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจากร่างกายเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพจิตใจของโจวเหว่ยชิง หากก่อนหน้านี้มีใครบอกว่าเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์แต่ร่าเริงสดใส ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเย็นชาและเยือกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาผ่านการฝึกฝนเช่นนี้
สถานะปีศาจกลายร่างของเขาสามารถควบคุมได้อย่างแท้จริง แต่การใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในสภาพเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตารางการฝึกที่ไม่ได้พักผ่อนและเกือบเรียกได้ว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง เมื่อรวมกับการใช้ทักษะกลืนกินอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดจึงทำให้โจวเหว่ยชิงเริ่มมีกลิ่นอายที่เย็นชา จิตสังหารที่อยู่รอบตัวเขาค่อยๆ แผ่ขยายขึ้นในทุกๆ วัน
ในช่วงเวลานี้ ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ได้ทราบข่าวว่าเขากำลังทำอะไรอยู่และมาหาเขาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นเธอจึงรายงานเรื่องนี้ให้กับลุงของเธอ ซ่างกวนเทียนหยางฟัง อย่างไรก็ตาม ซ่างกวนเทียนหยางไม่ได้ส่งใครมาหยุดโจวเหว่ยชิง เหตุผลนั้นง่ายมาก โจวเหว่ยชิงในตอนนี้ต้องหาวิธีระบายบางอย่างเพื่อคลายความเครียด วิธีนี้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจของเขา แต่ถ้าเขาไม่ปลดปล่อยในลักษณะนี้ บางทีเขาอาจจะทำอะไรที่แย่กว่านั้นก็ได้
ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ถึงกับถามซ่างกวนเทียนหยางว่าควรบอกซ่างกวนปิงเอ๋อร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ดีหรือไม่ แน่นอนว่าการอนุญาตให้ปิงเอ๋อร์พูดคุยและปลอบใจโจวเหว่ยชิงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ซ่างกวนเทียนหยางก็ปฏิเสธคำแนะนำของเธอโดยบอกว่า ในฐานะลูกผู้ชาย มีบางสิ่งที่ต้องเผชิญและเอาชนะด้วยตัวเอง จากนั้นเขาจึงจะเติบโตขึ้นอย่างแท้จริง การให้ปิงเอ๋อร์ปลอบโยนเขาเป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาแบบง่ายๆ แต่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด
ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้กินอาหารมาเกือบ 23 วัน มีเพียงน้ำเปล่าที่หล่อเลี้ยงตัวเอง เด็กหนุ่มฝึกปราณด้วยกำลังทั้งหมดที่มีโดยไม่ได้นอนหรือพักผ่อน จนกว่าจะถึงวันที่เขาสามารถทะลวงผ่านจุดตายต่อไปได้…
……………………………………………………….