Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 118 เมืองเทียนเป่ย (1)
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ยืนดูอยู่ด้านข้าง และทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างของโจวเหว่ยชิง โดยเฉพาะจากขาขวาที่เขาใช้เหยียบร่างของจักรพรรดิสีเงิน เป็นความรู้สึกที่ทำให้หนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง หลังจากนั้นไม่นาน บรรยากาศรอบๆ ตัวของพวกเขาก็ดูเหมือนจะแปรปรวน จักรพรรดิสีเงินที่แต่เดิมมีสีขาวเงินก็ กระพริบวูบวาบเปลี่ยนสีสลับไปมาอย่างรวดเร็ว
จักรพรรดิสีเงินที่หมดสติรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทันที แต่มันก็ไม่มีพลังเหลือจะต่อต้านได้แล้ว นกปีศาจทำได้เพียงสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะที่แสง 3 ดวงกำลังหมุนวนเกี่ยวพันอยู่รอบตัวของมัน สีดำ สีเทา และสีน้ำเงิน กระทั่งมันสามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่ถูกสูบออกไปอย่างรวดเร็ว
เดิมทีมันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนหน้า และการโจมตีครั้งใหม่นี้ก็ทำให้มันรู้ว่าชีวิตตัวเองเกือบจะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่โจวเหว่ยชิงกำลังใช้กับมันคือสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดรวมกับทักษะก่อกวนเวลาที่เขาเคยใช้ก่อนหน้านี้ นั่นจึงเป็นผลให้พิษไตรธาตุหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของจักรพรรดิสีเงินทันที
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใด เมื่อพบกับภัยคุกคามระดับถึงชีวิต มันก็มักจะต้องรู้สึกตื่นตระหนกแม้ว่าตัวเองจะทรงพลังแค่ไหนก็ตาม จักรพรรดิสีเงินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น โดยเฉพาะพิษที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ มันเป็นสิ่งแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เศษเสี้ยวพลังปราณสวรรค์ที่เหลือของมันอยู่ในระดับต่ำมาก และไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่มีผลต่อพิษนั้นเลย
พิษไตรธาตุของสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดนั้นยากที่ใครจะต่อกรได้อย่างแท้จริง กระทั่งพลังปราณสวรรค์ที่แข็งแกร่งก็ยังไม่อาจบังคับขับไล่มันออกไปได้จากร่างกายผู้ต้องพิษได้ ดังนั้นก่อนหน้านี้ แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาอย่างหลงหยินก็ยังหมดปัญญาจะขจัดพิษร้ายนี้เช่นกัน
โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มและกดเท้าลงไปที่จักรพรรดิสีเงินให้หนักขึ้นในขณะที่กล่าวว่า “เจ้าตัวน้อย ตอนนี้เจ้าคงสามารถสัมผัสภัยคุกคามถึงชีวิตได้แล้ว หากเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ต่อก็ให้ร่วมมือกับบิดาเสียดีๆ เมื่อข้าเริ่มผนึกเจ้า เจ้าห้ามฝืนต่อต้าน มิฉะนั้นเจ้าก็รอความตายมาเยือนได้เลย พิษไตรธาตุของข้านี้…เจ้าคงจะรู้สึกไม่ค่อยดีใช่มั้ย?”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ลองใช้พิษไตรธาตุ และมันไม่เพียงแต่จะให้ผลลัพธ์ถึงแก่ชีวิต ทว่าก็ยังกัดกร่อนภายในอย่างช้าๆ และทำให้ผู้ต้องพิษเจ็บปวดทุกข์ทรมาณมากอีกด้วย ก่อนหน้านี้กระทั่งปีศาจน้อยเซินก็ไม่อาจจะต้านทานไหว แม้จะมียอดฝีมือระดับราชาอย่างหลงหยินคอยช่วยบรรเทาความเจ็บปวดด้วยพลังปราณสวรรค์ของเขาก็ตาม น่าเสียดาย จักรพรรดิสีเงินนี้ไม่ได้รับความช่วยเหลือเช่นนั้น
บางครั้งความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ทว่าเป็นความเจ็บปวดที่ไม่สามารถพรรณนาได้ต่างหาก มันสามารถทำให้ใครๆ ล้วนอยากร้องขอความตายทว่ากลับตายไม่ได้…และนั่น…ก็คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ในขณะที่เขากล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง โจวเหว่ยชิงก็ไม่ลืมที่จะวางมือบนร่างของจักรพรรดิสีเงินและกลืนกินพลังปราณสวรรค์ของมันอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กัดฟันบีบเลือดออกมาหนึ่งหยดก่อนที่จะเริ่มร่ายพิธีเลือดตราประทับธาตุมืดลงบนตัวมัน
ภายใต้สถานะปีศาจกลายร่าง โจวเหว่ยชิงสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายของพยัคฆ์เทพอสูรมืดได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะจากขาขวาปีศาจของเขา การใช้ขาขวาเหยียบจักรพรรดิสีเงินจึงไม่ได้เป็นเพียงการปลดปล่อยสายฟ้าเทพเจ้าอสูรมืดเท่านั้น แต่ยังทำเพื่อให้จักรพรรดิสีเงินสัมผัสถึงกลิ่นอายเหล่านั้นได้ด้ว
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านข้างและมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น เดิมทีเธอคิดว่าตัวเองคุ้นเคยกับความสามารถทั้งหมดของโจวเหว่ยชิงเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มกำลังข่มขู่จักรพรรดิสีเงิน เธอก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองกำลังผสมปนเปกันไปหมด ในแง่หนึ่ง เฟยเอ๋อร์พบว่าการกระทำที่ไร้ประโยชน์ของโจวเหว่ยชิงเป็นเรื่องที่น่าตลกขบขันมาก แต่ในทางกลับกัน เธอก็มีความรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าโจวเหว่ยชิงกำลังทำอะไรบางอย่างกับจักรพรรดิสีเงิน เป็นความสามารถพิเศษที่เขาซุกซ่อนเอาไว้และเธอก็ไม่เคยรู้มาก่อน
“หยุดฝันกลางวันได้แล้ว ข่มขู่จักรพรรดิสีเงินงั้นรึ…เจ้าถึงกับคิดเรื่องเช่นนี้ได้ เจ้าตัวจ้อยนี่ไม่ใช่แค่ดุร้าย แต่มันยังดื้อรั้นมาก หากเจ้าไม่มีพลังที่เหนือกว่ามัน เมื่อบังคับปิดผนึกลงไป เจ้าก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ รอก่อนเถอะ ไม่ช้าเจ้าก็จะได้กลายเป็นม้าของข้าแน่!”
แม้ว่าซ่างกวนเฟยเอ๋อร์จะมาจากวังสวรรค์ไพศาล แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ใช่อสูรสวรรค์และไม่อาจสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังและรุนแรงซึ่งมีเพียงอสูรสวรรค์เท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ ถ้าจักรพรรดิสีเงินตัวนี้อยู่ในระดับราชา มันก็คงจะไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันในเวลานี้ น่าเสียดายที่มันยังวิวัฒน์ไม่สำเร็จ
สายเลือดของพยัคฆ์เทพอสูรมืดนั้นทรงพลังไม่น้อยไปกว่าพยัคฆ์วิญญาณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในสายเลือดอันดับต้นๆของเหล่าอสูรสวรรค์ ในมุมมองของอสูรสวรรค์เช่นจักรพรรดิสีเงินตัวน้อยนี้ มันจะยอมจำนนต่ออสูรสวรรค์ที่ทรงพลังเท่านั้น สัตว์ที่มีสายเลือดยิ่งใหญ่กว่าตนเอง ไม่ใช่มนุษย์ทั่วๆ ไป
สุดท้ายมันก็หยุดดิ้นรน พิธีเลือดตราประทับธาตุมืดผนึกลงบนหน้าผากของมัน แน่นิ่งอยู่ภายใต้หยดเลือดของ โจวเหว่ยชิง ร่างกายของมันเริ่มสั่นเทาอย่างรุนแรงอีกครั้ง ราวกับว่าต้องการจะดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่กล้าทำเช่นนั้น ตาดวงเล็กๆ ของมันคล้ายจะเหลือบมองเข้าไปในดวงตาแดงก่ำของโจวเหว่ยชิง
ณ เวลานี้ ในสายตาของจักรพรรดิสีเงิน โจวเหว่ยชิงไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว ตามกฎความอยู่รอดในโลกอสูรสวรรค์ ผู้อ่อนแอกว่าย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง เมื่อรวมกับพิษไตรธาตุของโจวเหว่ยชิงและความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น ในที่สุดสิ่งนี้ก็ทำให้มันยอมจำนน ตามหลักเหตุผลทั่วๆ ไปแล้ว ย่อมไม่มีใครอยากจะยอมสละชีวิตของตัวเอง
รัศมีกดดันจากสายเลือดจากพยัคฆ์เทพอสูรมืดเป็นระดับที่สูงส่งถึงขั้นทำให้จักรพรรดิสีเงินต้องเงยหน้ามองขึ้นไป แม้ว่ามันจะรู้ว่าระดับพลังของโจวเหว่ยชิงยังอยู่ห่างจากตัวมันมากก็ตาม ก็เหมือนกับตัวมันเองที่ยังไม่ได้ทะลุไปถึงระดับราชา
อย่างไรก็ตาม ความกดข่มทางสายเลือดก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโจวเหว่ยชิง และอย่างน้อยก็ทำให้มันต้องก้มหน้ายอมรับตัวตนของเด็กหนุ่มตรงหน้า หากเปลี่ยนเป็นมนุษย์คนใดก็ตามทำเช่นนี้ ถ้าไม่มีระดับพลังที่แตกต่างกันถึงขั้นฟ้ากับเหว มันจะไม่เลือกยอมจำนนแน่นอน ไม่ว่าจะต้องทนทรมานหรือตายก็ตาม
ในที่สุดพลังปราณสวรรค์เศษเสี้ยวสุดท้ายก็ถูกระบายออกไปพร้อมกับพิษ 3 ธาตุที่แสนทรมาน นกปีศาจยังคงตัวสั่นเทาอย่างต่อเนื่อง ทว่าตอนนี้อาการก็บรรเทาลงอย่างมากเนื่องจากพิษทั้งหมดได้ถูกขับออกไปแล้ว สัญลักษณ์สีแดงเข้มบนหน้าผากสว่างวาบหนึ่งครั้ง จากนั้นก็หายลับเข้าไปในร่างของมัน
ศีรษะของมันร่วงหล่นลงไปด้านข้าง และจักรพรรดิสีเงินก็หมดสติกลับเข้าสู่ห้วงนิทรา โจวเหว่ยชิงไม่ได้ใส่เจ้าตัวจ้อยลงไปในแหวนมิติของเขา ในทางตรงกันข้าม เด็กหนุ่มกลับกอดมันไว้ในอ้อมแขนด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนโยน
เมื่อสัญลักษณ์สีแดงเข้มกระพริบบนหน้าผากของจักรพรรดิสีเงิน ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง เธอแทบจะไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้า จักรพรรดิสีเงินตัวนี้ยินยอมเช่นนั้นได้อย่างไร? อ้วนน้อยโจวคนนี้อยู่ในระดับมณี 4 ชุดเท่านั้น! โจวเหว่ยชิงมีเหตุผลอะไรถึงทำให้อสูรสวรรค์ระดับเทวะที่ดื้อรั้นเช่นนี้ยอมจำนนต่อเขาได้? เป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไรกันแน่?!
“เฮ้อ ข้ารู้ว่าตัวเองหล่อเหลาและสง่างามมาก แต่ถ้าเจ้ามัวแต่จ้องข้าแบบนั้น ข้าก็จะเขินอายเอาได้น้า” โจวเหว่ยชิงยิ้มล้อเลียนให้ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ขณะที่เอ่ยเช่นนั้น ในขณะเดียวกัน สายตาของเขาก็โฉบลงไปที่บั้นท้ายของเธออีกครั้ง
“เจ้าเนี่ยนะ? เขินอาย?” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์โมโหกับคำพูดของเขาจนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา “ผิวหน้าของเจ้าหนาจนแทบจะฟันแทงไม่เข้าอยู่แล้วด้วยซ้ำ!”
โจวเหว่ยชิงถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อๆๆๆๆ แม้เจ้าจะมาจากวังสวรรค์ไพศาล แต่เจ้าก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง การเดิมพันของเราได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ถ้าเจ้ากลับคำจริงๆ ข้าก็จะไม่รู้สึกแปลกใจนัก แต่แค่รู้สึกผิดหวังเกี่ยวกับวังสวรรค์ไพศาลเล็กน้อย”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์มองไปยังร่างของโจวเหว่ยชิง กระพริบตาที่งดงามของเธอช้าๆ ทันใดนั้นหญิงสาวก็หลุดหัวเราะออกมา “อ้วนน้อยโจว เจ้ากำลังพยายามจะยั่วยุข้าหรือ? ไม่มีวันซะหรอก! ผู้ที่ต้องรักษาหน้าของวังสวรรค์ไพศาลคือพี่สาวของข้า ไม่ใช่ข้า เจ้าพูดถูก ผู้หญิงมีสิทธิ์เปลี่ยนใจเสมอ และนั่นก็คือสิ่งที่ข้าจะทำ เจ้าจะทำอะไรได้? หือ มีใครเห็นว่าข้าพนันกับเจ้าไหม? ใครจะพิสูจน์ได้? ไม่มีใครใช่ไหม? ฮิๆ กล่าวคือเราไม่เคยวางเดิมพันเช่นนี้มาก่อนเลยน่ะสิ”
“ห๊ะ?” โจวเหว่ยชิงจ้องมองไปที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พลางอ้าปากค้าง ตอนแรกเขาคิดว่าการยั่วยุอีกฝ่ายด้วยชื่อเสียงของวังสวรรค์ไพศาลจะทำให้เธอไม่มีทางกลับคำพูดแน่นอน ใครจะจินตนาการได้ว่าปีศาจน้อยแห่งวังสวรรค์ไพศาลคนนี้จะรับมือด้วยยากขนาดนี้ แถมเธอยังทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกันอีกต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเขาเองก็ไม่อาจเทียบได้สำหรับเฟยเอ๋อร์…โจวเหว่ยชิงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
เมื่อมองเห็นท่าทางหดหู่ของเขา ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็หัวเราะและกระโดดหนีกลับไปที่ค่ายอย่างมีความสุข “ฮ้าาาา วันนี้อากาศดีจัง รู้สึกดีมากที่ได้ทำให้ใครบางคนโกรธได้ วันนี้ข้าตัดสินใจจะให้รางวัลตัวเองด้วยการกินให้มากขึ้น!”
เมื่อมองดูร่างที่กำลังถอยห่างออกไปของหญิงสาว โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะคันยุบยิบในใจพลางคิดกับตัวเองว่า ทั้งคู่มาจากแม่คนเดียวกัน แต่ทำไมถึงมีนิสัยแตกต่างกันมากขนาดนี้? ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์และปิงเอ๋อร์ของข้า พวกนางแตกต่างกันมากเกินไป เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาแกล้งปิงเอ๋อร์เมื่อหลายปีก่อน วิธีที่เธอตอบสนองอย่างไร้เดียงสาและทำตัวไม่ถูก สายตาของโจวเหว่ยชิงก็เหม่อลอยไปในระยะไกลๆ จะดีแค่ไหนถ้าปิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่กับเขา!
ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลายเป็นผู้ถูกสังเวยในการตื่นขึ้นของสถานะปีศาจกลายร่างครั้งแรก หรือ ‘พิธีเปลี่ยนผ่านสู่วัยผู้ใหญ่’ ของเขาในเกาะมณีสวรรค์…ทั้งสองเหตุการณ์ล้วนเป็นความทรงจำที่โจวเหว่ยชิงไม่มีวันลืม ทั้งยังหยั่งรากลึกอยู่ในใจของเขาไม่เสื่อมคลาย นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ภายในใจของโจวเหว่ยชิงไม่มีใครสำคัญไปกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์อีกแล้ว
พี่น้องซ่างกวนนั้นหน้าตาเหมือนกันมากเกินไป และแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่ต้องการให้ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ติดตามเขา แต่ในใจลึกๆ แล้วการได้เห็นซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ทุกวันก็เหมือนกับการได้เห็นปิงเอ๋อร์เช่นกัน และมันก็กลายเป็นความคิดที่ขัดแย้งกันอย่างลึกล้ำ นั่นรวมถึงเรื่องที่เขากลัวว่าซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อาจจะนำเรื่องไม่ดีของตนไปเอ่ยต่อหน้าปิงเอ๋อร์ ทั้งหมดนี้จึงทำให้เขาต้องเก็บอีกฝ่ายไว้ข้างกายก่อน
ความแตกต่างในด้านลักษณะนิสัยไม่ได้ลดทอนความงามของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ลง แต่มันกลับเผยให้เห็นความงามในแบบฉบับที่แตกต่างออกไป มีชีวิตชีวา อ่อนเยาว์ เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ นั่นคือสิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้แสดง ออกมา ในขณะที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็ไม่มีความงามที่แสนนุ่มนวลและเงียบสงบของปิงเอ๋อร์ พี่น้องสองคนนี้อาจกล่าวได้ว่าแตกต่าง แต่ก็ถือว่าเท่าเทียมกัน
เสียงนกและแมลงในป่าก่อให้เกิดทำนองบทเพลงสอดประสาน ชีวิตในป่าล้วนไม่เคยเงียบสงบ
เนื่องจากการซุ่มโจมตีอย่างกะทันหันของจักรพรรดิสีเงิน โจวเหว่ยชิงจึงขอให้หลินเทียนอ้าวจัดตารางเวรยามในคืนนี้ โดยทั้ง 21 คนจะแบ่งออกเป็นกลุ่มยามเพื่อตรวจตราเฝ้าระวัง โดยให้สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่แต่ละคนเป็นผู้นำในแต่ละกลุ่ม
ความจริงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าจักรพรรดิสีเงินนี้เป็นข้อยกเว้นเดียวที่เกิดขึ้น ตลอดทั้งคืน นอกจากอสูรสวรรค์ที่อ่อนแอเพียงไม่กี่ตัวที่เข้ามารบกวนพวกเขาแล้ว ทั้งกลุ่มก็ไม่พบกับปัญหาอื่นใดอีก
ตอนรุ่งเช้า พวกเขารับประทานอาหารแห้งง่ายๆ ก่อนจะรวบรวมข้าวของและออกเดินทางอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น คราวนี้กลุ่ม 12 คนของซ่างหลางก็ได้แสดงทักษะความสามารถและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพวกเขาออกมาเช่นเคย โดยทั้งหมดใช้เวลาเพียง 15 นาทีในการจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พวกเขาเดินทางต่อไป โจวเหว่ยชิงก็ถามซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ “เฟยเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าที่นี่มีม้าปีศาจผีอยู่จริงๆ?”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์มองเขาพลางพูดว่า “ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน พวกมันอาศัยอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน แต่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา พวกมันถูกตามล่าจนข้าไม่แน่ใจว่าพวกเราจะหาฝูงที่ยังอาศัยอยู่ในป่าได้อีกหรือไม่”
โจวเหว่ยชิงเบิกตากว้าง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?! หากไม่ใช่เพราะเจ้าบอกเราว่ามีม้าปีศาจผีอยู่ที่นี่ พวกเราก็คงไม่ใช้เส้นทางนี้แต่แรก!”
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์พยักหน้าหงึกหงักอย่างรุนแรงและกล่าวว่า “พวกมันอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งในป่านี้แน่นอน แต่การที่เราจะพบกับพวกมันก็ขึ้นอยู่กับโชคทั้งนั้น ถึงอย่างไรป่านี้ก็มีขนาดใหญ่มาก และตอนนี้ม้าปีศาจผีหายากขึ้นเช่นกัน พวกเราอาจจะไม่เจอพวกมันก็ได้”