Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 115-3 กลศึกทรมานตน! (3)
โจวเหว่ยชิงพูดอย่างหยอกเย้า “เจ้าทำได้แน่! เวลานี้มีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่ระหว่างพลังของเจ้ากับอู่หยาและเจ้าก็ไม่ควรทำให้นางต้องชะลอฝีเท้าเพื่อรอคอยเจ้า”
หม่าฉุนพูดอย่างโกรธๆ “หัวหน้า ท่านจะกล่าวหาข้าเช่นนั้นได้ยังไง! ข้าไม่ขยันทำงานหนักหรอกหรือ? พรสวรรค์ของข้าก็โดดเด่นมากเช่นกัน!”
โจวเหว่ยชิงเดินไปหาหลินเทียนอ้าว ตบลงบนไหล่และมองไปที่หม่าฉุนก่อนจะพูดว่า “การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ในอนาคต พี่หลินจะเป็นอาจารย์ของเจ้า เรียนรู้จากเขาให้ดี เขาจะสอนวิธีการใช้ประโยชน์จากพลังป้องกันขั้นสุดยอดของเจ้าให้ได้มากที่สุด…เอาล่ะ พี่น้องของข้า ไปกันเถอะ!”
ทันทีที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดจบ พวกเขาก็ขยับตัวออกไปทันที การโจมตีของชายชุดดำคือคำเตือนขนานใหญ่ แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะมั่นใจในความสามารถของตัวเอง แต่เขาก็รู้ว่าเขายังอยู่ในระดับมณี 4 ชุดเท่านั้น ในบรรดาพรรคพวกของพวกเขาทั้งหมด คนที่มีระดับพลังปราณสูงสุดคือสาวน้อยจอมมึนโตวโตว หากมีจ้าวมณีสวรรค์ระดับ 9 ชุด จำนวน 1 หรือ 2 คนโผล่ออกมาหมายจะสังหารพวกเขา ทุกคนก็จะไม่อาจขยับตัวทำอะไรได้เลย ข้อได้เปรียบเกี่ยวกับจำนวนย่อมไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนั้น
โจวเหว่ยชิง หลินเทียนอ้าว หม่าฉุน อู่หยา หยุนลี่ สี่น้อย เซียวเอี๋ยน ขี้เมาเป่า พวกเขาทั้งหมด 8 คน เมื่อรวมกับกลุ่ม 12 คนของซ่างหลาง ทั้งหมดจะรวมกันกลายเป็นกองกำลังกว่า 20 นาย ถ้าพวกเขาทั้ง 20 คนเคลื่อนย้ายออกไปพร้อมกัน มันย่อมจะดึงดูดความสนใจมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ หลังจากพูดคุยกันอย่างอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงตัดสินใจแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน เพื่อมุ่งหน้าออกไปในทิศทางและเวลาที่แตกต่างกัน
ถึงอย่างไรการโจมตีที่หมายเอาชีวิตโจวเหว่ยชิงครั้งแรกก็เพิ่งจะจบลงไปไม่นานและคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่พวกเขาจะรู้ตัวว่าแผนการล้มเหลว แม้ชายชุดดำเหล่านั้นจะถูกส่งมาจากอาณาจักรเฟยหลี่จริงๆ แต่ตราบใดที่พวกเขายังไม่ได้ปิดประตูเมืองก็หมายความว่าจะไม่มีการโจมตีในอนาคตอันใกล้นี้อีก
หลังจากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง พวกเขาทั้ง 20 คนก็รวมกลุ่มกันใหม่อีกครั้งนอกเมืองเฟยหลี่ พวกเขาไม่ได้ซื้อพาหนะใดๆ และทุกคนต่างก็เดินทางด้วยเท้า เมื่อทั้งหมดรวมตัวกันแล้ว กองกำลัง 20 คนก็เริ่มมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกภายใต้การนำของโจวเหว่ยชิง
ขณะที่พวกเขากำลังเร่งรีบเดินทาง หลินเทียนอ้าวก็เดินไปข้างๆ โจวเหว่ยชิงและถามว่า “เหว่ยชิง เจ้าวางแผนจะไปที่ไหน? เจ้าไม่ได้มุ่งหน้ากลับไปที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์หรอกหรือ?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “พวกเราอายุแค่ 20 และแม้ว่าจะกลับไปที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เราก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี มันจะเป็นเหมือนการขว้างไข่กระทบหินเสียมากกว่า ท่านพ่อของข้าได้ต่อสู้สุดชีวิตเพื่อมอบเวลาให้ข้าได้ทำงาน 10 ปี ใน 10 ปีนี้ ข้าต้องรวบรวมกองกำลังให้มากพอจะสั่นคลอนอาณาจักรป่ายต้า แม้ว่ามันอาจจะไม่เพียงพอให้เอาชนะพวกเขาได้ แต่อย่างน้อยข้าก็ต้องช่วยท่านพ่อและคนอื่นๆ ออกมาให้จงได้ อาณาจักรเฟยหลี่รู้ที่อยู่ของข้าแล้ว การอยู่ที่นี่ต่อไปจึงไร้ประโยชน์ ดังนั้นข้าจึงต้องหาสถานที่ที่ข้าสามารถรวบรวมกลุ่มคนขึ้นเพื่อสร้างกองกำลังของตัวเอง”
หลินเทียนอ้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดว่า “แล้วเราจะไปที่ไหนกันดี?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและกล่าวว่า “ศึกสงครามอาจไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็สนามรบก็เป็นสถานที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะตนเอง และเราก็จะสามารถพัฒนาศักยภาพได้ยิ่งดีขึ้น แผนเดิมของข้าคือเข้าร่วมกับกองทัพอาณาจักรเฟยหลี่และร่วมต่อสู้ในศึกทางชายแดนเหนือ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขามองว่าข้าเป็นภัยคุกคามแล้ว ดังนั้นข้าจึงต้องเปลี่ยนแผนเพียงเล็กน้อย ข้าตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปยังชายแดนเหนือของอาณาจักรจ้งเทียนเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพของพวกเขา ค้นหาพื้นที่ๆ ค่อนข้างรกร้างเพื่อบ่มเพาะขุมกำลัง”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกล่าวว่า “ดี เราจะทำตามแผนของเจ้า ในเวลานั้นเราจะดำเนินการตามขั้นตอนที่เจ้าว่า”
การเข้าร่วมกับกองทัพเพื่อรบราฆ่าฟันศัตรูเป็นความฝันของเด็กหนุ่มทุกคน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคัดค้านข้อเสนอของโจวเหว่ยชิง
ในขณะที่พวกเขาเดินออกมาห่างจากเมืองเฟยหลี่ได้ประมาณ 50 ลี้ ทันใดนั้นเงาร่างสีดำก็ร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้และกระแทกลงบนถนนด้านหน้าพวกเขา
หลินเทียนอ้าวและคนอื่นๆ เคลื่อนตัวไปยืนขวางหน้าโจวเหว่ยชิงโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ปลดปล่อยโล่ประสานศาสตรามณียุทธ์ออกมา แต่เขาก็จ้องมองด้วยสายตาระแวดระวังเต็มที่ สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ที่เหลือเองต่างก็พุ่งเข้าสู่ตำแหน่งคุ้มกันภัยรอบตัวโจวเหว่ยชิงทันที สำหรับซ่างหลางและคนอื่นๆ แม้ว่าระดับพลังปราณของพวกเขาจะไม่สูงมากนัก แต่ทุกคนก็เป็นนักเรียนสามัญชนระดับแนวหน้าจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่ มิฉะนั้นพวกเขาคงจะไม่พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการตีตราของเหล่าชนชั้นสูง ในช่วงเวลานั้น ทั้ง 12 คนต่างแตกแถวออกไปเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว กลายเป็นรูปขบวนที่ช่วยให้พวกเขาสามารถคุ้มครองคนที่เหลือ ในขณะเดียวกันก็สามารถปกป้องตัวเองได้ด้วย
เมื่อมาถึงถึงจุดนี้ ในที่สุดพวกเขาทุกคนก็เห็นว่าสิ่งที่ร่วงหล่นลงบนพื้นนั้น แท้จริงแล้วคือศพ…ในชุดสีดำ คอของเขาดูเหมือนจะถูกหักและไม่มีเลือดไหลออกมา นอกจากนี้ก็ยังไม่พบร่องรอยสัญญาณชีวิตอีกต่อไป
“ออกมา” โจวเหว่ยชิงมองไปที่ต้นไม้เบื้องหน้าด้วยสายตาคมกริบ วันนี้ทักษะผนึกมังกรของเขาถูกใช้ไปจนหมดแล้ว และหากพวกเขาพบกับศัตรูที่ทรงพลังอีกครั้ง นั่นจะนำมาซึ่งปัญหาใหญ่หลวงแน่
*สวบ* ร่างหนึ่งที่งดงามหยดย้อยพลันปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าอย่างเงียบๆ และเมื่อโจวเหว่ยชิงเห็นใบหน้าของเธอ เขาก็ตกตะลึงไป “อะไรกัน…ทำไมถึงเป็นเจ้า?” สีหน้าของเด็กหนุ่มดูน่าเกลียดขึ้นมาในทันที
คนๆ นั้นเม้มริมฝีปากก่อนจะพูดว่า “ทำไมจะเป็นข้าไม่ได้ล่ะ? สีหน้าแบบนั้นคืออะไรกัน?! กว่าจะฆ่าเจ้าหน่วยสอดแนมที่ติดตามเจ้าได้ก็สร้างปัญหาให้ข้าไม่น้อยทีเดียว ทว่าเวลานี้เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่ขอบคุณข้า กลับยังให้มองข้าด้วยสายตาแบบนั้นอีกด้วย?”
ที่ด้านข้างของโจวเหว่ยชิง หยุนลี่มองที่พวกเขาด้วยแววตาสงสัยก่อนจะถามว่า “เหว่ยชิง นี่ไม่ใช่แม่นางปิงเอ๋อร์หรอกหรือ?”
แท้จริงแล้วในสายตาของหยุนลี่ เขากำลังคิดว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์มายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านประสบการณ์ต่างๆ มาอย่างโชกโชน โจวเหว่ยชิงจะจำคนผิดอีกครั้งได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่ารอบๆ ข้อมือขวาของ ‘ซ่าง กวนปิงเอ๋อร์’ คนนี้เป็นกรงเล็บสีทองเหลือบดำ ในบรรดาสามพี่น้องซ่างกวน โจวเหว่ยชิงเคยเห็นศาสตรามณียุทธ์ลักษณะเช่นนั้นของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เพียงคนเดียว แน่นอน เขาไม่รู้ว่าซ่างกวนเสว่เอ๋อร์มีศาสตรามณียุทธ์แบบเดียวกันด้วยหรือไม่ แต่เขาแน่ใจว่าเธอคงจะไม่ได้ว่างมากจนถึงขั้นช่วยพวกเขาฆ่าสายลับอย่างไร้สติแน่
โจวเหว่ยชิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “นั่นไม่ใช่ปิงเอ๋อร์ แต่เป็นพี่สาวของนาง ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่ นี่?” เขามองไปยังร่างของเด็กสาวซึ่งดูเหมือนคนที่เขารักมากที่สุด แววตาของโจวเหว่ยชิงพลันฉายแสงอันอบอุ่นออกมาเล็กน้อย ทว่าก็ไม่กล้าจะลดความระมัดระวังลง ถึงอย่างไรเขาก็เคยได้สัมผัสกับความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์แล้ว ในความเป็นจริง หากทั้งสองฝ่ายอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดีเยี่ยม แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะใช้ทักษะผนึกมังกร เขาก็ยังไม่อาจจะเอาชนะเธอได้เนื่องจากความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์นั้นน่ากลัวเกินไป
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ ขณะเดินไปหาโจวเหว่ยชิง และเมื่อเห็นว่าเธอรู้จักเขา ซ่างหลางและคนอื่นๆ ก็หลบออกไปด้านข้างทันที สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่เองก็รู้ชัดถึงความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงระหว่างเขากับ 3 พี่น้องซ่างกวน พวกเขาจึงแยกย้ายกันออกไปพร้อมกับพยายามกลั้นหัวเราะ
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เดินไปจนถึงร่างของโจวเหว่ยชิงก่อนจะหยุดพูดอย่างหยิ่งผยอง “ข้ามาที่นี่ในนามของน้องสาม”
โจวเหว่ยชิงชะงักไปเล็กน้อย “ปิงเอ๋อร์ขอให้เจ้ามา? เพื่ออะไร? หรือว่าจะเป็น…ปิงเอ๋อร์ขอให้เจ้าแต่งงานกับข้าเพื่อเป็นตัวแทนของนางในช่วงเวลานี้ เพื่อให้เจ้าคอยบริการข้า?”
อันธพาลหนุ่มคนนี้มักจะสามารถพูดจาเลื่อนเปื้อนได้ในขณะที่ทำหน้าตานิ่งขรึมและจริงจัง ทักษะดังกล่าวย่อมต้องผ่านการฝึกฝนเรียนรู้มาหลายปีอย่างแน่นอน…
แก้มที่อิ่มเอิบของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงจัด แต่เธอกลับไม่ยอมถอยง่ายๆ “บริการเจ้า? หึ ดูเหมือนเจ้าจะต้องคอยบริการข้ามากกว่า ข้าเป็นพี่สะใภ้ของเจ้านะ เร็วเข้า เรียกข้าว่าพี่สาวเดี๋ยวนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยปิงเอ๋อร์จับตาดูเจ้าเพราะเกรงว่าเจ้าอาจจะนอกใจนางและทำให้นางผิดหวัง!”
“บิดามันเถอะ ข้ายังต้องให้เจ้าคอยจับตาดูด้วยรึ? จุ๊ๆ ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าเรียกว่าพี่สาว เจ้าก็รอจนกว่าปิงเอ๋อร์จะแต่งงานกับข้าจริงๆ แล้วข้าถึงจะคิดเรื่องนั้นอีกที” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างฉุนเฉียว
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์แค่นเสียงและพูดว่า “ได้ ข้าจะไปก็ได้ แต่เมื่อข้ากลับไป ข้าจะบอกปิงเอ๋อร์ว่าเจ้านอกใจนางและผูกสัมพันธ์กับแม่มดน้อยแห่งนิกายปีศาจสวรรค์ โอ้ และยังมีเทียนเอ๋อร์จากภูเขาหิมะสวรรค์อีก พยัคฆ์วิญญาณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั่น อ่า…เฮ้ออออ…น้องสาวที่น่าสงสารของข้า…ช่างโง่เขลาจริงๆ…มีมือที่สามแอบแฝงอยู่ข้างกายนางในรูปเสือน้อยน่ารักโดยที่นางไม่ทันรู้ตัว! ฮึ่ม ข้าจะบอกนางทุกอย่างและแสดงให้นางเห็นธาตุแท้ของเจ้า อ้วนน้อยโจว เจ้าตายแน่!”
หลังจากพูดอย่างนั้น หญิงสาวก็หันหลังกลับและทำท่าจะจากไป ทว่าหลังจากทำเช่นนั้นและหันหลังให้โจว เหว่ยชิง แววซุกซนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ อันที่จริง ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ย่อมไม่ได้ถูกเรียกว่าปีศาจน้อยแห่งวังสวรรค์ไพศาลอย่างไร้ที่มาที่ไปอยู่แล้ว
โจวเหว่ยชิงจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยขากรรไกรอ้าค้าง หากคนอื่นๆ คิดจะพยายามแต่งนิทานและสร้างเรื่องผิดใจระหว่างเขากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงจะต้องเย้ยหยันในความคิดของอีกฝ่ายแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็เชื่อว่าปิงเอ๋อร์จะไว้ใจเขา อย่างไรก็ตาม ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์คนนี้กลับเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์และแสนร้ายกาจ ทั้งยังเป็นพี่สาวของปิงเอ๋อร์ด้วย ถึงอย่างไรเธอก็พยายามหาเรื่องติดตามเขามาตลอดทาง และหากเธอกลับไปพูดแบบนั้นกับ ปิงเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์จะไม่เจ็บปวดหรือ? จากสิ่งที่โจวเหว่ยชิงรู้เกี่ยวกับซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ เธอจะทำตามที่ตนเองพูดไว้อย่างแน่ นอน
“รอเดี๋ยว!” โจวเหว่ยชิงรีบก้าวไปข้างหน้าและจับไหล่ของหญิงสาวทันที
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ไม่ได้ขัดขืน เธอหันศีรษะกลับไปมองเขาแทน “ทำไมเจ้าถึงรั้งข้าล่ะ?” ขณะพูดเช่นนั้น เธอก็นึกเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาได้ทันที ฉากที่เธอเสียจูบแรกให้กับโจวเหว่ยชิง…และเมื่อจำขึ้นมาได้ หญิงสาวก็กัดฟันกรอดด้วยความโกรธ น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปเป็นกล่าวหาทันที
โจวเหว่ยชิงสามารถสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงกรรโชกนั้น และทันทีที่คิดว่าซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กำลังจะกลับไปเพื่อปลุกปั่นยุยงให้พวกเขาบาดหมางกัน เขาก็ทำหน้ายิ้มและพูดอย่างอ่อนหวานว่า “ พี่ใหญ่…”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ตัวสั่นสะท้านไปโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะมองเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “เอาล่ะ พอแล้ว ข้าขนลุกไปทั่วตัวแล้ว เจ้าแสดงละครให้ดีกว่านี้หน่อยได้ไหม?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขอโทษและกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนชั่วช้าสามานย์คนหนึ่ง แต่นั่นก็เพราะข้าอารมณ์ไม่ดีจากสิ่งที่ต้องประสบในเมืองเฟยหลี่…อย่างที่ท่านเห็น ตอนนี้ข้าอยู่คนเดียว ไม่มีแม่มดน้อยหรือเทียนเอ๋อร์อยู่ด้วย อา! ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว หากท่านต้องการจะอยู่ที่นี่เพื่อจับตาดูข้าก็โปรดทำเช่นนั้นเถิด ข้ายินดีที่จะใช้การกระทำของตนเองพิสูจน์ว่าข้าโดดเด่นแค่ไหน คู่ควรกับปิงเอ๋อร์เพียงใด”
เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงในมุมที่แตกต่างออกไป รอยยิ้มแสดงท่าทีเสียอกเสียใจเช่นนี้ก็เกือบจะทำให้เธอหงุดหงิดขึ้นมา ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ชะงักไปชั่วขณะพลางคิดกับตัวเอง จริงๆ แล้วเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่?
เดิมทีเมื่อซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ถูกโจวเหว่ยชิงขโมยจูบแรกไป เธอก็เกลียดเขามากจนอยากจะฆ่าให้ตาย หญิงสาวไม่ได้มองทุกอย่างในภาพรวมเหมือนซ่างกวนเสว่เอ๋อร์หรือว่าควบคุมตัวเองได้ดีเหมือนอีกฝ่าย ดังนั้นเธอจึงทำทุกวิถีทางเพื่อแอบเข้าไปในปลอมตัวเป็นกลุ่มนักรบจ้งเทียนและพยายามก่อปัญหาให้โจวเหว่ยชิง
ในเขตแดนมิติสะท้อน เมื่อเธอได้ต่อสู้กับโจวเหว่ยชิงและแม่มดน้อย ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับทั้งสองคน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาต่างหากที่ฝังแน่นอยู่ในหัวใจของเธอ ทั้งยังทำให้สายตาที่เธอใช้มองโจวเหว่ยชิงกลับตาลปัตรไปโดยสิ้นเชิงอีกด้วย
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์จะไม่มีวันลืมร่างของโจวเหว่ยชิงที่ยืนปกป้องอยู่หน้าแม่มังกรและไข่ของมันอย่างเด็ดเดี่ยว รวมถึงวิธีที่เขาพูดอย่างชอบธรรมและกล้าหาญ ราวกับว่าเธอกำลังมองชายหนุ่มอีกคนที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นั่นยังใช่ผู้ชายที่ขโมยจูบแรกของเธออยู่หรือไม่?!